เกริ่นประวัติคนเขียนก่อนค่ะ......^_^
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขียนแล้วมาลงพันทิป แต่คงเป็นเรื่องสุดท้ายค่ะ เพราะว่าอายุก็จะ 30 แล้ว
ที่จริงตอนเด็กๆ ก็เขียนนิยายมาเรื่องสองเรื่องแต่ก็เก็บไว้ดูคนเดียวค่ะ พอทำงานก็เลิกจนลืมไปเลยว่าตัวเองชอบเขียนนิยาย
ชีวิตคนเราไม่แน่นอนค่ะ ขอเลือกทำในสิ่งที่ชอบบ้างค่ะ บางทีโลกแห่งความจริงก็มีแต่การแข่งขัน ขอกลับมาอยู่ในโลกของตัวเองที่ทำแล้วมีความสุขชั่วคราวนะค่ะ ^__^
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ห่วงรัก ตอนที่ 1 (ฉันจะแก้ไขห่วงที่ติดตัวนี้ได้อย่างไร)
ณ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ปกรณ์ ชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียว ผิวขาว หน้าตาดี เดินลากกระเป๋าตรงมายังคนที่รอเขาอยู่ เขารู้จักคนนี้ดีตั้งแต่เด็ก
“คุณกรณ์ครับ ทางนี้ครับ” เดี่ยวชายหนุ่ม ผิวขาว รุ่นราวคราวเดียวกับปกรณ์ตะโกนเรียก ปกรณ์เดินตรงมาหาเดี่ยวด้วยความดีใจทักทายตามประสาคนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก
กลับมาถึงบ้าน ปกรณ์รีบตรงเข้าไปในห้องพ่อ สิ่งที่เขาเห็นคือพ่อของเขานอนป่วยอยู่บนเตียง มีแม่ของเขานั่งให้กำลังใจอยู่ข้างเตียง
“กรณ์” เสียงแม่เขาเรียกเต็มไปด้วยคิดถึงและเศร้าหมอง โผกอดลูกชายตัวเองอย่างแนบแน่น เหมือนอยากระบายสิ่งที่อัดอั้นไว้ในใจ แต่สิ่งที่ปกรณ์รับรู้ต่อมาจากนั้นคือ พ่อเขาป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ และสิ่งที่เขารับรู้อีกอย่างคือ อาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันเป็นแบบนี้นี่เอง ตอนนี้สมองเขาอื้อไปหมดเสียงที่เขาได้ยินเสียงเดียวคือ เสียงร้องไห้ของแม่เขาเอง
แม่ของปกรณ์แจงว่าพ่ออาจจะอยู่กับเราอีกไม่นาน พ่อเป็นห่วงรีสอร์ทมากอยากให้ปกรณ์มาช่วยดูแล.. แล้วความฝันของปกรณ์ล่ะ ความฝันที่จะสร้างสินค้าแบร์นเครื่องดื่มเป็นของตัวเอง จะได้ทำมันไหม
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ตอบรับพ่อเขาไปแล้ว เขาจะสานต่อการบริหารธุรกิจรีสอร์ท และจะทำมันให้ดีที่สุด
ณ กรุงเทพฯ เมืองศิวิลัย ที่ใครๆ หลายคนหลงแสงสีเหมือนกับแมงเม่าที่เห็นแสงไฟ ในมุมหนึ่งลอดจากแสงสีอันสวยงามของกรุงเทพ “ปิ่นฉัตร” สาวน้อยตัวเล็กๆ ผิวขาวหน้าตาหน้ารักกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานในสำนักงานขายอสังหาริมทรัพย์ “สุขสินทรัพย์” เธอทำงานตำแหน่งพนักงานขายของบริษัทนี้
