ย้อนรอยคดีพระฉาว นิกร, ยันตระ, อิสระมุนี, ภาวนาพุทโธ, เณรแอ, ไชยบูลย์, เณรคำ

กระทู้สนทนา
ได้รับข้อมูลจาก FB

นำมาให้อ่านกันครับ

ย้อนรอยตำนาน "ผ้าเหลือง" ฉาว!! วิกฤตศรัทธา "พระสงฆ์ไทย" ที่ยากจะลืมเลือน?

"...ยิ่งความเจริญทางโลกเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ข่าวคราวในทางไม่สู้ดีเกี่ยวกับ พระสงฆ์ หรือ บรรพชิต ผู้ครองอาภรณ์แห่งธรรม ก็ยิ่งปรากฎตามหน้าสื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวเล็กข่าวใหญ่ แต่ทุกครั้งย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาของประชาชนทั่วไป.."


อ้างอิง

http://www.isranews.org/เรื่องเด่น/item/22029-ย้อนรอยตำนาน-ผ้าเหลือง-ฉาว-จากพระนิกร-ถึง-หลวงปู่เณรคำ-วิกฤตศรัทธา-พระสงฆ์ไทย-ที่ยากจะลืมเลือน.html


-----




ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ ที่ตามหลักพระพุทธศาสนา พระรัตนตรัย อันประกอบไปด้วย พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ ถือเป็นแก้วสามประการประกอบกันและทำหน้าที่ธำรงค์คุณงามความดี ผิดชอบชั่วดีแก่มนุษย์มาหลายพันปี

พระพุทธ และ พระธรรม เป็นของสูง เป็นแก่นแท้และหลักการนำสู่การคิดปฏิบัติ โดย พระสงฆ์ มีบทบาทสำคัญในการสืบทอดพระพุทธศาสนา และถือเป็นผู้น่าเลื่อมใส สามารถตัดกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวงได้ เป็นที่สมควรแก่การกราบไหว้บูชา

แต่ถ้า พระสงฆ์ ไม่ควรเป็นที่กราบไหว้บูชา จะเกิดอะไรขึ้น?

ยิ่งความเจริญทางโลกเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ข่าวคราวในทางไม่สู้ดีเกี่ยวกับ พระสงฆ์ หรือ บรรพชิต ผู้ครองอาภรณ์แห่งธรรม ก็ยิ่งปรากฎตามหน้าสื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวเล็กข่าวใหญ่ แต่ทุกครั้งย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกรณีที่เป็นข่าวคราวโด่งดังตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มีปรากฎแล้วมากมาย จากวันนั้นจนวันนี้ ก็ไม่มีท่าทีจะจบจะสิ้น

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ในฐานะปกครองสงฆ์ ได้รวบรวมข้อมูลที่พระสงฆ์ถูกร้องเรียนมากที่สุดและส่วนใหญ่พบว่าเป็นเรื่องจริง และเป็นการผิดวินัย ที่ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด โดยเรื่องร้องเรียนที่พศ. พบมากที่สุดนั้น เป็นเรื่องการบิณฑบาตไม่เหมาะสม ซึ่งมีทั้งพระจริง และฆราวาส(พระปลอม)

นอกจากนี้ยังมี การฉันอาหารตอนเย็น เล่นพนัน การเปิดเพลงเสียงดัง ทะเลาะวิวาทกับฆราวาส รับเงิน ใช้ของแพง ซื้อลอตเตอรี่ การดูหนังโป๊ มีสีกาอยู่ในกุฏิซึ่งก็จะถือเป็นการปาราชิกร้ายแรง หรือแม้แต่พฤติกรรมไม่สำรวมในรูปแบบเพศที่สาม การไปเกี่ยวข้องกับการเมือง และการร่วมชุมนุมต่อต้านตามสถานที่ต่างๆ มีการแสดงท่าที่ไม่สำรวม ทั้งนี้พระไม่สามารถเล่นการเมือง หรือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทางการเมืองได้ โดยมีคำสั่งของมหาเถรสมาคม พ.ศ.2538 ห้ามไว้อย่างชัดเจน

