ผูกรักพันใจ ตอนที่ 1//แต่งโดย กล้วยฟ้า

ตอนที่ 1
     บ้านเดี่ยวชั้นเดียวหลังเล็กมีต้นไม้น้อยใหญ่แผ่กิ่งก้านดูร่มรื่น ตรงบริเวณริมรั้วติดประตูด้านหน้ามีซุ้มพื้นไม้หลังคามุงจากรูปร่างคล้ายบ้านญี่ปุ่นมีสวนเล็ก ๆ ดูน่ารัก โต๊ะม้าหิน สี่ ห้าตัว วางเรียงกันอยู่บนบริเวณพื้นไม้ที่ถูกยกสูงจากพื้น  หญ้าสีเขียวขึ้นสั้นยาวดูไม่เป็นระเบียบหากดูแล้วสะอาดตาและร่มรื่น  บนรั้วไม้ระแนงสีขาวมีป้ายเขียนด้วยลายมือดูแปลกตาว่า ‘ครัวลูกชุบ’

        รถยนต์ยุโรปคันใหญ่แล่นเลยเขตรั้วไม้เข้าไปยังบริเวณตัวบ้านที่แม้จะเก่าไปตามกาลเวลาหากไม่ดูทรุดโทรม  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าของใส่ใจดูแลเป็นอย่างดี  ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากรถพลางบิดตัวไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยล้าจากการจราจรเดินทอดน่องไปยังบริเวณซุ้มมุงจากติดรั้วที่แยกส่วนจากบริเวณร้านอาหารและตัวบ้านออกจากกันพร้อมสูดอากาศเข้าปอดเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย

“อ้าวคุณภูมิ วันนี้กลับเร็วนะคะ” เสียงผู้หญิงสูงวัยทักขึ้นขณะที่มืออวบกำลังเก็บจานอาหารใช้แล้วบนโต๊ะม้าหินเมื่อแลเห็นลูกค้าประจำเดินยิ้มเข้ามา

“ครับน้าใจ พอดีวันนี้ที่มหาวิทยาลัยมีกิจกรรมผมก็เลยได้กลับเร็ว หิวก็เลยแวะมาทานข้าวก่อนครับแล้วบังเอิญเจอหนังสือที่ชุบเค้าเคยบ่นว่าหาอยู่ก็เลยแวะเอามาให้ก่อน” ชายหนุ่มที่ชื่อภูมิทำความเคารพและตอบเจ้าของบ้านซึ่งพ่วงตำแหน่งมารดาของเจ้าของร้านอาหารครัวลูกชุบไว้ด้วยอย่างอ่อนน้อม

“งั้นเดี๋ยวน้าไปบอกชุบให้ทำกับข้าวให้คุณภูมิก่อนนะคะ วันนี้ทานอะไรดีคะ” ใจรักถามลูกชายของลูกค้าประจำอย่างใจดี

“โอ๊ยหน้าอย่านี้จะกินอะไรเป็นคะแม่ กินเป็นแต่อะไรก็ได้ตลอดนั่นแหล่ะ มัวแต่คิดเรื่องจะสับรางรถไฟยังไงก็ไม่มีเวลาเหลือไว้คิดอย่างอื่นหรอกค่ะ”   เสียงจากเจ้าของร่างอวบ  ตัวสูงใหญ่เกินมาตรฐานหญิงไทยทั่วไปแว้ดออกมาขณะเดินถือจานอาหารออกมาส่งให้ชายหนุ่มตรงหน้า   ลูกค้าในร้านที่นั่งกินอยู่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ เพราะชินชากับบทสนทนาแปลก ๆ ของทั้งสองเป็นอย่างดี

“เอ้านี่  อะไรก็ได้ของคุณวันนี้ รีบกินแล้วก็รีบกลับซะวันนี้ชั้นมีธุระจะรีบปิดร้าน”

     พูดจบร่างสูงก็เดินหันหลังเข้าครัวไปทันที นางใจรักได้แต่ส่ายหน้าระอากับลูกสาวคนเดียวที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับภูมินทร์ อินทรลักษณ์ บุตรชายคนเล็กของบริษัทส่งออกอัญมณีรายใหญ่ของประเทศซึ่งครอบครัวของชายหนุ่มเป็นลูกค้าประจำรายใหญ่ของร้านอาหารของนางและบุตรสาว ทว่าปวีร์หรือลูกชุบ บุตรสาวคนเดียวของหล่อนนั้นไม่ถูกชะตากับบุตรชายคนเล็กของบ้าอินทรลักษณ์มาแต่ไหนแต่ไรหากเกรงใจบิดามารดาและครอบครัวของชายหนุ่ม ปวีร์จึงจำใจต้องคอยดูแลเรื่องอาหารการกินให้ภูมินทร์ไปโดยปริยาย

