ผมขอคารวะเพื่อน ๆ ทุกคน
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงครับ เพียงอยากจะบอกว่า "คนเราเกิดมาไม่ได้ดีไปหมดทุกอย่าง" เหมือนนายกทักษิณ ใคร ๆ ก็บอกว่าท่านเลว แต่ส่วนดีของท่านก็มีดังที่ผมจะเล่าต่อไป อนึ่ง ผมเคยอ่านกระทู้เพื่อนท่านบอกว่า "ความฉลาดนี่แปลก อวดที่ไรโง่ทุกที" ผมว่าทุกอย่างละครับ ถ้าอวดแล้วจะโง่ทันที ผมจะพยายามไม่ให้เกิดสิ่งเหล่านี้ แต่มองว่าเป็นการอวดก็ขอให้เข้าใจว่า ผมไม่มีเจตนาเช่นนั้น
ผมเป็นลูกชาวนาครับ แม่เล่าให้ฟังว่าหลังจากขาดทุนจากการทำไร่อ้อยก็มาทำนาอย่างเดียว เด็ก ๆ ผมก็เดินเทียวโรงเรียนกับเพื่อนๆ ระยะทางไปกลับประมาณ 20 กิโลเมตร เป็นทางเกวียนข้างทางเป็นป่า ขากลับผมและเพื่อน ๆ ก็มักจะแวะเก็บหมากเล็บแมว หมากขี้หนู หรือไม่ก็หมากผีผ่วนกินประจำ สนุกดีครับ เพราะยากจนพ่อกับแม่จึงส่งพี่ชายมาเรียนหนังสือกับปู่จนได้รับราชการครู (เงินเดือนพันกว่าบาท น้อยมาก)
ต่อมาเมื่อขึ้น ป.4 ผมไปเรียนอยู่พี่ชาย ที่ที่ผมอยู่เป็นพื้นที่สีชมภู คือ พื้นที่คอมมิวนิสต์ ที่นี่เป็นคอมมิวนิสต์เกือกทุกครัวเรือน อยู่ที่นี่ลำบากครับทุกเรื่อง ไม่มีไฟฟ้า ทีวี ประปา ถนนหนทางก็ไม่ดี อาหารการกินส่วนหนึ่งซื้อส่วนหนึ่งหากินเองตามธรรมชาติ แล้วแต่ชาวบ้านจะเอามาขาย พี่ผมเป็นครูบรรจุใหม่ๆ หลังตกเบิกไม่นานก็ต้องทำเรื่องกู้ เหตุผลผลคือต้องแต่งงาน ซื้อมอไซค์ขี่ไปสอนหนังสือเพราะโรงเรียนอยู่ไกล เงินเดือนก็น้อยอยู่แล้วยังต้องหักโน่นนี่ สิ้นเดือนก็เหลือไม่กี่บาท แต่ภาระที่ต้องดูแลคนในครอบครัวมันเยอะ นี่ยังไม่รวมรายจ่ายอื่นที่ไม่คาดคิด ก็ทำให้เป็นหนี้สินผูกพันกันมาเรื่อย ๆ
ที่นี่ยิงกันบ่อยระหว่าง เจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองกับทหารป่า ยิงกันเหมือนในหนังเลยหละ ลอบเผาสะพาน เหมือนกับภาคใต้ของเราตอนนี้ แต่ที่ไม่เหมือนคือ บ้านผมเขาไม่ฆ่าครู ไม่ฆ่าเด็ก หรือข้าราชการอื่นยกเว้น อส. ทหาร ตำรวจ และชาวบ้านที่เป็นสายของแต่ละฝ่ายเท่านั้น
และไม่มีการวางระเบิด
ผมไปโรงเรียนเพื่อน ๆ มักจะเรียกผมว่า ไอ้คอมมิวนิสต์ ยังไม่รู้ว่าเพื่อนเข้าใจว่าอย่างไร ไม่ดี ป่าเถื่อน ล้มล้าง ต่อต้านอำนาจรัฐ ประมาณนี้หรือเปล่า ทุกครั้งที่ผมและเพื่อน ๆ ไปไม่ทันเข้าแถวเคารพธงชาติ ครูฝ่ายปกครองก็จะจับเรียงแถวตี วันที่ 1 ตี 1 ที วันที่ 2
ตี 2 ที ตีไปเรื่อย ๆ ผมทนเจ็บไม่ไหวผมก็เลยเข้าพบอาจารย์ฝ่ายปกครองคนที่ตีผม ชื่อ( อ.สำ.......) ผมพูดกับอาจารย์ว่า พวกผมขึ้นรถ
