เมื่อเร็วๆ นี้ น้องพาพันมีโอกาสได้ไปคุยกับพี่คนนึงมาครับ บอกตรงๆ ว่า น้องพาพันตื่นเต้นและอยากคุยกับพี่เค้ามากๆ เพราะรู้สึกว่า พี่สาวคนนี้มีอะไรที่ไม่ธรรมดา !?!?
พี่เค้าเป็นพิธีกรรายการทางช่องไทยพีบีเอสครับ แต่ละรายการเนื้อหาก็ค่อนข้างจริงจังเลยทีเดียว หลายๆ คนอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตา รู้จักพี่เค้ามาบ้างแล้ว และวันนี้น้องพาพันจะพาไปเจาะลึก ไปรู้จักตัวตนพี่เค้าให้มากขึ้น
มาดูกันว่า อะไรที่ทำให้พี่สาวคนนี้เลือกที่จะทำรายการเพื่อสังคม และอะไรที่ทำให้น้องพาพันอยากคุยกับ
พี่ปาล์ม - ชลณัฏฐ์ โกยกุล ครับ

บันทึกของพาพัน
วันนี้พาพันมีนัดกับพี่ปาล์ม - ชลณัฏฐ์ครับ พาพันตื่นเต้นและกลัวรถติดด้วย ก็เลยรีบไป สรุปว่าไปถึงที่นัดก่อนเวลาพักใหญ่เลย ฮ่าๆ และแล้วก่อนเข็มนาฬิกาจะชี้ไปที่ตัวเลขที่นัดไว้ประมาณ 2-3 นาที พี่ปาล์มก็มา ... ว้าว เป็นคนตรงเวลามากๆ ครับ
พี่ปาล์มชวนพาพันไปนั่งคุยในร้านกาแฟเล็กๆ ร้านนึง ในร้านบรรยากาศสบายๆ พี่ปาล์มเล่าว่าเพิ่งถ่ายรายการเสร็จ แล้วเดี๋ยวคุยกับพาพันเสร็จมีนัดสัมภาษณ์ต่ออีก ส่วนพรุ่งนี้ก็ไปถ่ายรายการที่ต่างจังหวัดแต่เช้า โอ้โห...เป็นคนที่ทำงานหนักทีเดียวครับ!
"พี่ปาล์มชอบเวลาไปต่างจังหวัด ชอบบรรยากาศที่คนไม่ได้เร่งรีบตลอดเวลา ทำรายการแนวนี้ได้ออกต่างจังหวัดบ่อย รู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน พี่ปาล์มเป็นคนพังงา เป็นเด็กต่างจังหวัดที่มาเรียนกรุงเทพฯตั้งแต่ จบป. 3 แต่เรารู้สึกตลอดเวลาว่าเราเป็นคนบ้านนอก ไม่ได้เป็นคนกรุงเทพฯ สมัยเรียนที่อักษร จุฬาฯ ก็สนิทกับกลุ่มรุ่นน้องที่เป็นเด็กต่างจังหวัด"
พี่ปาล์มเล่าเรื่องในวัยเรียนให้ฟังว่า ตอนแรกเลือกนิติศาสตร์ จุฬาฯ เพราะคุณแม่แนะนำว่าภาษาอังกฤษดี น่าเรียนกฏหมายระหว่างประเทศ และเพื่อนที่สนิทที่สุดตอนนั้นเลือกนิติฯ ก็เลยเลือกตามเพื่อน แต่เข้าไปวันแรกก็รู้เลยว่าไม่ใช่ที่อยากเรียน ปีต่อมาจึงเปลี่ยนคณะ ยื่นคะแนนสอบเดิมเข้าคณะอักษรศาสตร์