      ปวีร์ บุปผาบริบูรณ์หรือลูกชุบอาศัยอยู่กับมารดาเพียงสองคน  เมื่อบิดาจากไปอย่างกะทันหันจากอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อนจึงทำให้หญิงสาวตัดสินใจลาออกจากงานประจำและกลับมาอยู่กับมารดาพร้อมช่วยมารดาดูแลร้านอาหารเล็ก ๆ ที่บ้าน โดยนอกจากจะทำอาหารขายที่บ้านแล้วก็ยังรับทำอาหารและขนมสำหรับงานเลี้ยงต่าง ๆ โดยลูกค้าเจ้าประจำรายใหญ่คือครอบครัวของภูมินทร์ เนื่องจากมารดาของหญิงสาวมีฝีมือในการทำอาหารหลากชนิดและตัวหญิงสาวเองก็ชอบทำอาหารทั้งไทยเทศ รวมทั้งขนมหวานต่าง ๆ จึงทำให้มารดาของภูมินทร์มาสั่งอาหารกับหญิงสาวเป็นประจำเวลามีแขกหรือมีงานทั้งที่บ้านและที่บริษัท  และยังแนะนำลูกค้ากระเป๋าหนัก ๆ ให้หญิงสาวเสมอ   นอกจากนี้ทางบริษัทของครอบครัวภูมินทร์ก็ยังส่งงานแปลและจ้างหญิงสาวไปทำงานล่ามยามที่บริษัทขาดคนอยู่บ่อยครั้งจึงทำให้ปวีร์และมารดาซาบซึ้งและเกรงใจคุณชนิดามารดารวมถึงครอบครัวของภูมินทร์เสมอ

“นี่คุณผมขอข้าวไข่เจียวอีกจานได้มั้ยวันนี้หิว” ภูมินทร์เดินถือจานอาหารของตัวเองเข้าไปยังครัวหลักของร้านอาหารครัวลูกชุบตามความเคยชิน

“กินล้างกินผลาญจริงนะคุณเนี่ย  จะกินแค่ไหนก็ตักข้าวมาวางไว้แล้วก็ออกไปรอข้างนอกอยู่ในนี้เกะกะ” หญิงสาวใช้ผ้าสีขาวสะอาดซับเหงื่อตัวเองขณะปากยังคงบ่นชายหนุ่มไม่หยุด   โดยที่ไม่ได้ละสายตาจากการทำอาหารตรงหน้าแม้แต่น้อย

“เดี๋ยวคุณภูมิ  ยกจานนี้ไปให้ลูกค้าโต๊ะไม้ริมรั้วที ... ยกดี ๆ นะอย่าให้หกเหมือนคราวที่แล้วล่ะ”  ปากพูดหากไม่ได้ส่งสายตามองคนที่ถูกใช้แม้แต่น้อย  มือยังคงง่วนกับการทำอาหาร

“ใช้ตลอดเลยนะคุณนี่   ลืมไปรึเปล่าว่าผมเป็นลูกค้านะแถมเป็นลูกค้ากิติมศักดิ์ด้วย”  ชายหนุ่มแอบบ่นหญิงสาวตรงหน้าหากเมื่อเห็นสายตาที่ตวัดมองมาพร้อมริมฝีปากที่กำลังจะอ้าขึ้น  ชายหนุ่มก็รีบคว้าจานอาหารที่ถูกสั่งและเดินออกไปทันทีก่อนบ่นออกมาไม่ดังหนัก

“ผู้หญิงอะไรดุจริงเชียว แล้วอย่างนี้ผู้ชายที่ไหนจะชอบ ได้เมียเหมือนได้แม่”