ตรงเวลา รถมาถึงเวลาไหนก็เวลานั้นแหละ มันไม่ใช่ความผิดพวกผม ครูแย้งว่าทำไมไม่บอกรถให้ออกจากบ้านเช้าขึ้น ผมบอกว่ารถวิ่งผ่านหลายหมู่บ้าน วันไหนคนน้อยก็ถึงไว วันไหนคนรายทางมากก็ถึงโรงเรียนสาย.. เช้าวันต่อมาก็ไม่มีเหตุการณ์นี้อีก (เรื่องนี้เพื่อน ๆ ที่ร่วมเดินทางไม่มีใครรู้)
แต่ต่อมาไม่นานก็โดนตีอีก คราวนี้ผมโดน 3 ครั้ง ไม้ขาดกระเด็น เหตุเพราะผมใส่เสื้อกันหนาวไปโรงเรียนโดยไม่ใส่เสื้อนักเรียน
ผมนึกในใจว่า เหตุผลแค่นี้ครูก็เล่นหนักเสียจนจิตใจผมเตลิด ครูไม่ถามว่าเหตุผลคืออะไร ผมมีชุดนักเรียนเพียงชุดเดียว เสื้อซักทุกเย็น รองเท้า ถุงเท้า กางเกงอย่างละ 1 กลับถึงบ้านตอน 6 โมงเย็นหมดสิทธิ์ที่จะซักอย่างอื่น แต่วันนั้นลืมซัก ก็เลยใสเสื้อกันหนาว ซึ่งปกติก็ใส่เสื้อกันหนาวไปเรียนอยู่แล้ว อาจารย์คนนี้คือ อ. อด... ผมรับไม่ได้กับการทำโทษพวกผมเพราะเหตุผลแค่นี้ ผมนึกในใจว่านี่มันโรงเรียนหรือคุกนักโทษกันแน่ บอกตามตรงว่า เจ็บใจมาก มันเหมือนเอาอำนาจมากดกัน ตอนนี้อายุ 45 ปีครับ ผมจำเรื่องนี้ได้ดี (หลังเสาธง
ใต้ต้นสน ใต้แสงแดดอ่อนตอนเช้าในหน้าหนาว ไม้ขาดกระเด็นจนต้องเปลี่ยน)
ผมเรียนจบ ม.6 ก็เข้ากรุงเทพฯ ไปสมัครทำงานรับจ้างส่งของ(เครื่องใช้สำนักงาน) แถวเยาวราช เงินเดือน 1,700 บาท ก็เหลือเก็บครับเดือนละ 500 บาท สิ้นปีก็มีแต๊ะเอียก็พอได้ใช้ครับ ถึงแม้จะเหนื่อยก็ทนไหว เพราะเคยทำงานหนักตั้งแต่เด็ก
มาพบรักกับคนบ้านเดียวกันครับ ก็เลยขอเธอแต่งงาน แต่ตอนนั้นมีเงินก็ไม่พอค่าสินสอด ทำงานทุกบาททุกสตางค์ให้เธอเก็บหมด บ้านที่เช่าอยู่มีพี่ ๆ หลายคนอยู่ด้วยกัน ตกกลางคืนก็จะเอาไฮโลมาเขย่า เล่นกันแบบสนุก...ขำ ๆ เข้าทางผมครับ ไปไปซื้อลูกไฮโล
แถวสามย่านมาครับแบบ 5 5 1 คือ เวลาเราเขย่านิดเดียวกันก็จะขึ้น 5 5 1 ผมอาสาเป็นเจ้ามือก็สลับกับไฮโลของพี่เขาโดยไม่ให้เขารู้ ผลปรากฎว่า ได้ผลครับ และคิดว่าคงเดาออกนะครับว่า ผมเอาเงินไปทำอะไร คนเราเวลาจนมุมมันก็จะคิดทำในเรื่องแปลก ๆ
ผมไปสู่ขอผู้หญิงคนนี้ด้วยตนเองครับ แม่ยายถามว่าทำไมให้พ่อแม่มาขอ ผมบอกว่า พ่อแม่ไม่ได้แต่งด้วย เมียผมผมก็ต้องขอเอง.. (อิ อิ อิ) แต่สุดท้ายก็ให้ผู้เฒ่าผู้แก่เหมือนเดิมนั่นแหละ
หลังแต่งงาน ผมกับเธอก็พากันไปหาบ้านเช่า ผมไปดูแถวฝั่งธนฯ โอ้โหครับ ห้องละ 700 บาทต่อเดือน ห้องกั้นด้วยเศษไม้กระดาน ใต้ถุนเต็มไปด้วยน้ำเสีย ยุงก็เยอะ ก็เลยไปที่อื่น (แต่คนอื่น ๆ เขาก็อยู่กันนะนับถือ ๆ จริง ๆ ) ก็ไปได้ห้องเช่าแถวถนนตก อยู่ชั้น 3 ครับ
มีห้องน้ำอยู่ชั้นล่างห้องเดียว น้ำอาบ น้ำดื่ม น้ำใช้ ผมก็เอาจากห้องน้ำห้องนี้แหละ ก็ซื้อของเข้าห้อง ของชิ้นแรก คือ ทีวีครับ แล้วก็ เขียง มีดโต้ ครก สาก แค่นี้ครับ