สาววัย 24 ปี เธอกำลังไล่ดูชื่อลูกค้าที่มีความเป็นไปได้ที่จะซื้ออสังหาฯ ของเธอ อายุเท่านี้เพื่อนๆ เธอเรียนจบปริญญาตรีไปหมดแล้ว เหลือแต่เธอที่ยังค่อยๆ ไล่เก็บทีละวิชา เนื่องจากฐานะที่บ้านเธอนั้นลำบากมาก เธอยังมีแม่และยายที่ต้องเลี้ยงดู และอาชีพที่เธอคาดหวังว่าจะทำเงินให้เธอก็คืออาชีพ “พนักงานขาย” แต่ในเมืองหลวงยุคที่มีการแข่งขันสูง พนักงานขายส่วนใหญ่ก็รับวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ด้วยนิสัยไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆเธอก็หางานที่คิดว่าจะสร้างรายได้ให้กับเธอจนได้
แต่ก็เหมือนชะตาฟ้าเล่นตลกกับเธอ เธอยังไม่สามารถปิดงานขายได้เลยแม้แต่รายเดียว อีกไม่กี่วันจะครบ 3 เดือนแล้ว เธอยังไม่รู้เลยจะทำยังไงกับชีวิต เธอเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงานสายตามองตรงออกไปนอกกระจกใสซึ่งเป็นถนนใหญ่มีรถวิ่งแล่นอยู่มากมาย เธอถอนหายใจเบาๆ แต่ยาวพอควร และพึมพรำกับตัวเอง
“เธอต้องทำได้สิ ปิ่นฉัตร”
แต่ดูเหมือนว่า “สุขสินธุ์” เจ้าของกิจการอสังหาริมทรัพย์ ไม่มีวี่แววเข้มงวดกับเธอเลย เหมือนว่ามีงานอะไรสักอย่างให้เธอทำ......
หลังเวลาเลิกงานปิ่นฉัตรต้องทิ้งความกังวลในเรื่องงานไว้ที่หน้าบ้านของเธอ เพื่อนเดินตรงไปหาแม่และยายของเธอ บ้านของปิ่นฉัตรต้องเดินผ่านสิ่งที่เรียกว่าศิวิลัยในกรุงเทพออกมายังชุมชนที่ไม่เหลือความสวยงามของกรุงเทพไว้เลย เป็นบ้านเช่าปลูกด้วยไม้ 2 ชั้น แม่กับยายอยู่ชั้นล่างมีแต่ห้องนอนของเธอเท่านั้นที่อยู่ชั้นบน
“แม่ ฉัตรกลับมาแล้ว” เสียงของปิ่นฉัตรดูเข้มแข็งเกินตัว แต่ด้วยชีวิตที่ต้องสู้ความเข้มแข็งของเธอจึงแสดงออกมาทางกิริยาท่าทางและน้ำเสียง แม่ของปิ่นฉัตรเดินออกมาหาด้วยท่าทางรีบร้อน
“ฉัตรยายตัวร้อนมาก และบ่นว่าปวดหัวตลอด แม่ทำอะไรไม่ถูกเลยลูก” ฉัตรรีบวางสัมภาระแล้วไปดูยาย
“เราต้องพายายไปหาหมอ” ปิ่นฉัตรเอ่ยอย่างเร่งรีบ
แม่ของปิ่นฉัตรจับมือลูกตัวเองไว้สีหน้าอมทุกข์ “เราไม่มีเงินเลยลูก” ปิ่นฉัตรมองหน้าแม่ตัวเองด้วยสายตาที่รู้สึกผิดเหลือเกิน ที่เขายังไม่สามารถหาเงินมาได้เยอะๆ พอที่จะดูแลแม่กับยาย
“แต่เราต้องไปค่ะแม่ ฉัตรยังมีเงินเดือนเหลืออยู่ หรือถ้าไม่พอเราค่อยว่ากัน” ปิ่นฉัตรหันหลังให้แม่ตัวเองแล้วเข้าไปประคองยายพาขึ้นแท็กซี่ไป
