จริงๆ แล้วหลังจากที่ดู Hormones ตอนล่าสุดจบผมคิดอยู่นานมากว่าจะขอแสดงความเห็นจากประสบการณ์ตรงของตัวเองถึงเหตุการณ์ที่ ภู-ธีร์ เคลียร์กันที่บันไดโรงเรียนเมื่อคืนนี้ดีหรือเปล่าครับ ผ่านมาสองวัน คิดว่าน่าจะลองนำเอาความคิดเห็นของตัวเองต่อกรณีนี้มาลองแชร์ดูบ้าง เพราะรู้สึกว่าตัวเองเห็นต่างจากคนหลายๆ คนอยู่พอประมาณเหมือนกัน และคิดว่าค่อนข้างจะเข้าใจดีเพราะผมเชื่อว่าผมเคยผ่านช่วงเวลาแบบภูมาเลยแทบจะเหมือนกัน (น่าเสียดายที่ต่างกันตรงหน้าตาอย่างเดียว ฮ่าๆ) ผมคงจะไม่เล่าเรื่องของตัวเองเพราะคิดว่ามันไม่ใช่ประเด็น เอาเรื่อง ภู-ธีร์ เลยดีกว่า
หลายๆ คนคิดว่าฉากที่ ภูและธีร์ เคลียร์กันใน Episode 12 นั้นเป็นฉากที่ ภู ได้ข้อสรุปกับตัวเองไปในทางเดียวแล้วว่า ธีร์ เป็นไปได้แค่เพื่อน แต่สำหรับผมแล้ว ผมคิดต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเลยครับ ผมคิดว่าในฉากนั้น ภู ได้ข้อสรุปกับตัวเองแล้ว แต่ข้อสรุปที่ได้นั้นมันชัดเจนมากว่าภูคิดอย่างไรกับธีร์จนต้องเรียกมาเคลียร์เพราะอึดอัดที่ธีร์ดูห่างเหินไป

เรื่องของเรื่องคือเพื่อนๆ ผู้ชายหลายๆ คนคงรู้ดีว่าหากมีเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายมาบอกเราว่าเขาชอบเรา แต่เราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เพราะว่าเคมีมันไม่มี และเราไม่ได้ชอบผู้ชาย (หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้ชอบเขา) เราจะไม่รู้สึกอยากเป็นคนเข้าไปเคลียร์กับอีกคนให้รู้เรื่องแน่นอน ถามว่าเสียดายความเป็นเพื่อนไหม แน่นอนว่าเสียดายมาก แต่ถามว่าคิดไหมว่ามันคิดกับเราเกินเพื่อนไปแล้ว คิดแน่นอนครับ ดังนั้นก็ปล่อยให้ไปกันคนละทางดีกว่าเพื่อตัดปัญหาอะไรหลายๆ อย่างที่อาจจะตามมา และท้ายที่สุดแล้วคนที่จะเรียกเคลียร์นั้นกลับเป็นอีกฝ่ายที่ชอบเรา ไม่ใช่เราแน่นอน เพราะเรายังมีเพื่อนผู้ชายคนอื่นให้ได้คุยได้เล่นกันอีกเยอะ (แม้อาจจะไม่สนิทเท่าคนนั้นก็เถอะ) แต่ในกรณีนี้ ภู กลับทำตรงกันข้ามหมดเลย ภูกับเป็นคนที่ร้อนรนที่ธีร์เฉยชาจนต้องเรียกเคลียร์เสียเอง แสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่าภูน่าจะรู้สึกกับธีร์เกินเพื่อนไปมากๆ อย่างแน่นอน
อีกอย่างคือผมจำได้ว่าคนๆ แรกในครอบครัวผมที่ผมบอกว่าผมรู้สึกดีๆ กับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งนั้นคือพี่สาวของผมครับ ตอนนั้นผมอยู่อเมริกา และผมรู้สึกว่าผมคิดถึงไอ้เพื่อนสนิทของผมคนนี้มาก มากจนอึดอัดเลยทีเดียว และอาจเพราะอยู่ที่โน่นผมอิสระมาก