ต่อมาผมจึงย้ายมาทำงานที่บริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง เป็นพนักงานส่งเอกสาร ชื่อ บริษัท ..อุตสาหะประกันภัย (ชื่อประมาณนี้ครับ) อยู่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบ ทำงานวันแรก ผจก.ฝ่ายก็ให้ผมไปรับเงินที่ตึก เนชั่น บางนา เงินสดสามแสนกว่าบาท (สงสัยจะเป็นการทดสอบ) ก็โอเคครับ ได้พิเศษ 500 ตั้งแต่นั้นมาผมจึงเป็นที่ไว้วางใจ เพื่อน ๆ ในฝ่ายเก่ง ๆ ทั้งนั้นครับ ผมจึงมีโอกาสได้รับความรู้ต่าง ๆ มากมายจากตรงนี้ ผมว่าได้ความรู้จากที่นี่มากกว่าตอนที่ผมเรียนเสียอีก.. ผมเป็นคนเรียนไม่เก่งครับ แต่ผมประเภทครูพักรักจำ ช่วยงานเขาทุกอย่างจนมีโอกาสเป็นพนักงานยอดเยี่ยมของบริษัทฯ ทำให้เงินเดือนขึ้นเยอะพอสมควร ส่วนคู่ชีวิตผมนั้นก็ทำงานที่ บ.จิวเวอร์รี อาคารหวั่งหลี เงินเดือนก็น้อยครับแต่พออยู่ได้ ช่วงนี้ก็ต้องส่งน้องที่บ้านนอกเรียน 2 คน เมียผมก็ต้มไข่ไปขายที่ทำงาน ก็ลำบากครับ ก็พออยู่ได้ครับ...ช่วงนี้ผมกับเธอพักอยู่ที่ประชานิเวศน์ หลังโรงเรียน (ตอนปี 35 ช่วงรัฐประหารแถวนี้ทหารเต็มไปหมด) เธอจะไปทำงานด้วยการขึ้นรถไฟ ก็ขึ้นที่สถานีบางเขน เมื่อเธอท้องโต ขึ้นลงรถไฟลำบากผมกับเธอจึงตัดสินใจลาออกจากงาน ไปอยู่บ้านนอกในปี 39 ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มทรุด... คนเริ่มตกงาน
ผมกลับมาตระเวณขายเครื่องถ่ายเอกสารมือสอง ส่วนภรรยากับไปอยู่กับครอบครัวรอคลอด นาน ๆ จะเจอกันเพราะอยู่กันคนละจังหวัด แต่แล้ววันที่เธอคลอด ผมก็ใจสลาย เพราะว่าลูกผมที่คลอดออกมาแล้วหมอแจ้งว่ามีปัญหาระบบขับถ่ายต้องผ้าตัด เพื่อน ๆ ครับ ขณะที่ตอนนั้นเงินก็มีไม่มาก งานก็ไม่เป็นหลักแหล่ง ลูกเกิดมาเพียงวันเดียวหมอก็ต้องเอาเข็มน้ำเกลือเสียบไว้ที่หัว ผมสงสารลูกกับเมียสุด ๆ แต่โชคดีที่ว่าการรักษาเด็กไม่มีค่าใช้จ่าย และอยู่รักษาตัวไม่นานก็ออกจากโรงพยาบาลได้ ระหว่างรักษาตัวผมไปบนบานไว้ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ด้วยมาลัย 7 สี 7 สอก และภาวนาอยู่ในใจขอให้ลูกรอดปลอดภัย สุดท้ายก็รอดครับ ตอนนี้เรียนอยู่ชั้น ม.6 ผมตั้งชื่อลูกว่า......(ซึ่งมีความหมายเกี่ยวกับการได้มาโดยบังเอิญ) เป็นชื่อที่เป็นมงคลกับผมมาก เพราะ..ในเวลาต่อมาลูกค้าเข้าร้านผมเพราะชื่อร้านความหมายดี
(เชื่อไหมลูกค้าที่มาทำเอกสารผลงานที่ร้าน จะผ่านแทบทุกคน มีบ้างที่ต้องปรับปรุง) เรื่องราวเหล่านี้ลูกค้าจะบอกปากต่อปาก
พ่อบอกผมเสมอว่าให้พาลูกเมียไปอยู่ที่อื่นให้ได้ ไม่ให้อยู่ที่นี่เพราะกลัวชาวบ้านเขาจะนินทาว่าเลี้ยงครอบครัวไม่ได้ พ่อเตือนผมตลอด ผมจึงเปิดร้านโรงพิมพ์และศูนย์ถ่ายเอกสารเล็กๆ มีเครื่อง 2-3 ชิ้น(ตามที่เคยเล่า) แต่โฆษณาเกินจริง แบบว่าครบวงจร