"วันปฐมนิเทศที่นิติฯ นั่งฟังแล้วรู้เลยว่าเราไม่ชอบ ก็เดินเข้าไปบอกอาจารย์ตั้งแต่วันแรกว่าหนูจะย้ายคณะไปอักษรศาสตร์ แต่ระหว่างนี้ จะมามหาวิทยาลัยนะ มาเล่นกับเพื่อน มาหาอาจารย์ ตอนนั้นผลสอบออกมาได้เอฟสี่ตัวรวด เพื่อนเรียก ปาล์ม เอฟโฟร์ (หัวเราะ) ช่วงปีแรกทำกิจกรรมเยอะมาก ไปออกค่ายอาสาของคณะนิติฯ ที่ จ.เลย เป็นเด็กปีหนึ่งคนเดียวที่อยู่ 3 อาทิตย์จนจบค่าย แล้วก็เป็นเชียร์ลีดเดอร์งานฟุตบอลประเพณี จุฬา-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 59 พอเป็นเชียร์ลีดเดอร์ก็มีไปออกสื่อ เลยเริ่มมีคนชวนไปทำงานพิธีกร"
จุดเริ่มต้นการเป็นพิธีกรของพี่ปาล์มอยู่ตรงนี้นี่เองครับ ว่าแล้วพาพันก็สงสัยว่า พี่ปาล์มทำรายการแนวเพื่อสังคมตั้งแต่ตอนนั้นเลยรึเปล่า เพราะคิดดูแล้ว พี่ๆ วัยรุ่นหลายคนน่าจะอยากทำรายการแนวบันเทิงหรือวาไรตี้มากกว่า
"ช่วงนั้นทำงานพิธีกรมาเรื่อยๆ คิดว่าทำงานเก็บตังค์กินขนม แต่ไม่ได้อินกับสิ่งที่ทำเลย รายการที่ทำตอนนั้นเป็นแนวพาไปดูเทรนด์ใหม่ๆ พาไปเที่ยวไปกิน แต่ไม่ได้รู้สึกชอบหรือภูมิใจกับงานตัวเอง คือเรื่องเนื้อหาไม่เท่าไหร่ แต่ที่ฝืนความรู้สึกคือวิธีการนำเสนอมากกว่า เราต้องพูดจาเสียงสูงต่ำ ยักคิ้วหลิ่วตา ซึ่งเรารู้สึกว่ามันตลก ในชีวิตจริงคงไม่มีใครพูดด้วยน้ำเสียงหรือท่าทางแบบนั้น เลยไม่ดูงานตัวเองและไม่ชวนใครให้ดู เวลามีคนมาถามว่า ใช่เราหรือเปล่า เราก็จะบอกว่า คงเป็นคนหน้าคล้าย ไม่ใช่เรา (หัวเราะ) จนเรียนจบก็ได้มาทำงานพิธีกรอีก เป็นรายการปกิณกะความงาม เล่าข่าว คราวนี้ไม่ใช่เรื่องสไตล์การนำเสนอที่เป็นปัญหา แต่ที่ทำให้ลำบากใจคือ ต้องพูดในสิ่งที่ขัดกับความเชื่อตัวเอง เช่น ต้องพีอาร์เรื่องปาร์ตี้ แต่เราไม่เที่ยวกลางคืน หรือต้องพูดขายของว่า ผู้หญิงจะต้องขาวถึงจะสวยดูดี ซึ่งเราไม่ได้คิดอย่างนั้น พอต้องพูดสิ่งที่ไม่ตรงกับใจเลยไม่มีความสุข"

พี่ปาล์มเล่าถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตให้ฟังว่า ไปสมัครพิธีกรไทยพีบีเอส ช่วงที่สถานีเปลี่ยนจาก TITV เป็น ThaiPBS และได้ทำรายการชุมชนต้นแบบ ซึ่งพาไปดูชุมชนที่น่าสนใจและทำสิ่งที่เป็นแบบอย่าง ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า ... นี่แหละทางเรา! หลังจากนั้นก็ทำหน้าที่พิธีกรในรายการของThaiPBS อีกหลายรายการ เช่น ปลุกพลังบวก Ignite ทีวีไทย, เปิดหูเปิดตา, ลุยไม่รู้โรย, สยามวาระ และล่าสุด รายการพื้นที่ชีวิต และ มหัศจรรย์พันธุ์ลึก