ผมเลยตัดสินใจโทรกลับมาหาพี่สาวที่ไทยแล้วบอกพี่สาวว่าพี่สาวจะว่าอะไรไหมถ้าผมจะบอกว่าผมชอบเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง แต่ผมก็งงตัวเองเหมือนกันเพราะว่าผมก็ชอบผู้หญิงด้วย ในตอนนั้นพี่สาวผมถามกลับเหมือนแม่ของภูเลยครับว่าใช่เพื่อนคนนี้ไหม แล้วก็บอกต่อว่าก็คิดว่ารู้มาสักพักแล้วเพราะเห็นสนิทกันมาก แต่ยังไม่แน่ใจเพราะเห็นก็หลีสาวอยู่ แล้วก็บอกผมว่าจะชอบอะไรก็ไม่เป็นไรหรอกเพราะมันเรื่องของผม พ่อกับแม่ก็คงไม่ว่าอะไร แต่ก็อาจจะเสียใจบ้าง และแนะนำให้ผมอย่าเพิ่งบอกพ่อกับแม่ก่อนดีกว่า ผมจำได้ว่ากว่าที่ผมจะตัดสินใจกล้าบอกพี่สาวนั้น ผมต้องใช้เวลาคิดนานมากว่าผมรู้สึกแบบนี้จริงหรือเปล่า จนผมตอบตัวเองได้แล้วผมถึงโทรไปพูดกับพี่สาวครับ
ที่ผมจะบอกคือในวันที่ภูตัดสินใจปรึกษาแม่ซึ่งป็นคนที่ตัวเองรักที่สุดและรับรู้ได้ว่าเรื่องแบบนี้จะทำร้ายคนๆ นี้ได้ไม่มากก็น้อยนั้น ภูต้องผ่านการคิดทบทวนและตัดสินใจมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว และในที่สุดก็ยอมรับในความรู้สึกตัวเองได้แล้วได้ระดับที่ว่าตัวเองนั้นชอบธีร์จริงๆ (และผมเชื่อว่าต้องตอบตัวเองได้แล้วด้วยว่าชอบธีร์มากกว่าผู้หญิงอีกคน) เขาถึงได้กล้าบอกแม่ไปครับ เพราะเรื่องแบบนี้ บุคลิกอย่างภูไม่มีทางยอมพูดหรือปรึกษาแม่อย่างแน่นอนหากเขาไม่มั่นใจกับตัวเองแล้วจริงๆ ดังนั้นคำตอบของแม่ในวันนั้นที่ยอมรับกับการตัดสินใจของภูจึงทำให้ภูกล้าที่จะเรียกธีร์มาเพื่อเคลียร์ในตอนที่ 12 เหมือนกับในตอนนั้นที่ผมตัดสินใจคุยกับเพื่อนของผมทางโทรศัพท์หลังจากที่ผมทำให้มันเสียใจด้วยคำพูดแย่ๆ ก่อนไปอเมริกาครับ
แต่การที่จะให้คนอย่างภูมาบอกว่ากูชอบแบบแฟนนะมันไม่ใช่แน่นอนครับ เต็มที่ๆ สุดที่จะให้ได้ก็คือเพื่อนที่ดีที่สุด และเว้นสถานะเอาไว้ที่ "ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหน" ซะดีกว่า (สมัยนั้นเพลงนี้กำลังดังมากๆ) เพราะเหตุนี้ภูเลยเคลียร์กับธีร์ และย้ำวนอยู่ที่เดิมเรื่องขอโทษในสิ่งที่ตัวเองทำ และเรื่องเสียดายความเป็นเพื่อน รวมไปจนถึงเรื่องที่ว่าธีร์เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด แต่ประเด็นมันอยู่ในตอนที่ธีร์ถามภูกลับว่าแล้วจะให้กูทำยังไง แล้วภูก็ตอบกลับว่าบอกกูดีกว่าว่าต้องทำยังไงถึงจะหายเศร้า หายเสียใจ ตรงนั้นไม่ใช่ประโยคคำถามเพื่อจบความรู้สึกที่เพื่อนนะครับ แต่เป็นประโยคเปิดทาง ประโยคโยนหินถามทางของคนที่มีฟอร์ม (เพราะเป็นฝ่ายทำเขาก่อน แถมยังเป็นฝ่ายเลือกคิดจะเดินออกมาก่อนด้วย) เพื่อดูว่าตัวเองยังมีโอกาสไหม หรือเขายังอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมไหม แต่ปรากฏว่าธีร์กลับไม่ได้เข้าใจแบบนั้น อาจเพราะไม่คิดว่าตัวเองยังมีโอกาสแล้วจริงๆ เลยตอบกลับไปอีกแบบที่ก็ทำให้ภูชะงักไปเหมือนกัน ดูจากสีหน้าของภูได้เลยที่ก็เจ็บไม่แพ้กัน คงคิดไปเหมือนกันว่าธีร์คงตัดใจแล้วจริงๆ แทนที่จะตอบกลับมาว่าก็มาเริ่มกันใหม่หรืออะไรก็ตาม (ผมเข้าใจเลย)