        ชายหนุ่มวางจานอาหารให้ลูกค้าหน้าสวยพลางส่งยิ้มหวานและสายตาเจ้าชู้ไปให้ทันทีที่เห็นว่าสาวเจ้ากำลังทอดสะพานให้เมื่อเห็นหน้าเค้า ภูมินทร์เป็นผู้ชายเจ้าชู้ กะล่อน คารมคมคายและช่างออดอ้อนไม่ว่าจะเป็นทางสายตาหรือคำพูดทำให้มีสาวน้อยสาวใหญ่แวะเวียนมาให้ชายหนุ่มส่งสายตาให้เสมอ บ้างก็ได้สานสัมพันธ์บ้างก็เพียงแค่พูดคุยสนุก ๆ ให้ชีวิตมีรสชาติ ภูมินทร์เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีแถมเข้าตำรารูปหล่อพ่อรวยมีหน้าตาและอาชีพการงานที่ดี สาว ๆ หลายคนเพียรพยายามขายขนมจีบให้ชายหนุ่มหากชายหนุ่มไม่คิดจริงจังกับใครและตอนนี้ชายหนุ่มเองก็มีเป้าหมายใหม่ในการพยายามจีบอาจารย์สาวต่างคณะที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่มหาวิทยาลัยเดียวกันได้ราวครึ่งปีแล้ว ติดที่ว่าสาวเจ้ายังคงใจแข็งและเว้นระยะห่างมากมายกับเค้า

“เอ้ามาแล้วไข่เจียว จะกินอะไรอีกมั้ยชั้นจะปิดครัวแล้ว”  ข้าวเม็ดสวยพร้อมไข่เจียวปูฟูวางลงตรงหน้าชายหนุ่มที่ยังคงส่งยิ้มหวานให้ลูกค้าสาวสวยอีกโต๊ะนึง

“คุณภูมินทร์ชั้นถามว่าจะกินอะไรอีกมั้ย ชั้นจะปิดครัวแล้ว”  ปวีร์แว้ดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นลูกค้ากิติมศักดิ์ชองเธอยังคงมองไปอีกทางอย่างอดไม่ได้ จนคนที่กำลังถูกดุสะดุ้งและหันมาตอบคำถามเพราะสรรพนามที่เธอใช้เรียก เมื่อใดก็ตามที่เธอเรียกเค้า ‘คุณภูมินทร์’ นั่นหมายความว่าเจ้าตัวกำลังหงุดหงิดเป็นกำลัง

“หาอะไรนะ... อ๋อไม่เอาแล้วแค่นี้ก็อิ่มแล้วแหล่ะ”  ชายหนุ่มหันกลับมาตามเสียงแว้ดก่อนบอกปฏิเสธ

“ดี งั้นก็รีบ ๆ กินซะชั้นไปล่ะ  ถ้าอิ่มแล้วจะเอาขนมก็อยู่ในตู้เย็นถ้ากินไม่ได้ก็ไปเอาที่แม่ในบ้านละกัน”  พูดจบก็หมุนตัวจะเดินจากไปหากเสียงทุ้มของคนที่กำลังเคี้ยวข้าวก็ถามขึ้น

“จะรีบไปไหน นี่มันก็เย็นมากแล้ว ออกจากบ้านค่ำ ๆ มืด ๆ เดี๋ยวนี้อันตรายจะตาย ...ไปไหนเหรอ”

“เรื่องของชั้น  แล้วชั้นก็ไม่จำเป็นต้องบอกคุณ  กินเสร็จแล้วก็รีบ ๆ กลับบ้านไปได้แล้ว แม่คุณบ่นว่าไม่เห็นหน้าตุณมาเป็นอาทิตย์แล้ว”  
หญิงสาวไม่ใส่ใจที่จะตอบหากบ่นชายหนุ่มเรื่องที่เจ้าตัวกลับบ้านดึกดื่นแถมบางทีก็ไม่กลับจนคุณชนิดามารดาของชายหนุ่มมาบ่นให้ฟังแทบทุกวันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาพลางขอความช่วยเหลือให้ช่วยบอกเจ้าตัวให้กลับบ้านเร็ว ๆ บ้าง

“ไม่บ่นบ้างเนี่ยจะนอนไม่หลับหรือไงนะ...”  หากยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องกลืนคำพูดลงคอเมื่อเห็นสายตาที่มองมา

“ชั้นไปล่ะ แล้ววันหลังถ้าแวะมากินข้าวที่นี่ได้ทุกวันก็ควรจะกลับบ้านไปให้บุพการีเห็นหน้าบ้างนะ  ไอ้บาปที่ทำ ๆ ไว้มันจะได้น้อยลงบ้าง”  หญิงสาวพูดจบก็เดินจากไปสั่งงานกับเด็กในร้านแล้วจึงเดินหายไปทางตัวบ้านซึ่งมีรั้วแบ่งไว้อีกชั้นเพื่อความปลอดภัย  โดยมีสายตาของคนตัวโตกว่ามองตามไป