พาพันว่าการค้นหา ”ทาง” ของตัวเอง น่าจะเป็นปัญหาของพี่ๆ วัยรุ่นหลายคนเลยนะครับ เพราะหลายคนก็ไม่รู้จริงๆ ว่าชอบอะไร หรืออยากทำอาชีพอะไร
"พี่ปาล์มเพิ่งไปเป็นวิทยากรบรรยายในงานปัจฉิมนิเทศของคณะอักษรศาสตร์ มีคำถามข้อนึงจากน้องๆ คือ ไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไร จะทำมาหากินอะไรดี พี่ปาล์มเลยแนะไป ถ้าคิดว่าจะเป็นอะไรมันยาก ให้กลับไปคิดก่อนว่าเราชอบทำอะไรหรือดูว่าถนัดอะไร ไม่ต้องตามใคร ถ้าสนใจอะไรก็ลงลึกกับมันเลย แล้วเราจะรู้เองว่าเราเหมาะกับมันมั้ย ไปต่อทางนี้ได้รึเปล่า ตัวพี่ปาล์มเองอาจจะโชคดีที่ชัดมาตั้งแต่เด็กว่าชอบภาษา ชอบคุยกับคน พอมาทำงานพิธีกรในแนวที่ตัวเองชอบ ก็รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ใช่ เลยไม่เคยผ่านเส้นทางที่ต้องค้นหาตัวเองขนาดนั้น"
เท่าที่ฟังมา พี่ปาล์มดูจะชอบอาชีพพิธีกรมากๆ เลย เพราะทำมาตั้งแต่สมัยเรียนจนกระทั่งตอนนี้ น้องพาพันเริ่มสงสัยแล้วสิว่าอาชีพนี้สนุกยังไง
"พี่ปาล์มชอบคุยกับคนมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าไปเจอคนคนหนึ่งที่น่าสนใจ เราก็อยากรู้ว่าอะไรที่หล่อหลอมให้เขาเป็นแบบนั้น ทำไมเขาคิดอย่างนี้ พอเราถามไปด้วยความสนอกสนใจ เขาก็จะรู้สึกว่า เออ มันอยากรู้จริงๆ เขาก็จะเล่า เปิดให้เราเข้าไปในพื้นที่ของเขา รู้สึกว่าการเดินทางไปที่ใหม่ๆ ได้คุยกับผู้คนหลากหลาย เป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง พี่ปาล์มเคยไปชุมชนที่เกือบทั้งหมดเป็นผู้ชาย ผู้หญิงมีนิดเดียว อยู่ในครัวไม่มีบทบาท แต่เราก็ไม่รู้สึกว่าแปลกที่ เพราะท่าทีที่เราเข้าไป เราเข้าไปขอความรู้ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ ซึ่งพอมีท่าทีแบบนี้ มันเป็นมิตรอ่อนน้อม เค้าก็เปิดรับ เป็นแบบนี้ทุกที่ แล้วยิ่งเราเป็นผู้หญิงก็ดูไม่มีพิษภัย คนเขาก็เอ็นดูเรา อันนี้เป็นข้อได้เปรียบมาก นึกภาพชุมชนนึงมีคนแปลกหน้าเดินเข้ามา เป็นผู้ชายตัวใหญ่ๆ กับผู้หญิงตัวเล็กๆ พี่ปาล์มว่าผู้หญิงน่ากลัวน้อยกว่านะ(หัวเราะ) แรกๆบางคนที่เข้าไปคุยด้วย เขาอาจจะไม่ค่อยกล้าพูด เพราะยังไม่รู้จักกัน แต่พี่ปาล์มก็จะมีวิธีคุยสลายกำแพง จนสุดท้ายเขาก็เต็มที่กับเรา การได้คุยกับคน นี่คือความสนุกของอาชีพพิธีกร"