ฉากนี้ผมคิดถึงเพลงๆ หนึ่งที่ผมฟังทุกวันเลยครับในช่วงนั้น ผมคิดถึงเลยจริงๆ เพราะผมคิดว่ามันเข้ากับภูมาก และมันก็เข้ากับผมมากในตอนนั้นด้วย เพลงนั้นคือเพลง White Flag ของ Dido ครับ (ซึ่งคุณ CHAINKUB เองก็เหมือนจะคิดถึงเพลงนี้เหมือนกันในกระทู้ก่อนหน้านี้ ยอมรับว่าตอนเห็นคุณโพสเพลงนี้ผมทั้งตะลึง ทั้งงงว่ามีคนคิดถึงเพลงกันด้วย แต่เหมือนคุณกับผมจะคิดกันไปคนละกรณี)

I know you think that I shouldn't still love you, or tell you that.
ผมรู้ว่าคุณคิดว่าผมไม่สมควรจะรักคุณอยู่หรือไม่ควรที่จะบอกคุณแบบนั้น
But if I didn't say it, well I'd still have felt it, where's the sense in that?
แต่หากผมไม่บอก สุดท้ายผมก็ยังคงรู้สึกแบบนั้นอยู่จรงๆ แล้วอย่างนี้มันจะมีประโยชน์อะไร
I promise I'm not trying to make your life harder or return to where we were
ผมสัญญาว่าผมจะไม่ทำให้ชีวิตของคุณยุ่งเหยิงไปกว่านี้หรือไม่คิดที่จะหวนกลับไปยังจุดที่เราเคยเป็นอีก
I will go down with this ship. And I won't put my hands up and surrender
ผมจะยอมจมไปกับเรือลำนี้ และจะไม่ขอยกมือขึ้นเพื่อแสดงความปราชัยแต่อย่างใด
There will be no white flag above my door.
จะไม่มีธงขาวแปะอยู่เหนือประตูบ้านผมหรอก
I'm in love and always will be
ผมยังรักคุณอยู่ และจะรักตลอดไป
I know I left too much mess and destruction to come back again
ผมรู้ว่าผมทิ้งความวุ่นวายไว้พร้อมกับทำร้ายคุณมากมายเกินกว่าที่จะหวนกลับมาได้อีก
And I caused nothing but trouble, I understand if you can't talk to me again
และผมนั้นสร้างแต่ปัญหาเอาไว้จนเข้าใจดีหากคุณจะไม่ยอมพูดกับผมอีก
And if you live by the rules of "it's over" then I'm sure that that makes sense
และหากคุณเลือกที่จะปิดประตูด้วยคำว่าเรื่องของเรา "มันจบไปแล้ว" นั้นผมก็คิดว่ามันคงสมเหตุสมผลดี
And when we meet, which I'm sure we will, all that was there will b
still
และครั้งหน้าหากเราได้พบกัน ซึ่งแน่นอนว่าเราคงต้องได้เจอกัน สิ่งที่เคยเป็นยังไงมันก็จะยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น
I'll let it pass. And hold my tongue
ผมจะยอมปล่อยมันไปอย่างกล้ำกลืนฝืนทน
And you will think that I've moved on....