ผมขอเช่าห้องเปิดร้านกับเจ้คนหนึ่ง โดยลงทุนทำห้องน้ำเองและกั้นห้องเอง เดือนละ 2,000 บาท แล้วรับลูกเมียมาอยู่ด้วย
พร้อมกับเงินติดตัว 4,000 บาท โดยพ่อให้เงินมาจ่ายค่าห้องเช่าล่วงหน้า 10,000 บาท ก็เหลืออีก 12,000 บาท
เจ้เจ้าของบ้านแกก็ใจดีสุด ๆ ครับ ผมไปตกแต่งร้านกั้นห้อง ทำห้องน้ำ ใช้เวลา 1 อาทิตย์ วันเปิดร้านแกก็มาเรียกเก็บค่าน้ำประปา กับผม เป็นเงิน 121.50 สตางค์ (ผมรู้ว่าเป็นใบเสร็จค้างเก่า) ไม่เป็นไรครับก็จ่ายไป 2-3 เดือนแรกมีรายได้วันละ 20 บาท เข้าเดือนที่ 4 5 6 ก็เพิ่มเป็น 50 บาท อย่างที่เคยบอก นึ่งข้าวใส่ติบ ซื้อปิ้งไก่ไม้หนึ่ง 10 บาท กินกับเมีย 3 มื้อ บางครั้งก็จ้ำปลา- กัดบักพริกดิบตามด้วยหัวหอมนี่หละก็อยู่ได้อย่างชิวชิว ที่ข้างบ้านเช่านั้นมีต้นมะละกอต้นหนึ่งครับ ลูกมันจะดกมาก ผมก็เลยได้มะละกอต้นนี้แหละช่วยพยุงชีวิต อีกทางหนึ่ง
เป็นที่น่าสังเกตุว่า สาย ๆ ของทุกวัน เจ้คนนี้ก็จะมาเก็บมะละกอต้นเดียวกันกับผมนี้แหละทุกวันครับ จนเมียผมเห็นผิดสังเกตก็เลยเป็นอันเข้าใจว่า เพราะเรายังค้าค่าเช่าอยู่นี่เอง ผมกับเมียตัดสินใจขายทองสินสอด 2 บาท แล้วไปจ่ายค่าเช่าที่บ้านของแกที่อยู่ห่างไปอีกไกล พอจ่ายแล้ว เจ้แกก็บอกว่า ปีหน้าจะขึ้นค่าเช่าเป็น เดือนละ 2,500 บาท ผมพูดไม่ออกเลยครับ นึกในใจลำพังแค่จะกินไปวัน ๆ ยังยาก เจอไม้นี้เหี่ยวเลยครับ และตั้งแต่วันนั้นเจ้แกก็ไม่มาเดินผ่านหน้าบ้านอีกเลย ต่อมาแก่มาสั่งทำใบเสร็จ ผมก็เกรงใจเจ้าของบ้านเช่าครับ ทำให้ในราคา 25 บาท แต่เจ้แก่จ่ายผมจริงเล่มละ 23 บาท ก็พูดไม่ออกก็ต้องทำใจ (ตอนนั้นอุปกรณ์ปรุกระดาษผมไม่มีครับ ผมก็ใช้วิธี เอามีดโต้ทำกับข้าวนี่แหละมาทำให้เป็นรอยหยัก ๆ แล้วก็มาตอก มีอยู่ครั้งหนึ่มีอาจารย์คนหนึ่งมาจ้างให้พิมพ์งาน อ.3 ผมรับทันที พิมพ์อยู่ 2 วัน 2 คืน ไม่หลับไม่นอนครับก็ทำร้านฯ เริ่มมีงาน พวกงานเย็บปกเข้าเล่ม ถ้าเล่มบางก็ใช้คัตเตอร์กรีด แต่ถ้าหนาก็ไปจ้างเขาตัดอีกต่อหนึ่ง ทำให้ขาดรายได้ไป ผมเลยไปติดต่อ กับออมสินเพื่อขอกู้เงินมาซื้อเครื่องตัด แต่ไม่ได้ครับ ไปกรุงไทยก็ไม่ได้ครับ ก็เลยต้องใช้คัตเตอร์กรีดเรื่องมา (งานออกมาไม่สวยเลย)
ต่อมาเมื่อมีเลือกตั้ง ส.ส. นั่นแหละ งานก็เริ่มคึกคัก สำนักงาน ส.ส. มาขอถ่ายเอกสารครับ เป็นรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งอำเภอซึ่งมีหลายหมื่นคนครับ ส.ส. 8-9 เบอร์ ก็ถ่ายกันทุกเบอร์ สรุปว่าได้เครื่องถ่ายเพิ่ม 1 เครื่อง ติดตั้งโทรศัพท์ไว้ รับ-ส่งแฟกซ์ และย้ายบ้านเช่าทันที โดยอยู่ที่นั่น 9-10 เดือน งานก็เริ่มมาเรื่อย ๆ ต่อมาก็กู้ธนาคารคนจน กู้สินเชื่อห้องแถว และกู้ซื้อบ้าน ผมใช้เวลา 10-15 ปีครับ กว่าจะมีวันนี้...