พี่ปาล์มเล่าเทคนิคการเป็นพิธีกรว่า "ทุกครั้งเวลาลงพื้นที่ไปถ่ายรายการ จะหาข้อมูลให้รอบด้านก่อน เลยไม่ค่อยเจอ Culture Shock เพราะเรารู้ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ซึ่งนี่ไม่ได้ลดทอนความสนุกของการเดินทางลงเลย พี่ปาล์มว่าท่าทีที่ดีที่สุด ในการเดินทางไปในที่ใดๆ ก็ตาม คือการเข้าไปอย่างให้เกียรติสถานที่ นอบน้อมกับผู้คน และเคารพความเชื่อของเขาด้วย ส่วนในเวลาคุยหรือตั้งคำถามกับคน ไม่ควรพูดข้อมูลทั้งหมดที่เรารู้มา ไม่อย่างนั้นจะเป็นการอวดรู้ ต้องเป็นคำถามปลายเปิด ให้เค้าอธิบายได้เล่าต่อ ไม่ใช่คำถามให้ตอบใช่-ไม่ใช่ การเตรียมตัวจะทำให้เราเข้ากับคนได้ง่ายขึ้น ไม่เป็นสิ่งแปลกปลอมในสถานที่นั้น เรารู้สึกว่าเราไม่เก่งเลย แต่ที่ทำได้ทุกวันนี้เพราะเราขยันและตั้งใจในการทำงาน พี่ปาล์มเชื่อเรื่องการเตรียมตัวมาก"
แล้วอะไรคือเหตุผลที่ทำให้พี่ปาล์มชอบทำรายการแนวเพื่อสังคมครับ
"จริงๆ พี่ปาล์มก็ทำงานปกติ อาจจะแค่เลือกงาน งานส่วนใหญ่พูดเรื่องประเด็นทางสังคม สิ่งแวดล้อม ศาสนา เกี่ยวข้องกับชุมชนและให้ความรู้ หรือไม่ก็เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษ งานจะมาแนวนี้หมด มันเป็นจุดยืนที่อยู่มาตลอดและคงจะอยู่ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าพูดถึงในแง่การทำเพื่อสังคม ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเสียสละเพื่อสังคมขนาดนั้นนะ ถ้าทำเพื่อสังคมจริงๆต้องเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เอ็นจีโอ ต้องลักษณะนั้น ซึ่งเราชื่นชมพวกเขามาก สิ่งที่เราทำคงเทียบไม่ได้กับความทุ่มเทของคนเหล่านี้หรอก(ยิ้ม) ไม่คิดว่าตัวเองเป็น Generation Volunteer ขนาดนั้นด้วย เพราะคิดว่าเราจะไปช่วยสังคมได้ ต้องทำตัวเองให้ดีก่อน"
ไปมาหลายที่ขนาดนี้ จะมีที่ไหนบ้างรึเปล่านะที่พี่ปาล์มชอบที่สุด
"พี่ปาล์มเดินทางเยอะมาก บอกไม่ได้ว่าชอบที่ไหนมากที่สุด สำหรับพี่ปาล์ม ทะเล ภูเขา หรือทุ่งหญ้าแห้งๆ ก็สวยเหมือนกันหมด แต่สิ่งที่เราจำได้คือคน เราจำคนได้ แล้วจะเอาคนไปผูกกับสถานที่ ถ้าเป็นที่ที่ประทับใจ ชอบอินเดีย เพราะเป็นสภาพแวดล้อมใหม่ที่ไม่เคยเจอ ตอนแรกที่ไปถึง เหมือนต่างคนต่างกลัวกัน คือคนเรามักจะกลัวสิ่งที่ไม่เหมือนเราน่ะ แต่พอได้รู้จัก พูดคุย คนอินเดียน่ารักมาก เราเห็นเขานิ่งๆตาเข้มๆ ก็คิดว่าจะดุหรือเปล่า แต่จริงๆ คนอินเดียใจดี น่ารัก"