เพื่อให้คุณคิดว่าชีวิตผมได้ก้าวเดินไปข้างหน้าต่อแล้ว (โดยไม่เป็นอะไร)...
ผมเคยอ่านมาว่าคนที่เขียนบทในส่วนของภูและธีร์น่าจะเป็นคนที่เข้าใจในตัวละครทั้งสองตัวเป็นอย่างดี ผมเชื่อว่าคุณเข้าใจจริงๆ เพราะว่านี่คือการเติบโตของตัวละครสองตัวที่ต้องผ่านพ้นเรื่องนี้ไปจริงๆ แต่ตอนนี้มันคงต้องอยู่ที่ว่าทั้งสองคนจะผ่านมันไปในรูปแบบไหน จะเข้าใจเจตนารมณ์ของอีกคนได้เมื่อไหร่ และจะกลับมาต่อกันได้ติดอีกไหมเท่านั้นล่ะครับ
สำหรับผมในตอนนี้มันเหมือนเรื่องตลกไปแล้วครับ เพื่อนที่ดีที่สุดคนนั้นปัจจุบันก็ยังเป็นเพื่อนคนที่ดีที่สุดของกันและกันอยู่ แต่ที่ตลกคือมันไปมีแฟนเป็นผู้หญิงไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ไม่ว่าจะช่วงที่มีความสุขหรือความทุกข์ก็ยังโทรหากันตลอด และเรายังไปมาหาสู่กันตลอดเหมือนเดิม ถ้ามันไม่มานอน มาดูหนัง มาเล่นเกมที่บ้านผม ก็จะเป็นผมออกไปเที่ยวไปดูหนังกับมันอยู่บ่อยๆ (แต่ไม่ได้มีอะไรเกินเลยจริงๆ บอกไว้ก่อนกลัวหลายๆ คนคิดมาก มานอนคือมานอนเล่นเกมและดูหนัง แค่มองหน้ากันแล้วคิดไปถึงเมื่อก่อนก็ขำแล้ว) แฟนผู้หญิงมันคนก่อนเคยขอให้มันเลิกคบกับผมครับ และตอนนั้นผมคิดว่ามันคงเลิกคบกับผมแล้วจริงๆ แบบทำใจไปเรียบร้อย เพราะมันโทรมาบอก มาสารภาพเลย แต่จู่ๆ วันหนึ่งมันก็โทรกลับมาบอกว่าขอมานอนด้วยหน่อย แล้วก็บอกว่าเลิกกับแฟนผู้หญิงคนนั้นแล้ว อยู่กับผมสบายใจกว่าซะอย่างนั้น ก่อนที่จะมีแฟนคนใหม่นี้อีก ตอนแรกแฟนคนใหม่ของเพื่อนผมก็เหมือนจะอึนๆ กับผมบ้าง แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ไปนั่งดูหนังกันสามคนบ้าง ไปกินข้าวด้วยกันบ้าง แฟนมันยังเคยแซวมันเลยว่าทำไมรู้เรื่องผมมากกว่าเรื่องแฟนตัวเอง กลายเป็นเรื่องคุยกันติดตลก ยอมรับว่าผมยังมีรักมันมากกว่าเพื่อนอยู่บ้าง แต่ก็สบายใจกับจุดนี้เหมือนกัน แล้วก็อดขำไม่ได้ว่าเพื่อนเรามีเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว ทำไมยังเหลือเราที่ยังดูงงๆ กับชีวิตอยู่เหมือนเดิมวะเนี่ย
ไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแค่อยากจะมาแชร์ความคิดเห็นของตัวเองถึงกรณีของ ภู-ธีร์ ดูบ้าง ตอนแรกว่าจะพิมพ์สั้นๆ กลายเป็นพิมพ์ไปพิมพ์มายาวยืดเลยซะงั้น
หลายๆ คนที่เป็นแฟน ภู ธีร์ อยู่ ผมเชื่อว่าบทยังไม่ได้ปิดโอกาสของสองคนนี้ครับ ผมเชื่อว่าคนเขียนบทเข้าใจสองคนนี้ดี และเชื่อว่ายังมีเรื่องให้ได้ติดตามกันต่ออีกอย่างแน่นอน แต่จะจบลงตรงไหนนั้นมันคงเป็นเรื่องของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว คงไม่มีใครมานั่งบังคับใคร หรืออยากให้มันเป็นดั่งใจเราได้หมดทุกอย่างครับ ผมยิ่งเชื่อแบบนั้นเพราะได้เห็นทวิตเตอร์นี้ของน้องมาร์ชนี่แหละ เลยแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันอาจจะเป็นเหมือนเราก็ได้ฟะ