ที่โรงพยาบาลหมอได้ตรวจยายของปิ่นฉัตรแล้วแจ้งว่า เส้นเลือดได้ไปกดทับเส้นประสาทที่สองต้องรีบทำการผ่าตัด เพื่อความปลอดภัยของคนไข้ มีค่าใช้จ่ายประมาณแสนกว่าบาท ปิ่นฉัตรและแม่ฟังคำพูดหมอถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ถูก และค่าใช้จ่ายครั้งนี้เธอก็ควักเงินเดือนที่เก็บไว้กินไปวันๆ ออกมาจ่ายจนหมดตัว
เช้าวันต่อมา ที่สำนักงานขายอสังหาฯ สุขสินทรัพย์ ปิ่นฉัตรเดินมาด้วยหน้าตาที่เครียด แต่ปกติแล้วปิ่นฉัตรเป็นคนอัธยาศัยดี ทุกคนจึงทักทายปิ่นฉัตรเหมือนกับทุกวัน
“ฉัตร” หญิงสาวที่แต่งตัวเป็นชายเดินมาหาเธอ
“พี่นุ่น คิดถึงจังเลยไม่เจอตั้งหลายวัน” ฉัตรยิ้มทักทาย “นุ่น” ในร่างหญิงสาวแต่ใจเป็นชาย หรือที่เรียกกันว่าทอม
“คงไม่เจออีกยาวล่ะ พี่ว่าจะลาออกแล้ว วันนี้ก็มาทำงานวันสุดท้ายแล้ว” นุ่นพูดพร้อมกับเอาแขนมาโอบปิ่นฉัตร “สู้ต่อไปนะน้องมีอะไรให้พี่ช่วยก็โทรหาพี่ได้เสมอ พี่เห็นเราเป็นน้องสาวเสมอ”
ปิ่นฉัตรหันมายิ้มให้นุ่นพร้อมกล่าวขอบคุณ เธอคงเหงาเพราะนุ่นมักสร้างเสียงหัวเราะให้เธอเสมอ แต่ตอนนี้เธอคงคิดเรื่องแบบนี้ไม่ได้ เธอมีเรื่องต้องคิดที่สำคัญกว่านี้มาก กลางวันนี้เธอจะกินอะไรยังไม่รู้เลย เมื่อถึงช่วงพักกลางวันเธอได้แต่ปฏิเสธเพื่อนๆ ไม่ไปกินข้าว เธอไม่สามารถจะซื้ออะไรกินได้เธอต้องเก็บเงินที่เหลือไว้ให้นานที่สุดจนกว่าจะสิ้นเดือน แต่ปิ่นฉัตรก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีกิเลสคนหนึ่ง เธออยากกินอาหารญี่ปุ่นเหลือเกิน และเธอก็เชื่อมั่นว่ามันคือของโปรดของเธอ ว่าแล้วเธอก็ลุกขึ้นไปกดน้ำเปล่ามากิน ประทังชีวิตวันนี้ไปก่อน
สุดท้ายสวรรค์ก็เข้าข้างปิ่นฉัตร “สุรชัย” หรือฉายาของเขาก็คือ “ป๋าประจำออฟฟิศ” เดินหอบของฝากจากเชียงใหม่มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นแคบหมู หมูยอ ไส้อั่ว พร้อมทักทายปิ่นฉัตรมาแต่ไกล
“ไงจ๊ะน้องสาว ไม่ไปทานข้าวเหรอ แต่ก็ไม่ต้องไปหรอกพี่ซื้อของฝากมาเยอะแยะให้ทุกคนกินอิ่มถึงเย็นเลย” ปิ่นฉัตรยิ้มออกพร้อมบ่นกะตัวเองว่าเขารอดตายแล้ว
“ป๋า..ซื้ออะไรมาเยอะแยะเนี่ย” ปิ่นฉัตรทักทาย
“พี่ไปดูงานที่เชียงใหม่มา” สุรชัยพูดสีหน้าอมยิ้ม ปิ่นฉัตรสังเกตเห็น
“คงไม่ได้ไปดูแต่งานแล้วมั้ง.......” ปิ่นฉัตรแขวะ สุรชัยอมยิ้ม
“ก็เนี่ย...น้องเขาน่ารักอ่ะ เดี๋ยวพี่เอารูปให้ดู น่ารักน่าเอ็นดู” ปิ่นฉัตรดูรูปที่สุรชัยส่งให้ดูพร้อมกับส่ายหน้า