บันทึกของพาพัน @Pantip ตอน คุยกับ พี่ปาล์ม - ชลณัฏฐ์ โกยกุล
พี่เค้าเป็นพิธีกรรายการทางช่องไทยพีบีเอสครับ แต่ละรายการเนื้อหาก็ค่อนข้างจริงจังเลยทีเดียว หลายๆ คนอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตา รู้จักพี่เค้ามาบ้างแล้ว และวันนี้น้องพาพันจะพาไปเจาะลึก ไปรู้จักตัวตนพี่เค้าให้มากขึ้น
มาดูกันว่า อะไรที่ทำให้พี่สาวคนนี้เลือกที่จะทำรายการเพื่อสังคม และอะไรที่ทำให้น้องพาพันอยากคุยกับ พี่ปาล์ม - ชลณัฏฐ์ โกยกุล ครับ
บันทึกของพาพัน
วันนี้พาพันมีนัดกับพี่ปาล์ม - ชลณัฏฐ์ครับ พาพันตื่นเต้นและกลัวรถติดด้วย ก็เลยรีบไป สรุปว่าไปถึงที่นัดก่อนเวลาพักใหญ่เลย ฮ่าๆ และแล้วก่อนเข็มนาฬิกาจะชี้ไปที่ตัวเลขที่นัดไว้ประมาณ 2-3 นาที พี่ปาล์มก็มา ... ว้าว เป็นคนตรงเวลามากๆ ครับ
พี่ปาล์มชวนพาพันไปนั่งคุยในร้านกาแฟเล็กๆ ร้านนึง ในร้านบรรยากาศสบายๆ พี่ปาล์มเล่าว่าเพิ่งถ่ายรายการเสร็จ แล้วเดี๋ยวคุยกับพาพันเสร็จมีนัดสัมภาษณ์ต่ออีก ส่วนพรุ่งนี้ก็ไปถ่ายรายการที่ต่างจังหวัดแต่เช้า โอ้โห...เป็นคนที่ทำงานหนักทีเดียวครับ!
"พี่ปาล์มชอบเวลาไปต่างจังหวัด ชอบบรรยากาศที่คนไม่ได้เร่งรีบตลอดเวลา ทำรายการแนวนี้ได้ออกต่างจังหวัดบ่อย รู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน พี่ปาล์มเป็นคนพังงา เป็นเด็กต่างจังหวัดที่มาเรียนกรุงเทพฯตั้งแต่ จบป. 3 แต่เรารู้สึกตลอดเวลาว่าเราเป็นคนบ้านนอก ไม่ได้เป็นคนกรุงเทพฯ สมัยเรียนที่อักษร จุฬาฯ ก็สนิทกับกลุ่มรุ่นน้องที่เป็นเด็กต่างจังหวัด"
พี่ปาล์มเล่าเรื่องในวัยเรียนให้ฟังว่า ตอนแรกเลือกนิติศาสตร์ จุฬาฯ เพราะคุณแม่แนะนำว่าภาษาอังกฤษดี น่าเรียนกฏหมายระหว่างประเทศ และเพื่อนที่สนิทที่สุดตอนนั้นเลือกนิติฯ ก็เลยเลือกตามเพื่อน แต่เข้าไปวันแรกก็รู้เลยว่าไม่ใช่ที่อยากเรียน ปีต่อมาจึงเปลี่ยนคณะ ยื่นคะแนนสอบเดิมเข้าคณะอักษรศาสตร์
"วันปฐมนิเทศที่นิติฯ นั่งฟังแล้วรู้เลยว่าเราไม่ชอบ ก็เดินเข้าไปบอกอาจารย์ตั้งแต่วันแรกว่าหนูจะย้ายคณะไปอักษรศาสตร์ แต่ระหว่างนี้ จะมามหาวิทยาลัยนะ มาเล่นกับเพื่อน มาหาอาจารย์ ตอนนั้นผลสอบออกมาได้เอฟสี่ตัวรวด เพื่อนเรียก ปาล์ม เอฟโฟร์ (หัวเราะ) ช่วงปีแรกทำกิจกรรมเยอะมาก ไปออกค่ายอาสาของคณะนิติฯ ที่ จ.เลย เป็นเด็กปีหนึ่งคนเดียวที่อยู่ 3 อาทิตย์จนจบค่าย แล้วก็เป็นเชียร์ลีดเดอร์งานฟุตบอลประเพณี จุฬา-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 59 พอเป็นเชียร์ลีดเดอร์ก็มีไปออกสื่อ เลยเริ่มมีคนชวนไปทำงานพิธีกร"