ภู-ธีร์ กับความเห็นที่แตกต่างจากประสบการณ์ของตัวเองหลังจากดู Episode 12
หลายๆ คนคิดว่าฉากที่ ภูและธีร์ เคลียร์กันใน Episode 12 นั้นเป็นฉากที่ ภู ได้ข้อสรุปกับตัวเองไปในทางเดียวแล้วว่า ธีร์ เป็นไปได้แค่เพื่อน แต่สำหรับผมแล้ว ผมคิดต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเลยครับ ผมคิดว่าในฉากนั้น ภู ได้ข้อสรุปกับตัวเองแล้ว แต่ข้อสรุปที่ได้นั้นมันชัดเจนมากว่าภูคิดอย่างไรกับธีร์จนต้องเรียกมาเคลียร์เพราะอึดอัดที่ธีร์ดูห่างเหินไป
เรื่องของเรื่องคือเพื่อนๆ ผู้ชายหลายๆ คนคงรู้ดีว่าหากมีเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายมาบอกเราว่าเขาชอบเรา แต่เราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เพราะว่าเคมีมันไม่มี และเราไม่ได้ชอบผู้ชาย (หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้ชอบเขา) เราจะไม่รู้สึกอยากเป็นคนเข้าไปเคลียร์กับอีกคนให้รู้เรื่องแน่นอน ถามว่าเสียดายความเป็นเพื่อนไหม แน่นอนว่าเสียดายมาก แต่ถามว่าคิดไหมว่ามันคิดกับเราเกินเพื่อนไปแล้ว คิดแน่นอนครับ ดังนั้นก็ปล่อยให้ไปกันคนละทางดีกว่าเพื่อตัดปัญหาอะไรหลายๆ อย่างที่อาจจะตามมา และท้ายที่สุดแล้วคนที่จะเรียกเคลียร์นั้นกลับเป็นอีกฝ่ายที่ชอบเรา ไม่ใช่เราแน่นอน เพราะเรายังมีเพื่อนผู้ชายคนอื่นให้ได้คุยได้เล่นกันอีกเยอะ (แม้อาจจะไม่สนิทเท่าคนนั้นก็เถอะ) แต่ในกรณีนี้ ภู กลับทำตรงกันข้ามหมดเลย ภูกับเป็นคนที่ร้อนรนที่ธีร์เฉยชาจนต้องเรียกเคลียร์เสียเอง แสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่าภูน่าจะรู้สึกกับธีร์เกินเพื่อนไปมากๆ อย่างแน่นอน
อีกอย่างคือผมจำได้ว่าคนๆ แรกในครอบครัวผมที่ผมบอกว่าผมรู้สึกดีๆ กับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งนั้นคือพี่สาวของผมครับ ตอนนั้นผมอยู่อเมริกา และผมรู้สึกว่าผมคิดถึงไอ้เพื่อนสนิทของผมคนนี้มาก มากจนอึดอัดเลยทีเดียว และอาจเพราะอยู่ที่โน่นผมอิสระมาก ผมเลยตัดสินใจโทรกลับมาหาพี่สาวที่ไทยแล้วบอกพี่สาวว่าพี่สาวจะว่าอะไรไหมถ้าผมจะบอกว่าผมชอบเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง แต่ผมก็งงตัวเองเหมือนกันเพราะว่าผมก็ชอบผู้หญิงด้วย ในตอนนั้นพี่สาวผมถามกลับเหมือนแม่ของภูเลยครับว่าใช่เพื่อนคนนี้ไหม