หากย้อนไปในอดีต กรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับพระเกิดขึ้นมากมาย หลายกรณีก็เป็นเรื่องราวใหญ่โตตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมไทยอย่างครึกโครมมาแล้ว อาทิ

------



@พระครูใบฎีกานิกร ธรรมวาที (นายนิกร ยศคำจู) วัดสันปง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่

เป็นเรื่องราวใหญ่โตเมื่อ พ.ศ.2533 พระนิกรซึ่งเป็นอดีตพระนักเทศน์เสียงทองแห่งยุค มีผู้คนแห่ไปฟังการเทศน์ไม่ขาดสาย จนถึงขั้นต้องเปิดสำนักปฏิบัติธรรมหลายสิบแห่งทั่วประเทศ พระนิกรได้สร้างความปวดร้าวให้แก่ชาวพุทธ เมื่อมีความสัมพันธ์กับ นางอรปวีณา บุตรขุนทอง จนมีลูกด้วยกัน พระนิกรพยายามตอบโต้ข่าวว่ามีผู้อิจฉาในชื่อเสียงของตน อีกทั้งบรรดาลูกศิษย์ก็พยายามหาหนทางตอบโต้ข้อกล่าวหาว่าเป็นการกลั่นแกล้งโดยไม่เชื่อว่า พระที่ยึดมั่นในศีลธรรมและเทศน์ได้ไพเราะจะทำตัวเช่นนั้น แม้มีหลักฐานมากมายจนถึงขั้นปาราชิก แต่พระนิกร ยังไม่ยอมถอดผ้าเหลืองและยังมีคนอีกมากมายหลงศรัทธาอย่างไม่ลืมหูลืมตา แม้จะเต็มไปด้วยหลักฐาน ตั้งแต่จดหมายรัก ภาพถ่าย จนถูกดำเนินคดีทั้งศาลยุติธรรมและศาลสงฆ์ ซึ่งในที่สุดศาลสงฆ์ มีมติระบุความผิดพระนิกรว่า เป็น "ปฐมปาราชิก" คือการเสพเมถุนกับอิสตรี ขาดจากความเป็นพระ แม้จะกลับมาบวชใหม่ก็ไม่สามารถดำรงความเป็นสมณเพศได้ เปรียบดังตาลยอดด้วนที่ไม่สามารถเจริญเติบโตและงอกเงยได้อีกต่อไป

จึงเป็นเหตุให้มีการแก้ พ.ร.บ.ปกครองสงฆ์ พ.ศ. 2535 (ฉบับที่ 2) ให้ตำรวจ/อัยการ จับพระสึกได้ เรื่องนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาลงวันที่ 15 เดือนมกราคม พ.ศ. 2541 ยืนยันในพฤติกรรมไว้ชัดเจน

โดยคดีอาญา นางอรปวีณา บุตรขุนทอง กับพวกเป็นฝ่ายโจทก์ มีนายนิกร ยศคำจู เป็นจำเลย ใจความว่า เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2533 เวลากลางวัน จำเลย ซึ่งขณะนั้นครองสมณเพศ ได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพ.ต.ท.พิทักษ์ สุวรรณ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง ว่า เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2533 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา ขณะที่จำเลยจะเดินทางไปต่างประเทศ โจทก์และพวกยึดเอาหนังสือเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน กระเป๋าเดินทาง และข่มขู่ให้ไปด้วย มิฉะนั้นจะทำร้าย แล้วพาจำเลยไปกักขังไว้ที่บ้านเลขที่ 1669/665 หมู่บ้านปิ่นเจริญ 2 พร้อมข่มขู่บังคับจะเอาเงินห้าล้านบาท ใช้อาวุธปืนบังคับให้จำเลยถอดจีวรออก แต่งกายแบบฆราวาส กระทำพิธีผูกข้อมือแต่งงานกับโจทก์ พร้อม ถ่ายภาพ และขู่ว่า หากไม่จ่ายเงิน จะนำภาพไปเปิดเผยทางสื่อมวลชน จำเลยกลัวจึงสั่งจ่ายเช็คธนาคากรุงเทพ จำกัด สาขาประตูช้างเผือก ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2533 จำนวนห้าล้านบาท