จุดเริ่มต้นการเป็นพิธีกรของพี่ปาล์มอยู่ตรงนี้นี่เองครับ ว่าแล้วพาพันก็สงสัยว่า พี่ปาล์มทำรายการแนวเพื่อสังคมตั้งแต่ตอนนั้นเลยรึเปล่า เพราะคิดดูแล้ว พี่ๆ วัยรุ่นหลายคนน่าจะอยากทำรายการแนวบันเทิงหรือวาไรตี้มากกว่า
"ช่วงนั้นทำงานพิธีกรมาเรื่อยๆ คิดว่าทำงานเก็บตังค์กินขนม แต่ไม่ได้อินกับสิ่งที่ทำเลย รายการที่ทำตอนนั้นเป็นแนวพาไปดูเทรนด์ใหม่ๆ พาไปเที่ยวไปกิน แต่ไม่ได้รู้สึกชอบหรือภูมิใจกับงานตัวเอง คือเรื่องเนื้อหาไม่เท่าไหร่ แต่ที่ฝืนความรู้สึกคือวิธีการนำเสนอมากกว่า เราต้องพูดจาเสียงสูงต่ำ ยักคิ้วหลิ่วตา ซึ่งเรารู้สึกว่ามันตลก ในชีวิตจริงคงไม่มีใครพูดด้วยน้ำเสียงหรือท่าทางแบบนั้น เลยไม่ดูงานตัวเองและไม่ชวนใครให้ดู เวลามีคนมาถามว่า ใช่เราหรือเปล่า เราก็จะบอกว่า คงเป็นคนหน้าคล้าย ไม่ใช่เรา (หัวเราะ) จนเรียนจบก็ได้มาทำงานพิธีกรอีก เป็นรายการปกิณกะความงาม เล่าข่าว คราวนี้ไม่ใช่เรื่องสไตล์การนำเสนอที่เป็นปัญหา แต่ที่ทำให้ลำบากใจคือ ต้องพูดในสิ่งที่ขัดกับความเชื่อตัวเอง เช่น ต้องพีอาร์เรื่องปาร์ตี้ แต่เราไม่เที่ยวกลางคืน หรือต้องพูดขายของว่า ผู้หญิงจะต้องขาวถึงจะสวยดูดี ซึ่งเราไม่ได้คิดอย่างนั้น พอต้องพูดสิ่งที่ไม่ตรงกับใจเลยไม่มีความสุข"
พี่ปาล์มเล่าถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตให้ฟังว่า ไปสมัครพิธีกรไทยพีบีเอส ช่วงที่สถานีเปลี่ยนจาก TITV เป็น ThaiPBS และได้ทำรายการชุมชนต้นแบบ ซึ่งพาไปดูชุมชนที่น่าสนใจและทำสิ่งที่เป็นแบบอย่าง ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า ... นี่แหละทางเรา! หลังจากนั้นก็ทำหน้าที่พิธีกรในรายการของThaiPBS อีกหลายรายการ เช่น ปลุกพลังบวก Ignite ทีวีไทย, เปิดหูเปิดตา, ลุยไม่รู้โรย, สยามวาระ และล่าสุด รายการพื้นที่ชีวิต และ มหัศจรรย์พันธุ์ลึก
พาพันว่าการค้นหา ”ทาง” ของตัวเอง น่าจะเป็นปัญหาของพี่ๆ วัยรุ่นหลายคนเลยนะครับ เพราะหลายคนก็ไม่รู้จริงๆ ว่าชอบอะไร หรืออยากทำอาชีพอะไร