แล้วก็บอกต่อว่าก็คิดว่ารู้มาสักพักแล้วเพราะเห็นสนิทกันมาก แต่ยังไม่แน่ใจเพราะเห็นก็หลีสาวอยู่ แล้วก็บอกผมว่าจะชอบอะไรก็ไม่เป็นไรหรอกเพราะมันเรื่องของผม พ่อกับแม่ก็คงไม่ว่าอะไร แต่ก็อาจจะเสียใจบ้าง และแนะนำให้ผมอย่าเพิ่งบอกพ่อกับแม่ก่อนดีกว่า ผมจำได้ว่ากว่าที่ผมจะตัดสินใจกล้าบอกพี่สาวนั้น ผมต้องใช้เวลาคิดนานมากว่าผมรู้สึกแบบนี้จริงหรือเปล่า จนผมตอบตัวเองได้แล้วผมถึงโทรไปพูดกับพี่สาวครับ
ที่ผมจะบอกคือในวันที่ภูตัดสินใจปรึกษาแม่ซึ่งป็นคนที่ตัวเองรักที่สุดและรับรู้ได้ว่าเรื่องแบบนี้จะทำร้ายคนๆ นี้ได้ไม่มากก็น้อยนั้น ภูต้องผ่านการคิดทบทวนและตัดสินใจมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว และในที่สุดก็ยอมรับในความรู้สึกตัวเองได้แล้วได้ระดับที่ว่าตัวเองนั้นชอบธีร์จริงๆ (และผมเชื่อว่าต้องตอบตัวเองได้แล้วด้วยว่าชอบธีร์มากกว่าผู้หญิงอีกคน) เขาถึงได้กล้าบอกแม่ไปครับ เพราะเรื่องแบบนี้ บุคลิกอย่างภูไม่มีทางยอมพูดหรือปรึกษาแม่อย่างแน่นอนหากเขาไม่มั่นใจกับตัวเองแล้วจริงๆ ดังนั้นคำตอบของแม่ในวันนั้นที่ยอมรับกับการตัดสินใจของภูจึงทำให้ภูกล้าที่จะเรียกธีร์มาเพื่อเคลียร์ในตอนที่ 12 เหมือนกับในตอนนั้นที่ผมตัดสินใจคุยกับเพื่อนของผมทางโทรศัพท์หลังจากที่ผมทำให้มันเสียใจด้วยคำพูดแย่ๆ ก่อนไปอเมริกาครับ
แต่การที่จะให้คนอย่างภูมาบอกว่ากูชอบแบบแฟนนะมันไม่ใช่แน่นอนครับ เต็มที่ๆ สุดที่จะให้ได้ก็คือเพื่อนที่ดีที่สุด และเว้นสถานะเอาไว้ที่ "ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหน" ซะดีกว่า (สมัยนั้นเพลงนี้กำลังดังมากๆ) เพราะเหตุนี้ภูเลยเคลียร์กับธีร์ และย้ำวนอยู่ที่เดิมเรื่องขอโทษในสิ่งที่ตัวเองทำ และเรื่องเสียดายความเป็นเพื่อน รวมไปจนถึงเรื่องที่ว่าธีร์เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด แต่ประเด็นมันอยู่ในตอนที่ธีร์ถามภูกลับว่าแล้วจะให้กูทำยังไง แล้วภูก็ตอบกลับว่าบอกกูดีกว่าว่าต้องทำยังไงถึงจะหายเศร้า หายเสียใจ ตรงนั้นไม่ใช่ประโยคคำถามเพื่อจบความรู้สึกที่เพื่อนนะครับ แต่เป็นประโยคเปิดทาง ประโยคโยนหินถามทางของคนที่มีฟอร์ม (เพราะเป็นฝ่ายทำเขาก่อน แถมยังเป็นฝ่ายเลือกคิดจะเดินออกมาก่อนด้วย) เพื่อดูว่าตัวเองยังมีโอกาสไหม หรือเขายังอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมไหม แต่ปรากฏว่าธีร์กลับไม่ได้เข้าใจแบบนั้น อาจเพราะไม่คิดว่าตัวเองยังมีโอกาสแล้วจริงๆ เลยตอบกลับไปอีกแบบที่ก็ทำให้ภูชะงักไปเหมือนกัน ดูจากสีหน้าของภูได้เลยที่ก็เจ็บไม่แพ้กัน คงคิดไปเหมือนกันว่าธีร์คงตัดใจแล้วจริงๆ แทนที่จะตอบกลับมาว่าก็มาเริ่มกันใหม่หรืออะไรก็ตาม (ผมเข้าใจเลย)