“คอยดูนะ ฉัตรเจอแฟนพี่เมื่อไหร่จะฟ้องให้หมดเลย” น้ำเสียงของปิ่นฉัตรจริงจังมาก แม้ปิ่นฉัตรจะไม่เคยมีความรักหรือแฟน แต่สิ่งที่ปิ่นฉัตรเกียดก็คือคนหลายใจคนไม่ซื่อสัตย์ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย
สุรชัยมองหน้าปิ่นฉัตรนิดนึงก่อนเอามือมาลูบหัวปิ่นฉัตรไปมา
“ก็เราโหดซ่ะแบบนี้...แล้วใครเขาจะกล้ามาจีบ ผู้ชายเห็นก็กลัวกันหมดแล้ว” สุรชัยขึ้นเสียงสูง
ปิ่นฉัตรปัดมือบนหัวออก “ก็อย่าได้เจอแฟนพี่แล้วกัน แฉหมดแน่!” ปิ่นฉัตรเอ่ยพร้อมกอดแคบหมูถึงใหญ่กลับไปนั่งที่โต๊ะเธอ
เธอยังคงหัวเสียงเรื่องสุรชัย พร้อมกับมือเธอก็หยิบแค๊บหมูกินไป
“แฟนหรอ.......ถ้ามีแล้วเป็นแบบนี้ อย่ามีดีกว่า” เธอนั่งนึกอยู่ในใจ จนนึกไปถึงเรื่องแม่และยาย
“แต่ถ้ามีคนคอยดูแลเราเวลาเรารู้สึกเหนื่อย ก็คงจะดีสินะ บางทีฉันก็เหนื่อยกับการดูเป็นคนแข็งแรงแบบนี้เต็มทนแล้วเหมือนกัน”
ปิ่นฉัตรนึกพร้อมกับถอนหายใจเฮือกยาว
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ
::นกนางแอ่นปีกหัก::
ห่วงรัก ตอนที่ 1 "ฉันจะแก้ห่วงที่ติดตัวนี้ได้อย่างไร" (ฝากด้วยค่ะ มือใหม่)
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขียนแล้วมาลงพันทิป แต่คงเป็นเรื่องสุดท้ายค่ะ เพราะว่าอายุก็จะ 30 แล้ว
ที่จริงตอนเด็กๆ ก็เขียนนิยายมาเรื่องสองเรื่องแต่ก็เก็บไว้ดูคนเดียวค่ะ พอทำงานก็เลิกจนลืมไปเลยว่าตัวเองชอบเขียนนิยาย
ชีวิตคนเราไม่แน่นอนค่ะ ขอเลือกทำในสิ่งที่ชอบบ้างค่ะ บางทีโลกแห่งความจริงก็มีแต่การแข่งขัน ขอกลับมาอยู่ในโลกของตัวเองที่ทำแล้วมีความสุขชั่วคราวนะค่ะ ^__^
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ห่วงรัก ตอนที่ 1 (ฉันจะแก้ไขห่วงที่ติดตัวนี้ได้อย่างไร)
ณ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ปกรณ์ ชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียว ผิวขาว หน้าตาดี เดินลากกระเป๋าตรงมายังคนที่รอเขาอยู่ เขารู้จักคนนี้ดีตั้งแต่เด็ก
“คุณกรณ์ครับ ทางนี้ครับ” เดี่ยวชายหนุ่ม ผิวขาว รุ่นราวคราวเดียวกับปกรณ์ตะโกนเรียก ปกรณ์เดินตรงมาหาเดี่ยวด้วยความดีใจทักทายตามประสาคนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก
กลับมาถึงบ้าน ปกรณ์รีบตรงเข้าไปในห้องพ่อ สิ่งที่เขาเห็นคือพ่อของเขานอนป่วยอยู่บนเตียง มีแม่ของเขานั่งให้กำลังใจอยู่ข้างเตียง