"พี่ปาล์มเพิ่งไปเป็นวิทยากรบรรยายในงานปัจฉิมนิเทศของคณะอักษรศาสตร์ มีคำถามข้อนึงจากน้องๆ คือ ไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไร จะทำมาหากินอะไรดี พี่ปาล์มเลยแนะไป ถ้าคิดว่าจะเป็นอะไรมันยาก ให้กลับไปคิดก่อนว่าเราชอบทำอะไรหรือดูว่าถนัดอะไร ไม่ต้องตามใคร ถ้าสนใจอะไรก็ลงลึกกับมันเลย แล้วเราจะรู้เองว่าเราเหมาะกับมันมั้ย ไปต่อทางนี้ได้รึเปล่า ตัวพี่ปาล์มเองอาจจะโชคดีที่ชัดมาตั้งแต่เด็กว่าชอบภาษา ชอบคุยกับคน พอมาทำงานพิธีกรในแนวที่ตัวเองชอบ ก็รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ใช่ เลยไม่เคยผ่านเส้นทางที่ต้องค้นหาตัวเองขนาดนั้น"
เท่าที่ฟังมา พี่ปาล์มดูจะชอบอาชีพพิธีกรมากๆ เลย เพราะทำมาตั้งแต่สมัยเรียนจนกระทั่งตอนนี้ น้องพาพันเริ่มสงสัยแล้วสิว่าอาชีพนี้สนุกยังไง
"พี่ปาล์มชอบคุยกับคนมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าไปเจอคนคนหนึ่งที่น่าสนใจ เราก็อยากรู้ว่าอะไรที่หล่อหลอมให้เขาเป็นแบบนั้น ทำไมเขาคิดอย่างนี้ พอเราถามไปด้วยความสนอกสนใจ เขาก็จะรู้สึกว่า เออ มันอยากรู้จริงๆ เขาก็จะเล่า เปิดให้เราเข้าไปในพื้นที่ของเขา รู้สึกว่าการเดินทางไปที่ใหม่ๆ ได้คุยกับผู้คนหลากหลาย เป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง พี่ปาล์มเคยไปชุมชนที่เกือบทั้งหมดเป็นผู้ชาย ผู้หญิงมีนิดเดียว อยู่ในครัวไม่มีบทบาท แต่เราก็ไม่รู้สึกว่าแปลกที่ เพราะท่าทีที่เราเข้าไป เราเข้าไปขอความรู้ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ ซึ่งพอมีท่าทีแบบนี้ มันเป็นมิตรอ่อนน้อม เค้าก็เปิดรับ เป็นแบบนี้ทุกที่ แล้วยิ่งเราเป็นผู้หญิงก็ดูไม่มีพิษภัย คนเขาก็เอ็นดูเรา อันนี้เป็นข้อได้เปรียบมาก นึกภาพชุมชนนึงมีคนแปลกหน้าเดินเข้ามา เป็นผู้ชายตัวใหญ่ๆ กับผู้หญิงตัวเล็กๆ พี่ปาล์มว่าผู้หญิงน่ากลัวน้อยกว่านะ(หัวเราะ) แรกๆบางคนที่เข้าไปคุยด้วย เขาอาจจะไม่ค่อยกล้าพูด เพราะยังไม่รู้จักกัน แต่พี่ปาล์มก็จะมีวิธีคุยสลายกำแพง จนสุดท้ายเขาก็เต็มที่กับเรา การได้คุยกับคน นี่คือความสนุกของอาชีพพิธีกร"