ฉากนี้ผมคิดถึงเพลงๆ หนึ่งที่ผมฟังทุกวันเลยครับในช่วงนั้น ผมคิดถึงเลยจริงๆ เพราะผมคิดว่ามันเข้ากับภูมาก และมันก็เข้ากับผมมากในตอนนั้นด้วย เพลงนั้นคือเพลง White Flag ของ Dido ครับ (ซึ่งคุณ CHAINKUB เองก็เหมือนจะคิดถึงเพลงนี้เหมือนกันในกระทู้ก่อนหน้านี้ ยอมรับว่าตอนเห็นคุณโพสเพลงนี้ผมทั้งตะลึง ทั้งงงว่ามีคนคิดถึงเพลงกันด้วย แต่เหมือนคุณกับผมจะคิดกันไปคนละกรณี)
I know you think that I shouldn't still love you, or tell you that.
still
ผมรู้ว่าคุณคิดว่าผมไม่สมควรจะรักคุณอยู่หรือไม่ควรที่จะบอกคุณแบบนั้น
But if I didn't say it, well I'd still have felt it, where's the sense in that?
แต่หากผมไม่บอก สุดท้ายผมก็ยังคงรู้สึกแบบนั้นอยู่จรงๆ แล้วอย่างนี้มันจะมีประโยชน์อะไร
I promise I'm not trying to make your life harder or return to where we were
ผมสัญญาว่าผมจะไม่ทำให้ชีวิตของคุณยุ่งเหยิงไปกว่านี้หรือไม่คิดที่จะหวนกลับไปยังจุดที่เราเคยเป็นอีก
I will go down with this ship. And I won't put my hands up and surrender
ผมจะยอมจมไปกับเรือลำนี้ และจะไม่ขอยกมือขึ้นเพื่อแสดงความปราชัยแต่อย่างใด
There will be no white flag above my door.
จะไม่มีธงขาวแปะอยู่เหนือประตูบ้านผมหรอก
I'm in love and always will be
ผมยังรักคุณอยู่ และจะรักตลอดไป
I know I left too much mess and destruction to come back again
ผมรู้ว่าผมทิ้งความวุ่นวายไว้พร้อมกับทำร้ายคุณมากมายเกินกว่าที่จะหวนกลับมาได้อีก
And I caused nothing but trouble, I understand if you can't talk to me again
และผมนั้นสร้างแต่ปัญหาเอาไว้จนเข้าใจดีหากคุณจะไม่ยอมพูดกับผมอีก
And if you live by the rules of "it's over" then I'm sure that that makes sense
และหากคุณเลือกที่จะปิดประตูด้วยคำว่าเรื่องของเรา "มันจบไปแล้ว" นั้นผมก็คิดว่ามันคงสมเหตุสมผลดี
And when we meet, which I'm sure we will, all that was there will b
และครั้งหน้าหากเราได้พบกัน ซึ่งแน่นอนว่าเราคงต้องได้เจอกัน สิ่งที่เคยเป็นยังไงมันก็จะยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น
I'll let it pass. And hold my tongue
ผมจะยอมปล่อยมันไปอย่างกล้ำกลืนฝืนทน
And you will think that I've moved on....
เพื่อให้คุณคิดว่าชีวิตผมได้ก้าวเดินไปข้างหน้าต่อแล้ว (โดยไม่เป็นอะไร)...