เมื่อเหตุการณ์ต่าง ๆ มันเป็นดังที่ผ่านมา จึงไม่แปลกที่ผู้นำประเทศที่เห็นแก่คนจนจะออกนโยบายต่าง ๆ เช่น บ้านเอื้ออาทร พักหนี้ 30 บาท ธนาคารคนจน เพิ่มเงิน อ.3 เพิ่มเงิน ผอ. เพิ่มค่าครองชีพ จำนำข้าวและพืชผลอื่น โอทอป ลูกจ้าง ป.บัณฑิต เงินกู้เรียน ปราบเงินนอกระบบ เพิ่มเบี้ยยังชีพคนชรา แปลงสินทรัพย์ ฯลฯ
สุดท้ายผมอยากบอกว่า " เมื่อก่อนท้องลูกท้องเมียกำลังหิว บากหน้าไปหาใครก็ไม่มีใครเคยมีใครเหลียวแล
มาบัดนี้กินอิ่มนอนอุ่น แล้วจะให้ลืมคนที่หยิบยื่นได้อย่างไร คำว่า"ขอบคุณ" อาจจะน้อยเกินไปสำหรับเขา"
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ
เรื่องจริงของชีวิตที่พลิกฟื้นเพราะระบอบทักษิณ
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงครับ เพียงอยากจะบอกว่า "คนเราเกิดมาไม่ได้ดีไปหมดทุกอย่าง" เหมือนนายกทักษิณ ใคร ๆ ก็บอกว่าท่านเลว แต่ส่วนดีของท่านก็มีดังที่ผมจะเล่าต่อไป อนึ่ง ผมเคยอ่านกระทู้เพื่อนท่านบอกว่า "ความฉลาดนี่แปลก อวดที่ไรโง่ทุกที" ผมว่าทุกอย่างละครับ ถ้าอวดแล้วจะโง่ทันที ผมจะพยายามไม่ให้เกิดสิ่งเหล่านี้ แต่มองว่าเป็นการอวดก็ขอให้เข้าใจว่า ผมไม่มีเจตนาเช่นนั้น
ผมเป็นลูกชาวนาครับ แม่เล่าให้ฟังว่าหลังจากขาดทุนจากการทำไร่อ้อยก็มาทำนาอย่างเดียว เด็ก ๆ ผมก็เดินเทียวโรงเรียนกับเพื่อนๆ ระยะทางไปกลับประมาณ 20 กิโลเมตร เป็นทางเกวียนข้างทางเป็นป่า ขากลับผมและเพื่อน ๆ ก็มักจะแวะเก็บหมากเล็บแมว หมากขี้หนู หรือไม่ก็หมากผีผ่วนกินประจำ สนุกดีครับ เพราะยากจนพ่อกับแม่จึงส่งพี่ชายมาเรียนหนังสือกับปู่จนได้รับราชการครู (เงินเดือนพันกว่าบาท น้อยมาก)
ต่อมาเมื่อขึ้น ป.4 ผมไปเรียนอยู่พี่ชาย ที่ที่ผมอยู่เป็นพื้นที่สีชมภู คือ พื้นที่คอมมิวนิสต์ ที่นี่เป็นคอมมิวนิสต์เกือกทุกครัวเรือน อยู่ที่นี่ลำบากครับทุกเรื่อง ไม่มีไฟฟ้า ทีวี ประปา ถนนหนทางก็ไม่ดี อาหารการกินส่วนหนึ่งซื้อส่วนหนึ่งหากินเองตามธรรมชาติ แล้วแต่ชาวบ้านจะเอามาขาย พี่ผมเป็นครูบรรจุใหม่ๆ หลังตกเบิกไม่นานก็ต้องทำเรื่องกู้ เหตุผลผลคือต้องแต่งงาน ซื้อมอไซค์ขี่ไปสอนหนังสือเพราะโรงเรียนอยู่ไกล เงินเดือนก็น้อยอยู่แล้วยังต้องหักโน่นนี่ สิ้นเดือนก็เหลือไม่กี่บาท แต่ภาระที่ต้องดูแลคนในครอบครัวมันเยอะ นี่ยังไม่รวมรายจ่ายอื่นที่ไม่คาดคิด ก็ทำให้เป็นหนี้สินผูกพันกันมาเรื่อย ๆ
ที่นี่ยิงกันบ่อยระหว่าง เจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองกับทหารป่า ยิงกันเหมือนในหนังเลยหละ ลอบเผาสะพาน เหมือนกับภาคใต้ของเราตอนนี้ แต่ที่ไม่เหมือนคือ บ้านผมเขาไม่ฆ่าครู ไม่ฆ่าเด็ก หรือข้าราชการอื่นยกเว้น อส. ทหาร ตำรวจ และชาวบ้านที่เป็นสายของแต่ละฝ่ายเท่านั้น
และไม่มีการวางระเบิด
ผมไปโรงเรียนเพื่อน ๆ มักจะเรียกผมว่า ไอ้คอมมิวนิสต์ ยังไม่รู้ว่าเพื่อนเข้าใจว่าอย่างไร ไม่ดี ป่าเถื่อน ล้มล้าง ต่อต้านอำนาจรัฐ ประมาณนี้หรือเปล่า ทุกครั้งที่ผมและเพื่อน ๆ ไปไม่ทันเข้าแถวเคารพธงชาติ ครูฝ่ายปกครองก็จะจับเรียงแถวตี วันที่ 1 ตี 1 ที วันที่ 2