พี่ปาล์มเล่าเทคนิคการเป็นพิธีกรว่า "ทุกครั้งเวลาลงพื้นที่ไปถ่ายรายการ จะหาข้อมูลให้รอบด้านก่อน เลยไม่ค่อยเจอ Culture Shock เพราะเรารู้ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ซึ่งนี่ไม่ได้ลดทอนความสนุกของการเดินทางลงเลย พี่ปาล์มว่าท่าทีที่ดีที่สุด ในการเดินทางไปในที่ใดๆ ก็ตาม คือการเข้าไปอย่างให้เกียรติสถานที่ นอบน้อมกับผู้คน และเคารพความเชื่อของเขาด้วย ส่วนในเวลาคุยหรือตั้งคำถามกับคน ไม่ควรพูดข้อมูลทั้งหมดที่เรารู้มา ไม่อย่างนั้นจะเป็นการอวดรู้ ต้องเป็นคำถามปลายเปิด ให้เค้าอธิบายได้เล่าต่อ ไม่ใช่คำถามให้ตอบใช่-ไม่ใช่ การเตรียมตัวจะทำให้เราเข้ากับคนได้ง่ายขึ้น ไม่เป็นสิ่งแปลกปลอมในสถานที่นั้น เรารู้สึกว่าเราไม่เก่งเลย แต่ที่ทำได้ทุกวันนี้เพราะเราขยันและตั้งใจในการทำงาน พี่ปาล์มเชื่อเรื่องการเตรียมตัวมาก"
แล้วอะไรคือเหตุผลที่ทำให้พี่ปาล์มชอบทำรายการแนวเพื่อสังคมครับ
"จริงๆ พี่ปาล์มก็ทำงานปกติ อาจจะแค่เลือกงาน งานส่วนใหญ่พูดเรื่องประเด็นทางสังคม สิ่งแวดล้อม ศาสนา เกี่ยวข้องกับชุมชนและให้ความรู้ หรือไม่ก็เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษ งานจะมาแนวนี้หมด มันเป็นจุดยืนที่อยู่มาตลอดและคงจะอยู่ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าพูดถึงในแง่การทำเพื่อสังคม ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเสียสละเพื่อสังคมขนาดนั้นนะ ถ้าทำเพื่อสังคมจริงๆต้องเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เอ็นจีโอ ต้องลักษณะนั้น ซึ่งเราชื่นชมพวกเขามาก สิ่งที่เราทำคงเทียบไม่ได้กับความทุ่มเทของคนเหล่านี้หรอก(ยิ้ม) ไม่คิดว่าตัวเองเป็น Generation Volunteer ขนาดนั้นด้วย เพราะคิดว่าเราจะไปช่วยสังคมได้ ต้องทำตัวเองให้ดีก่อน"
ไปมาหลายที่ขนาดนี้ จะมีที่ไหนบ้างรึเปล่านะที่พี่ปาล์มชอบที่สุด
"พี่ปาล์มเดินทางเยอะมาก บอกไม่ได้ว่าชอบที่ไหนมากที่สุด สำหรับพี่ปาล์ม ทะเล ภูเขา หรือทุ่งหญ้าแห้งๆ ก็สวยเหมือนกันหมด แต่สิ่งที่เราจำได้คือคน เราจำคนได้ แล้วจะเอาคนไปผูกกับสถานที่ ถ้าเป็นที่ที่ประทับใจ ชอบอินเดีย เพราะเป็นสภาพแวดล้อมใหม่ที่ไม่เคยเจอ ตอนแรกที่ไปถึง เหมือนต่างคนต่างกลัวกัน คือคนเรามักจะกลัวสิ่งที่ไม่เหมือนเราน่ะ แต่พอได้รู้จัก พูดคุย คนอินเดียน่ารักมาก เราเห็นเขานิ่งๆตาเข้มๆ ก็คิดว่าจะดุหรือเปล่า แต่จริงๆ คนอินเดียใจดี น่ารัก"