“กรณ์” เสียงแม่เขาเรียกเต็มไปด้วยคิดถึงและเศร้าหมอง โผกอดลูกชายตัวเองอย่างแนบแน่น เหมือนอยากระบายสิ่งที่อัดอั้นไว้ในใจ แต่สิ่งที่ปกรณ์รับรู้ต่อมาจากนั้นคือ พ่อเขาป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ และสิ่งที่เขารับรู้อีกอย่างคือ อาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันเป็นแบบนี้นี่เอง ตอนนี้สมองเขาอื้อไปหมดเสียงที่เขาได้ยินเสียงเดียวคือ เสียงร้องไห้ของแม่เขาเอง
แม่ของปกรณ์แจงว่าพ่ออาจจะอยู่กับเราอีกไม่นาน พ่อเป็นห่วงรีสอร์ทมากอยากให้ปกรณ์มาช่วยดูแล.. แล้วความฝันของปกรณ์ล่ะ ความฝันที่จะสร้างสินค้าแบร์นเครื่องดื่มเป็นของตัวเอง จะได้ทำมันไหม
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ตอบรับพ่อเขาไปแล้ว เขาจะสานต่อการบริหารธุรกิจรีสอร์ท และจะทำมันให้ดีที่สุด
ณ กรุงเทพฯ เมืองศิวิลัย ที่ใครๆ หลายคนหลงแสงสีเหมือนกับแมงเม่าที่เห็นแสงไฟ ในมุมหนึ่งลอดจากแสงสีอันสวยงามของกรุงเทพ “ปิ่นฉัตร” สาวน้อยตัวเล็กๆ ผิวขาวหน้าตาหน้ารักกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานในสำนักงานขายอสังหาริมทรัพย์ “สุขสินทรัพย์” เธอทำงานตำแหน่งพนักงานขายของบริษัทนี้
สาววัย 24 ปี เธอกำลังไล่ดูชื่อลูกค้าที่มีความเป็นไปได้ที่จะซื้ออสังหาฯ ของเธอ อายุเท่านี้เพื่อนๆ เธอเรียนจบปริญญาตรีไปหมดแล้ว เหลือแต่เธอที่ยังค่อยๆ ไล่เก็บทีละวิชา เนื่องจากฐานะที่บ้านเธอนั้นลำบากมาก เธอยังมีแม่และยายที่ต้องเลี้ยงดู และอาชีพที่เธอคาดหวังว่าจะทำเงินให้เธอก็คืออาชีพ “พนักงานขาย” แต่ในเมืองหลวงยุคที่มีการแข่งขันสูง พนักงานขายส่วนใหญ่ก็รับวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ด้วยนิสัยไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆเธอก็หางานที่คิดว่าจะสร้างรายได้ให้กับเธอจนได้
แต่ก็เหมือนชะตาฟ้าเล่นตลกกับเธอ เธอยังไม่สามารถปิดงานขายได้เลยแม้แต่รายเดียว อีกไม่กี่วันจะครบ 3 เดือนแล้ว เธอยังไม่รู้เลยจะทำยังไงกับชีวิต เธอเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงานสายตามองตรงออกไปนอกกระจกใสซึ่งเป็นถนนใหญ่มีรถวิ่งแล่นอยู่มากมาย เธอถอนหายใจเบาๆ แต่ยาวพอควร และพึมพรำกับตัวเอง
“เธอต้องทำได้สิ ปิ่นฉัตร”
แต่ดูเหมือนว่า “สุขสินธุ์” เจ้าของกิจการอสังหาริมทรัพย์ ไม่มีวี่แววเข้มงวดกับเธอเลย เหมือนว่ามีงานอะไรสักอย่างให้เธอทำ......