ตี 2 ที ตีไปเรื่อย ๆ ผมทนเจ็บไม่ไหวผมก็เลยเข้าพบอาจารย์ฝ่ายปกครองคนที่ตีผม ชื่อ( อ.สำ.......) ผมพูดกับอาจารย์ว่า พวกผมขึ้นรถ
ตรงเวลา รถมาถึงเวลาไหนก็เวลานั้นแหละ มันไม่ใช่ความผิดพวกผม ครูแย้งว่าทำไมไม่บอกรถให้ออกจากบ้านเช้าขึ้น ผมบอกว่ารถวิ่งผ่านหลายหมู่บ้าน วันไหนคนน้อยก็ถึงไว วันไหนคนรายทางมากก็ถึงโรงเรียนสาย.. เช้าวันต่อมาก็ไม่มีเหตุการณ์นี้อีก (เรื่องนี้เพื่อน ๆ ที่ร่วมเดินทางไม่มีใครรู้)
แต่ต่อมาไม่นานก็โดนตีอีก คราวนี้ผมโดน 3 ครั้ง ไม้ขาดกระเด็น เหตุเพราะผมใส่เสื้อกันหนาวไปโรงเรียนโดยไม่ใส่เสื้อนักเรียน
ผมนึกในใจว่า เหตุผลแค่นี้ครูก็เล่นหนักเสียจนจิตใจผมเตลิด ครูไม่ถามว่าเหตุผลคืออะไร ผมมีชุดนักเรียนเพียงชุดเดียว เสื้อซักทุกเย็น รองเท้า ถุงเท้า กางเกงอย่างละ 1 กลับถึงบ้านตอน 6 โมงเย็นหมดสิทธิ์ที่จะซักอย่างอื่น แต่วันนั้นลืมซัก ก็เลยใสเสื้อกันหนาว ซึ่งปกติก็ใส่เสื้อกันหนาวไปเรียนอยู่แล้ว อาจารย์คนนี้คือ อ. อด... ผมรับไม่ได้กับการทำโทษพวกผมเพราะเหตุผลแค่นี้ ผมนึกในใจว่านี่มันโรงเรียนหรือคุกนักโทษกันแน่ บอกตามตรงว่า เจ็บใจมาก มันเหมือนเอาอำนาจมากดกัน ตอนนี้อายุ 45 ปีครับ ผมจำเรื่องนี้ได้ดี (หลังเสาธง
ใต้ต้นสน ใต้แสงแดดอ่อนตอนเช้าในหน้าหนาว ไม้ขาดกระเด็นจนต้องเปลี่ยน)
ผมเรียนจบ ม.6 ก็เข้ากรุงเทพฯ ไปสมัครทำงานรับจ้างส่งของ(เครื่องใช้สำนักงาน) แถวเยาวราช เงินเดือน 1,700 บาท ก็เหลือเก็บครับเดือนละ 500 บาท สิ้นปีก็มีแต๊ะเอียก็พอได้ใช้ครับ ถึงแม้จะเหนื่อยก็ทนไหว เพราะเคยทำงานหนักตั้งแต่เด็ก
มาพบรักกับคนบ้านเดียวกันครับ ก็เลยขอเธอแต่งงาน แต่ตอนนั้นมีเงินก็ไม่พอค่าสินสอด ทำงานทุกบาททุกสตางค์ให้เธอเก็บหมด บ้านที่เช่าอยู่มีพี่ ๆ หลายคนอยู่ด้วยกัน ตกกลางคืนก็จะเอาไฮโลมาเขย่า เล่นกันแบบสนุก...ขำ ๆ เข้าทางผมครับ ไปไปซื้อลูกไฮโล
แถวสามย่านมาครับแบบ 5 5 1 คือ เวลาเราเขย่านิดเดียวกันก็จะขึ้น 5 5 1 ผมอาสาเป็นเจ้ามือก็สลับกับไฮโลของพี่เขาโดยไม่ให้เขารู้ ผลปรากฎว่า ได้ผลครับ และคิดว่าคงเดาออกนะครับว่า ผมเอาเงินไปทำอะไร คนเราเวลาจนมุมมันก็จะคิดทำในเรื่องแปลก ๆ
ผมไปสู่ขอผู้หญิงคนนี้ด้วยตนเองครับ แม่ยายถามว่าทำไมให้พ่อแม่มาขอ ผมบอกว่า พ่อแม่ไม่ได้แต่งด้วย เมียผมผมก็ต้องขอเอง.. (อิ อิ อิ) แต่สุดท้ายก็ให้ผู้เฒ่าผู้แก่เหมือนเดิมนั่นแหละ
หลังแต่งงาน ผมกับเธอก็พากันไปหาบ้านเช่า ผมไปดูแถวฝั่งธนฯ โอ้โหครับ ห้องละ 700 บาทต่อเดือน ห้องกั้นด้วยเศษไม้กระดาน ใต้ถุนเต็มไปด้วยน้ำเสีย ยุงก็เยอะ ก็เลยไปที่อื่น (แต่คนอื่น ๆ เขาก็อยู่กันนะนับถือ ๆ จริง ๆ ) ก็ไปได้ห้องเช่าแถวถนนตก อยู่ชั้น 3 ครับ
มีห้องน้ำอยู่ชั้นล่างห้องเดียว น้ำอาบ น้ำดื่ม น้ำใช้ ผมก็เอาจากห้องน้ำห้องนี้แหละ ก็ซื้อของเข้าห้อง ของชิ้นแรก คือ ทีวีครับ แล้วก็ เขียง มีดโต้ ครก สาก แค่นี้ครับ