การแจ้งความดังกล่าวทำให้ฝ่ายโจทก์ถูกพนักงานสอบสวนควบคุมตัว ได้รับความเสียหาย ทั้งที่ไม่ได้มีการกระทำความผิดในข้อหากรรโชกและทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพเกิดขึ้นตามที่จำเลยกล่าวหา ศาลฎีการตรวจสำนวน ประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ในขณะที่จำเลยกระทำความผิด จำเลยเป็นพระภิกษุ ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสันปง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีชื่อเสียง เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไป และเป็นผู้ที่อบรมสั่งสอนประชาชนให้ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมอันดี แต่จำเลยกลับมากระทำความผิดเสียเองเช่นนี้ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป การกระทำของจำเลยจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษ ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจในการลงโทษจำเลย โดยไม่รอการลงโทษนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

------------------



@พระยันตระ อมโรภิกขุ (พระวินัย อมโร) หรือ นายวินัย ละอองสุวรรณ

พระยันตระ เป็นที่รู้จักดีเนื่องจากเคยเป็นพระสงฆ์นักปฏิบัติธรรมชื่อดังที่มีผู้เคารพศรัทธามากของเมืองไทยและต่างประเทศในช่วงหนึ่ง ก่อนจะถูกฟ้องคดีกล่าวหาว่าต้องปาราชิกาธิกรณ์และถูกมติมหาเถรสมาคมลงให้พ้นจากภาวะพระภิกษุ และหลบหนีออกนอกประเทศเมื่อ พ.ศ.2537 ไปอาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาในสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองจนถึงปัจจุบัน

นายวินัย ละอองสุวรรณ เป็นชาวนครศรีธรรมราช ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เขาได้ปฏิบัติตนเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปีจนเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ต่อมาได้อุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในธรรมยุติกนิกายเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2517 ณ พัทธสีมาวัดรัตนาราม อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พระวินัย เมื่ออุปสมบทมักใช้คำแทนตัวว่า พระยันตระ ซึ่งแปลว่าผู้ไกลจากกิเลส ที่เคยใช้มาตั้งแต่ยังเป็นฤๅษียันตระ เมื่อบวชแล้วเป็นที่รู้จักดีทำให้มีผู้ศรัทธาบวชเพื่อเข้าเป็นลูกศิษย์มากมาย ทำให้เขามักแวดล้อมไปด้วยพระสงฆ์คอยอุปัฏฐากอยู่เสมอ ๆ นอกจากนี้ยังมีผู้ศรัทธาสร้างสำนักวัดถวายเขาหลายแห่ง โดยทุกวัดที่สร้างในสำนักเขาจะใช้คำว่า "สุญญตาราม" ประกอบด้วยเสมอ สำนักที่เป็นที่รู้จักดีคือ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี และยังมีสำนักวัดป่าสุญญตารามของเขาในต่างประเทศอีกหลายแห่ง เช่นที่ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น

ใน พ.ศ.2537 นายวินัยได้ถูกฟ้องร้องหลายข้อหาและถูกตั้งอธิกรณ์ว่าล่วงละเมิดเมถุนธรรมปาราชิกาบัติ กับนางจันทิมา หรือแม่ดญ.กระต่าย อันเป็นหนึ่งในจตุตถปาราชิกาบัติที่ทำให้ขาดจากความเป็นพระภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ โดยมีการต่อสู้ด้วยพยานหลักฐานมากมายตามสื่อต่าง ๆ เป็นข่าวโด่งดังในสมัยนั้น จนในที่สุดได้ถูกมติมหาเถรสมาคมพิจารณาอธิกรณ์ปรับให้พ้นจากความเป็นพระภิกษุ เพราะพิจารณาได้ความว่าเขาต้องอาบัติหนักดังที่ถูกฟ้องร้อง แต่นายวินัยไม่ยอมรับมติสงฆ์ดังกล่าว ด้วยการปฏิญาณตนว่ายังเป็นพระภิกษุและเปลี่ยนสีจีวรเป็นสีเขียว ทำให้ถูกสื่อต่าง ๆ ขนานนามว่า จิ้งเขียว, สมียันดะ, ยันดะ เป็นต้น ก่อนที่นายวินัยจะลักลอบทำหนังสือเดินทางปลอมเพื่อหลบหนีออกจากประเทศไทยไปอยู่ในสหรัฐอเมริกาและได้รับสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง ทำให้นายวินัยสามารถหลบหนีคดีความอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้จนถึงปัจจุบัน