หลังเวลาเลิกงานปิ่นฉัตรต้องทิ้งความกังวลในเรื่องงานไว้ที่หน้าบ้านของเธอ เพื่อนเดินตรงไปหาแม่และยายของเธอ บ้านของปิ่นฉัตรต้องเดินผ่านสิ่งที่เรียกว่าศิวิลัยในกรุงเทพออกมายังชุมชนที่ไม่เหลือความสวยงามของกรุงเทพไว้เลย เป็นบ้านเช่าปลูกด้วยไม้ 2 ชั้น แม่กับยายอยู่ชั้นล่างมีแต่ห้องนอนของเธอเท่านั้นที่อยู่ชั้นบน
“แม่ ฉัตรกลับมาแล้ว” เสียงของปิ่นฉัตรดูเข้มแข็งเกินตัว แต่ด้วยชีวิตที่ต้องสู้ความเข้มแข็งของเธอจึงแสดงออกมาทางกิริยาท่าทางและน้ำเสียง แม่ของปิ่นฉัตรเดินออกมาหาด้วยท่าทางรีบร้อน
“ฉัตรยายตัวร้อนมาก และบ่นว่าปวดหัวตลอด แม่ทำอะไรไม่ถูกเลยลูก” ฉัตรรีบวางสัมภาระแล้วไปดูยาย
“เราต้องพายายไปหาหมอ” ปิ่นฉัตรเอ่ยอย่างเร่งรีบ
แม่ของปิ่นฉัตรจับมือลูกตัวเองไว้สีหน้าอมทุกข์ “เราไม่มีเงินเลยลูก” ปิ่นฉัตรมองหน้าแม่ตัวเองด้วยสายตาที่รู้สึกผิดเหลือเกิน ที่เขายังไม่สามารถหาเงินมาได้เยอะๆ พอที่จะดูแลแม่กับยาย
“แต่เราต้องไปค่ะแม่ ฉัตรยังมีเงินเดือนเหลืออยู่ หรือถ้าไม่พอเราค่อยว่ากัน” ปิ่นฉัตรหันหลังให้แม่ตัวเองแล้วเข้าไปประคองยายพาขึ้นแท็กซี่ไป
ที่โรงพยาบาลหมอได้ตรวจยายของปิ่นฉัตรแล้วแจ้งว่า เส้นเลือดได้ไปกดทับเส้นประสาทที่สองต้องรีบทำการผ่าตัด เพื่อความปลอดภัยของคนไข้ มีค่าใช้จ่ายประมาณแสนกว่าบาท ปิ่นฉัตรและแม่ฟังคำพูดหมอถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ถูก และค่าใช้จ่ายครั้งนี้เธอก็ควักเงินเดือนที่เก็บไว้กินไปวันๆ ออกมาจ่ายจนหมดตัว
เช้าวันต่อมา ที่สำนักงานขายอสังหาฯ สุขสินทรัพย์ ปิ่นฉัตรเดินมาด้วยหน้าตาที่เครียด แต่ปกติแล้วปิ่นฉัตรเป็นคนอัธยาศัยดี ทุกคนจึงทักทายปิ่นฉัตรเหมือนกับทุกวัน
“ฉัตร” หญิงสาวที่แต่งตัวเป็นชายเดินมาหาเธอ
“พี่นุ่น คิดถึงจังเลยไม่เจอตั้งหลายวัน” ฉัตรยิ้มทักทาย “นุ่น” ในร่างหญิงสาวแต่ใจเป็นชาย หรือที่เรียกกันว่าทอม
“คงไม่เจออีกยาวล่ะ พี่ว่าจะลาออกแล้ว วันนี้ก็มาทำงานวันสุดท้ายแล้ว” นุ่นพูดพร้อมกับเอาแขนมาโอบปิ่นฉัตร “สู้ต่อไปนะน้องมีอะไรให้พี่ช่วยก็โทรหาพี่ได้เสมอ พี่เห็นเราเป็นน้องสาวเสมอ”