ต่อมาผมจึงย้ายมาทำงานที่บริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง เป็นพนักงานส่งเอกสาร ชื่อ บริษัท ..อุตสาหะประกันภัย (ชื่อประมาณนี้ครับ) อยู่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบ ทำงานวันแรก ผจก.ฝ่ายก็ให้ผมไปรับเงินที่ตึก เนชั่น บางนา เงินสดสามแสนกว่าบาท (สงสัยจะเป็นการทดสอบ) ก็โอเคครับ ได้พิเศษ 500 ตั้งแต่นั้นมาผมจึงเป็นที่ไว้วางใจ เพื่อน ๆ ในฝ่ายเก่ง ๆ ทั้งนั้นครับ ผมจึงมีโอกาสได้รับความรู้ต่าง ๆ มากมายจากตรงนี้ ผมว่าได้ความรู้จากที่นี่มากกว่าตอนที่ผมเรียนเสียอีก.. ผมเป็นคนเรียนไม่เก่งครับ แต่ผมประเภทครูพักรักจำ ช่วยงานเขาทุกอย่างจนมีโอกาสเป็นพนักงานยอดเยี่ยมของบริษัทฯ ทำให้เงินเดือนขึ้นเยอะพอสมควร ส่วนคู่ชีวิตผมนั้นก็ทำงานที่ บ.จิวเวอร์รี อาคารหวั่งหลี เงินเดือนก็น้อยครับแต่พออยู่ได้ ช่วงนี้ก็ต้องส่งน้องที่บ้านนอกเรียน 2 คน เมียผมก็ต้มไข่ไปขายที่ทำงาน ก็ลำบากครับ ก็พออยู่ได้ครับ...ช่วงนี้ผมกับเธอพักอยู่ที่ประชานิเวศน์ หลังโรงเรียน (ตอนปี 35 ช่วงรัฐประหารแถวนี้ทหารเต็มไปหมด) เธอจะไปทำงานด้วยการขึ้นรถไฟ ก็ขึ้นที่สถานีบางเขน เมื่อเธอท้องโต ขึ้นลงรถไฟลำบากผมกับเธอจึงตัดสินใจลาออกจากงาน ไปอยู่บ้านนอกในปี 39 ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มทรุด... คนเริ่มตกงาน
ผมกลับมาตระเวณขายเครื่องถ่ายเอกสารมือสอง ส่วนภรรยากับไปอยู่กับครอบครัวรอคลอด นาน ๆ จะเจอกันเพราะอยู่กันคนละจังหวัด แต่แล้ววันที่เธอคลอด ผมก็ใจสลาย เพราะว่าลูกผมที่คลอดออกมาแล้วหมอแจ้งว่ามีปัญหาระบบขับถ่ายต้องผ้าตัด เพื่อน ๆ ครับ ขณะที่ตอนนั้นเงินก็มีไม่มาก งานก็ไม่เป็นหลักแหล่ง ลูกเกิดมาเพียงวันเดียวหมอก็ต้องเอาเข็มน้ำเกลือเสียบไว้ที่หัว ผมสงสารลูกกับเมียสุด ๆ แต่โชคดีที่ว่าการรักษาเด็กไม่มีค่าใช้จ่าย และอยู่รักษาตัวไม่นานก็ออกจากโรงพยาบาลได้ ระหว่างรักษาตัวผมไปบนบานไว้ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ด้วยมาลัย 7 สี 7 สอก และภาวนาอยู่ในใจขอให้ลูกรอดปลอดภัย สุดท้ายก็รอดครับ ตอนนี้เรียนอยู่ชั้น ม.6 ผมตั้งชื่อลูกว่า......(ซึ่งมีความหมายเกี่ยวกับการได้มาโดยบังเอิญ) เป็นชื่อที่เป็นมงคลกับผมมาก เพราะ..ในเวลาต่อมาลูกค้าเข้าร้านผมเพราะชื่อร้านความหมายดี
(เชื่อไหมลูกค้าที่มาทำเอกสารผลงานที่ร้าน จะผ่านแทบทุกคน มีบ้างที่ต้องปรับปรุง) เรื่องราวเหล่านี้ลูกค้าจะบอกปากต่อปาก
พ่อบอกผมเสมอว่าให้พาลูกเมียไปอยู่ที่อื่นให้ได้ ไม่ให้อยู่ที่นี่เพราะกลัวชาวบ้านเขาจะนินทาว่าเลี้ยงครอบครัวไม่ได้ พ่อเตือนผมตลอด ผมจึงเปิดร้านโรงพิมพ์และศูนย์ถ่ายเอกสารเล็กๆ มีเครื่อง 2-3 ชิ้น(ตามที่เคยเล่า) แต่โฆษณาเกินจริง แบบว่าครบวงจร
ผมขอเช่าห้องเปิดร้านกับเจ้คนหนึ่ง โดยลงทุนทำห้องน้ำเองและกั้นห้องเอง เดือนละ 2,000 บาท แล้วรับลูกเมียมาอยู่ด้วย
พร้อมกับเงินติดตัว 4,000 บาท โดยพ่อให้เงินมาจ่ายค่าห้องเช่าล่วงหน้า 10,000 บาท ก็เหลืออีก 12,000 บาท