ผมเคยอ่านมาว่าคนที่เขียนบทในส่วนของภูและธีร์น่าจะเป็นคนที่เข้าใจในตัวละครทั้งสองตัวเป็นอย่างดี ผมเชื่อว่าคุณเข้าใจจริงๆ เพราะว่านี่คือการเติบโตของตัวละครสองตัวที่ต้องผ่านพ้นเรื่องนี้ไปจริงๆ แต่ตอนนี้มันคงต้องอยู่ที่ว่าทั้งสองคนจะผ่านมันไปในรูปแบบไหน จะเข้าใจเจตนารมณ์ของอีกคนได้เมื่อไหร่ และจะกลับมาต่อกันได้ติดอีกไหมเท่านั้นล่ะครับ
สำหรับผมในตอนนี้มันเหมือนเรื่องตลกไปแล้วครับ เพื่อนที่ดีที่สุดคนนั้นปัจจุบันก็ยังเป็นเพื่อนคนที่ดีที่สุดของกันและกันอยู่ แต่ที่ตลกคือมันไปมีแฟนเป็นผู้หญิงไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ไม่ว่าจะช่วงที่มีความสุขหรือความทุกข์ก็ยังโทรหากันตลอด และเรายังไปมาหาสู่กันตลอดเหมือนเดิม ถ้ามันไม่มานอน มาดูหนัง มาเล่นเกมที่บ้านผม ก็จะเป็นผมออกไปเที่ยวไปดูหนังกับมันอยู่บ่อยๆ (แต่ไม่ได้มีอะไรเกินเลยจริงๆ บอกไว้ก่อนกลัวหลายๆ คนคิดมาก มานอนคือมานอนเล่นเกมและดูหนัง แค่มองหน้ากันแล้วคิดไปถึงเมื่อก่อนก็ขำแล้ว) แฟนผู้หญิงมันคนก่อนเคยขอให้มันเลิกคบกับผมครับ และตอนนั้นผมคิดว่ามันคงเลิกคบกับผมแล้วจริงๆ แบบทำใจไปเรียบร้อย เพราะมันโทรมาบอก มาสารภาพเลย แต่จู่ๆ วันหนึ่งมันก็โทรกลับมาบอกว่าขอมานอนด้วยหน่อย แล้วก็บอกว่าเลิกกับแฟนผู้หญิงคนนั้นแล้ว อยู่กับผมสบายใจกว่าซะอย่างนั้น ก่อนที่จะมีแฟนคนใหม่นี้อีก ตอนแรกแฟนคนใหม่ของเพื่อนผมก็เหมือนจะอึนๆ กับผมบ้าง แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ไปนั่งดูหนังกันสามคนบ้าง ไปกินข้าวด้วยกันบ้าง แฟนมันยังเคยแซวมันเลยว่าทำไมรู้เรื่องผมมากกว่าเรื่องแฟนตัวเอง กลายเป็นเรื่องคุยกันติดตลก ยอมรับว่าผมยังมีรักมันมากกว่าเพื่อนอยู่บ้าง แต่ก็สบายใจกับจุดนี้เหมือนกัน แล้วก็อดขำไม่ได้ว่าเพื่อนเรามีเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว ทำไมยังเหลือเราที่ยังดูงงๆ กับชีวิตอยู่เหมือนเดิมวะเนี่ย
ไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแค่อยากจะมาแชร์ความคิดเห็นของตัวเองถึงกรณีของ ภู-ธีร์ ดูบ้าง ตอนแรกว่าจะพิมพ์สั้นๆ กลายเป็นพิมพ์ไปพิมพ์มายาวยืดเลยซะงั้น
หลายๆ คนที่เป็นแฟน ภู ธีร์ อยู่ ผมเชื่อว่าบทยังไม่ได้ปิดโอกาสของสองคนนี้ครับ ผมเชื่อว่าคนเขียนบทเข้าใจสองคนนี้ดี และเชื่อว่ายังมีเรื่องให้ได้ติดตามกันต่ออีกอย่างแน่นอน แต่จะจบลงตรงไหนนั้นมันคงเป็นเรื่องของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว คงไม่มีใครมานั่งบังคับใคร หรืออยากให้มันเป็นดั่งใจเราได้หมดทุกอย่างครับ ผมยิ่งเชื่อแบบนั้นเพราะได้เห็นทวิตเตอร์นี้ของน้องมาร์ชนี่แหละ เลยแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันอาจจะเป็นเหมือนเราก็ได้ฟะ