        หญิงสาวอาบน้ำสระผมและแต่งตัวเพื่อออกไปข้างนอกวันนี้ปวีร์แต่งตัวแตกต่างไปจากที่เคย แม้รูปร่างของหญิงสาวจะอวบอิ่มและตัวใหญ่กว่ามาตรฐานหญิงไทยทั่วไปทว่าหญิงสาวก็ไม่ได้จัดว่าตัวใหญ่เกินมาตรฐานเช่นกัน หญิงสาวใส่ชุดราตรีเกาะอกไหล่เดียวสีม่วงอ่อนยาวกรอมเท้า ผมไม่สั้นไม่ยาวบัดนี้มีกิ๊ฟตัวสวยติดเพื่อโชว์ใบหน้าที่แม้ไม่ได้จัดว่าสวยตามนิยามทั่วไปหาก็เป็นใบหน้าที่น่ามองด้วยดวงตากลมโตรับกับริมฝีปากไม่หนาไม่บางที่ดูพอเหมาะพอดีสมตัว หญิงสาวไม่ชอบแต่งหน้าแต่งตัวเพราะรู้สึกอึดอัดที่ต้องเป็นจุดสนใจของคนอื่นและรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง หญิงสาวถอนหายใจยาวมองเงาของตนเองในกระจกอีกครั้งก่อนเดินออกจากห้องเพื่อบอกลามารดา คืนนี้เธอต้องไปออกงานสังคมงานใหญ่เพื่อทำหน้าที่ล่ามให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงจากต่างประเทศจึงจำเป็นต้องแต่งตัวให้เข้ากับกาละเทศะ

“แม่คะแม่ ชุบไปก่อนนะคะ คิดว่าคงไม่ดึกมาก” หญิงสาวส่งเสียงไปทางห้องครัวด้วยหากไม่มีเสียงมารดาตอบกลับมาจึงชะโงกหน้าเข้าไปดู
  
“แม่คะ” ปวีร์ส่งเสียงเรียกอีกครั้งหากน้ำเสียงที่ตอบกลับมาทำให้เจ้าตัวถึงกับสะดุ้ง  และแปลกใจเมื่อเห็นคนที่เธอไล่ให้กลับบ้านยังนั่งสบายอารมณ์อยู่ในห้องครัวบ้านเธอ

“น้าใจออกไปที่ร้าน เดี๋ยวก็มา” ภูมินทร์บอกหญิงสาวเจ้าของบ้านและขนมที่เจ้าตัวกำลังกินอย่างเอร่ดอร่อย

“คุณมาทำอะไรในบ้านชั้นเนี่ย”  ปวีร์มองไปยังร่างของคนที่กำลังนั่งตักเค้กชิ้นโตเข้าปากอย่างเพลิดเพลิน

“ก็คุณบอกให้ผมมากินขนมที่นี่ถ้าขนมที่ร้านไม่ถูกปาก” ปากตอบหากสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ก้อนขนมสีดำมันตรงหน้า

“อ้าวชุบจะไปแล้วเหรอลูก” เสียงมารดาที่ดังขึ้นทำให้หญิงสาวหมดความสนใจจากชายหนุ่มและเดินออกไปยังโถงรับแขกเล็ก ๆ ด้านหน้าทันที

“ค่ะแม่ เดี๋ยวจะสายกลับไม่น่าจะดึกมากค่ะ ... แม่คะเดี๋ยวถ้าคุณภูมิกินเสร็จแล้วแม่ไล่เค้ากลับบ้านด้วยนะคะกำชับอย่าให้ไปเถลไถลที่อื่น คุณชนิมาบ่นกับชุบหลายทีแล้ว”  เมื่อมารดาพยักหน้ารับหญิงสาวก้มตัวลงหอมแก้มของมารดาก่อนจะเดินไปยังเจ้าดำรถคู่ใจ

      หลังเพียรพยายามติดเครื่องพร้อมอ้อนวอนเจ้าดำลูกรักเป็นเวลาเกือบสิบนาทีหญิงสาวก็หมดความอดทนและเดินหน้ามุ่ยเดินกลับเข้ามายังตัวบ้านอีกครั้งพลางบ่นเจ้าดำลูกรัก.