เจ้เจ้าของบ้านแกก็ใจดีสุด ๆ ครับ ผมไปตกแต่งร้านกั้นห้อง ทำห้องน้ำ ใช้เวลา 1 อาทิตย์ วันเปิดร้านแกก็มาเรียกเก็บค่าน้ำประปา กับผม เป็นเงิน 121.50 สตางค์ (ผมรู้ว่าเป็นใบเสร็จค้างเก่า) ไม่เป็นไรครับก็จ่ายไป 2-3 เดือนแรกมีรายได้วันละ 20 บาท เข้าเดือนที่ 4 5 6 ก็เพิ่มเป็น 50 บาท อย่างที่เคยบอก นึ่งข้าวใส่ติบ ซื้อปิ้งไก่ไม้หนึ่ง 10 บาท กินกับเมีย 3 มื้อ บางครั้งก็จ้ำปลา- กัดบักพริกดิบตามด้วยหัวหอมนี่หละก็อยู่ได้อย่างชิวชิว ที่ข้างบ้านเช่านั้นมีต้นมะละกอต้นหนึ่งครับ ลูกมันจะดกมาก ผมก็เลยได้มะละกอต้นนี้แหละช่วยพยุงชีวิต อีกทางหนึ่ง
เป็นที่น่าสังเกตุว่า สาย ๆ ของทุกวัน เจ้คนนี้ก็จะมาเก็บมะละกอต้นเดียวกันกับผมนี้แหละทุกวันครับ จนเมียผมเห็นผิดสังเกตก็เลยเป็นอันเข้าใจว่า เพราะเรายังค้าค่าเช่าอยู่นี่เอง ผมกับเมียตัดสินใจขายทองสินสอด 2 บาท แล้วไปจ่ายค่าเช่าที่บ้านของแกที่อยู่ห่างไปอีกไกล พอจ่ายแล้ว เจ้แกก็บอกว่า ปีหน้าจะขึ้นค่าเช่าเป็น เดือนละ 2,500 บาท ผมพูดไม่ออกเลยครับ นึกในใจลำพังแค่จะกินไปวัน ๆ ยังยาก เจอไม้นี้เหี่ยวเลยครับ และตั้งแต่วันนั้นเจ้แกก็ไม่มาเดินผ่านหน้าบ้านอีกเลย ต่อมาแก่มาสั่งทำใบเสร็จ ผมก็เกรงใจเจ้าของบ้านเช่าครับ ทำให้ในราคา 25 บาท แต่เจ้แก่จ่ายผมจริงเล่มละ 23 บาท ก็พูดไม่ออกก็ต้องทำใจ (ตอนนั้นอุปกรณ์ปรุกระดาษผมไม่มีครับ ผมก็ใช้วิธี เอามีดโต้ทำกับข้าวนี่แหละมาทำให้เป็นรอยหยัก ๆ แล้วก็มาตอก มีอยู่ครั้งหนึ่มีอาจารย์คนหนึ่งมาจ้างให้พิมพ์งาน อ.3 ผมรับทันที พิมพ์อยู่ 2 วัน 2 คืน ไม่หลับไม่นอนครับก็ทำร้านฯ เริ่มมีงาน พวกงานเย็บปกเข้าเล่ม ถ้าเล่มบางก็ใช้คัตเตอร์กรีด แต่ถ้าหนาก็ไปจ้างเขาตัดอีกต่อหนึ่ง ทำให้ขาดรายได้ไป ผมเลยไปติดต่อ กับออมสินเพื่อขอกู้เงินมาซื้อเครื่องตัด แต่ไม่ได้ครับ ไปกรุงไทยก็ไม่ได้ครับ ก็เลยต้องใช้คัตเตอร์กรีดเรื่องมา (งานออกมาไม่สวยเลย)
ต่อมาเมื่อมีเลือกตั้ง ส.ส. นั่นแหละ งานก็เริ่มคึกคัก สำนักงาน ส.ส. มาขอถ่ายเอกสารครับ เป็นรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งอำเภอซึ่งมีหลายหมื่นคนครับ ส.ส. 8-9 เบอร์ ก็ถ่ายกันทุกเบอร์ สรุปว่าได้เครื่องถ่ายเพิ่ม 1 เครื่อง ติดตั้งโทรศัพท์ไว้ รับ-ส่งแฟกซ์ และย้ายบ้านเช่าทันที โดยอยู่ที่นั่น 9-10 เดือน งานก็เริ่มมาเรื่อย ๆ ต่อมาก็กู้ธนาคารคนจน กู้สินเชื่อห้องแถว และกู้ซื้อบ้าน ผมใช้เวลา 10-15 ปีครับ กว่าจะมีวันนี้...
เมื่อเหตุการณ์ต่าง ๆ มันเป็นดังที่ผ่านมา จึงไม่แปลกที่ผู้นำประเทศที่เห็นแก่คนจนจะออกนโยบายต่าง ๆ เช่น บ้านเอื้ออาทร พักหนี้ 30 บาท ธนาคารคนจน เพิ่มเงิน อ.3 เพิ่มเงิน ผอ. เพิ่มค่าครองชีพ จำนำข้าวและพืชผลอื่น โอทอป ลูกจ้าง ป.บัณฑิต เงินกู้เรียน ปราบเงินนอกระบบ เพิ่มเบี้ยยังชีพคนชรา แปลงสินทรัพย์ ฯลฯ
สุดท้ายผมอยากบอกว่า " เมื่อก่อนท้องลูกท้องเมียกำลังหิว บากหน้าไปหาใครก็ไม่มีใครเคยมีใครเหลียวแล
มาบัดนี้กินอิ่มนอนอุ่น แล้วจะให้ลืมคนที่หยิบยื่นได้อย่างไร คำว่า"ขอบคุณ" อาจจะน้อยเกินไปสำหรับเขา"
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