----------------------




@ พระอิสรมุนี สำนักสงฆ์ป่าละอู จังหวัดเพชรบุรี

พระอิสระมุนี หรือ พระพีระพล เตชะปัญโญ เดิมชื่อ นายบรรหาร อดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมวิหารี (วัดร่วมใจพัฒนา-วัดป่าละอู) อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระสงฆ์สายวิปัสสนา ซึ่งเป็นที่นับถือเลื่อมใสจากอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และ ภริยา พจมาน ชินวัตรเป็นอย่างมาก

พระอิสระมุนี เป็นอดีตพระเลขาของหลวงปู่ชา สุภัทโทแห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาเกิดขัดแย้งกับลูกศิษย์ของหลวงปู่ชา ถูกกล่าวหาว่าโกงเงินของวัดจนถูกจับสึก จึงเดินทางมาที่จังหวัดเพชรบุรี ปักกลดและตั้งสำนักสงฆ์ บริเวณป่าละอู ตำบลป่าแดง อำเภอแก่งกระจาน พัฒนาจนกลายเป็นวัดธรรมวิหารี มีเนื้อที่กว่า 200 ไร่ในปัจจุบัน

พระอิสระมุนีเป็นพระนักเทศน์ที่มีความสามารถ สั่งสอนธรรมะให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม ได้นิยามถึงตัวตนของตนเองไว้ว่า เราผู้มีชื่อว่า อิสระมุนี ไม่ใช่ฐานันดรบุคคล ไม่ใช่พระมหาเถระผู้มีวาสนายิ่งใหญ่มหึมา ที่ใคร ๆ จะต้องกราบไหว้ ไม่ใช่พระมหาผู้มีความรู้กว้างขวางจนไม่มีใครเทียมเท่า ไม่ใช่บัณฑิตศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยใด ไม่ใช่นักปราชญ์หรือนักวิชาการ หรือนักคิดที่ถูกคนเขาให้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์กันเป็นกระบุง ๆ เพราะฉะนั้น เราจึงมีชื่อว่า อิสระมุนี ผู้ที่ต้องการรู้จักเราก็จงรู้ที่ออกมาจากใจของเราตามที่กล่าวมานี้เถิด

คำสั่งสอนของของพระอิสระมุนี เคยเป็นที่เลื่อมใสของ พ.ต.ท.ทักษิณ พ.ต.ท.ทักษิณมักนำคำสอนของพระอิสระมุนีมากล่าวอ้างอิงกับสื่อมวลชน เช่นเดียวกับคำสอนของพุทธทาสภิกขุ และเคยเดินทางมาสนทนาธรรมกับพระอิสระมุนี นอกจากนี้เมื่อ พ.ศ.2543 ยังให้นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย เข้าอุปสมบทและศึกษาพระธรรมกับพระอิสระมุนีอยู่ระยะหนึ่ง

กระทั่ง พระอิสระมุนีตกเป็นข่าวว่าต้องปาราชิก หลังจากมีเพศสัมพันธ์กับสีกาคนสนิท ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2544 จากการสืบสวนของทีมงานรายการถอดรหัส ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวีในขณะนั้น ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม มีหลักฐานเป็นจดหมายเขียนถึงสีกาสาว 10 หน้ากระดาษและเทปสนทนาทางโทรศัพท์ ซึ่งพระอิสระมุนีก็ได้สึกจากสมณเพศในทันที ข่าวพระอิสระมุนีนี้ทำให้ไอทีวีได้รับรางวัลสารคดีเชิงข่าวยอดเยี่ยม รางวัล "แสงชัย สุนทรวัฒน์" จากสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ประจำพ.ศ.2544

------------------
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่