“ดำนะดำ มาเกเรวันไหนก็ไม่เกเรทำไมต้องมาเป็นวันนี้ แม่มีงานสำคัญนะ”

“รถเป็นอะไรลูก”  นางใจรักถามบุตรสาวเมื่อเห็นเจ้าตัวเดินหน้ามุ่ยเข้ามา

“ไม่รู้ค่ะแม่ เมื่อตอนบ่ายยังดี ๆ อยู่เลย ทำไมต้องมางอแงตอนนี้ก็ไม่รู้ ชุบต้องไปถึงงานก่อนสองทุ่มซะด้วยสิ”

“ตายจริงนี่มันจะทุ่มครึ่งแล้วนะลูก เอายังงี้เดี๋ยวแม่โทรไปเรียกแท็กซี่ให้ดีกว่า”

“ขอบคุณค่ะแม่  เดี๋ยวชุบไปเปลี่ยนชุดก่อนไปแท็กซี่ทั้งอย่างนี้ไม่ดีแน่”  พูดพลางก้มลงมองชุดของตนเอง

        ภูมินทร์ได้ยินเสียงรถสตาร์ทไม่ติดและได้ยินว่าเจ้าของบ้านทั้งสองกำลังประสบปัญหาเรื่องการเดินทางจึงเดินออกจากห้องครัวมาสมทบหากยังไม่ได้ทันได้เอ่ยอะไรออกไปสายตาก็จับจ้องไปยังร่างอวบอิ่มของคนที่ตนเองไม่เคยคิดว่าสวยหรือดึงดูดแต่อย่างใด หากตอนนี้ “แม่ครัวลูกชุบ” อยู่ในชุดเกาะอกไหล่เดียวสีม่วงอ่อนผมไม่สั้นไม่ยาวที่ปกติถูกเจ้าตัวเอาผ้าผืนโตมาคาดไว้บัดนี้ม้วนเป็นลอนสวยงาม ใบหน้าที่ปกติจะมีแต่เม็ดเหงื่อจากการทำอาหารบัดนี้ดูมีเสน่ห์ด้วยเจ้าตัวแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางไม่มากทว่าไม่น้อยเกินไปที่ขับให้ดวงตากลมโตดูสุกสกาวริมฝีปากสีชมพูส้มที่เข้ากับสีผิวของเจ้าตัวเป็นอย่างดี กว่าชายหนุ่มจะหาเสียงตนเองเจอจากอาการตกตะลึงรูปลักษณ์ใหม่ของคนที่ตนเองมองว่าสุดแสนธรรมดาหญิงสาวก็กำลังเดินผ่านหน้าไปพอดีจึงรีบพูดขึ้น

“เอาอย่างนี้มั้ยครับน้าใจเดี๋ยวผมไปส่งชุบให้ที่งานแล้วจะรอรับกลับให้เลย  จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนชุดแล้วแท็กซี่ก็อันตรายเกินไป”

“ไม่เป็นไรชั้นไปเองได้  แม่คะเรียกรถให้ชุบทีนะคะ”  ทว่าคนอาสาไม่ยอมให้ปฏิเสธด้วยหวังดีจริง ๆ และตัวเองก็ยังไม่อยากกลับไปให้มารดาเทศนาที่บ้านด้วย

“ไปกับผมเนี่ยแหล่ะ นี่จะสายแล้วนะคุณต้องไปถึงก่อนสองทุ่มไม่ใช่เหรอ”

“ชั้นไม่อยากไปกับคุณนี่แล้วก็อีกอย่างแม่คุณก็รอให้คุณรีบกลับอยู่  คุณกำลังทำให้ชั้นเสียเวลานะหลีกไปได้แล้ว”

“ไปกับผมนี่แหล่ะดีแล้ว เดี๋ยวผมค่อยโทรไปบอกคุณแม่ว่าไปส่งแล้วก็รอรับคุณ  ไม่ต้องปฏิเสธเลยคุณแม่ท่านไม่ว่าอยู่แล้ว  ไปกับผมน้าใจจะได้ไม่ต้องห่วงด้วยไม่ต้องพูดแล้วไปกันได้”  ไม่เว้นจังหวะให้หญิงสาวปฏิเสธภูมินทร์คว้าข้อมือของหญิงสาวและลากออกไปยังรถของตนทันทียัดตัวหญิงสาวเข้าไปในรถ ก่อนยกมือไหว้มารดาของปวีร์และขับรถออกไปทันที
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่