ปิ่นฉัตรหันมายิ้มให้นุ่นพร้อมกล่าวขอบคุณ เธอคงเหงาเพราะนุ่นมักสร้างเสียงหัวเราะให้เธอเสมอ แต่ตอนนี้เธอคงคิดเรื่องแบบนี้ไม่ได้ เธอมีเรื่องต้องคิดที่สำคัญกว่านี้มาก กลางวันนี้เธอจะกินอะไรยังไม่รู้เลย เมื่อถึงช่วงพักกลางวันเธอได้แต่ปฏิเสธเพื่อนๆ ไม่ไปกินข้าว เธอไม่สามารถจะซื้ออะไรกินได้เธอต้องเก็บเงินที่เหลือไว้ให้นานที่สุดจนกว่าจะสิ้นเดือน แต่ปิ่นฉัตรก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีกิเลสคนหนึ่ง เธออยากกินอาหารญี่ปุ่นเหลือเกิน และเธอก็เชื่อมั่นว่ามันคือของโปรดของเธอ ว่าแล้วเธอก็ลุกขึ้นไปกดน้ำเปล่ามากิน ประทังชีวิตวันนี้ไปก่อน
สุดท้ายสวรรค์ก็เข้าข้างปิ่นฉัตร “สุรชัย” หรือฉายาของเขาก็คือ “ป๋าประจำออฟฟิศ” เดินหอบของฝากจากเชียงใหม่มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นแคบหมู หมูยอ ไส้อั่ว พร้อมทักทายปิ่นฉัตรมาแต่ไกล
“ไงจ๊ะน้องสาว ไม่ไปทานข้าวเหรอ แต่ก็ไม่ต้องไปหรอกพี่ซื้อของฝากมาเยอะแยะให้ทุกคนกินอิ่มถึงเย็นเลย” ปิ่นฉัตรยิ้มออกพร้อมบ่นกะตัวเองว่าเขารอดตายแล้ว
“ป๋า..ซื้ออะไรมาเยอะแยะเนี่ย” ปิ่นฉัตรทักทาย
“พี่ไปดูงานที่เชียงใหม่มา” สุรชัยพูดสีหน้าอมยิ้ม ปิ่นฉัตรสังเกตเห็น
“คงไม่ได้ไปดูแต่งานแล้วมั้ง.......” ปิ่นฉัตรแขวะ สุรชัยอมยิ้ม
“ก็เนี่ย...น้องเขาน่ารักอ่ะ เดี๋ยวพี่เอารูปให้ดู น่ารักน่าเอ็นดู” ปิ่นฉัตรดูรูปที่สุรชัยส่งให้ดูพร้อมกับส่ายหน้า
“คอยดูนะ ฉัตรเจอแฟนพี่เมื่อไหร่จะฟ้องให้หมดเลย” น้ำเสียงของปิ่นฉัตรจริงจังมาก แม้ปิ่นฉัตรจะไม่เคยมีความรักหรือแฟน แต่สิ่งที่ปิ่นฉัตรเกียดก็คือคนหลายใจคนไม่ซื่อสัตย์ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย
สุรชัยมองหน้าปิ่นฉัตรนิดนึงก่อนเอามือมาลูบหัวปิ่นฉัตรไปมา
“ก็เราโหดซ่ะแบบนี้...แล้วใครเขาจะกล้ามาจีบ ผู้ชายเห็นก็กลัวกันหมดแล้ว” สุรชัยขึ้นเสียงสูง
ปิ่นฉัตรปัดมือบนหัวออก “ก็อย่าได้เจอแฟนพี่แล้วกัน แฉหมดแน่!” ปิ่นฉัตรเอ่ยพร้อมกอดแคบหมูถึงใหญ่กลับไปนั่งที่โต๊ะเธอ
เธอยังคงหัวเสียงเรื่องสุรชัย พร้อมกับมือเธอก็หยิบแค๊บหมูกินไป
“แฟนหรอ.......ถ้ามีแล้วเป็นแบบนี้ อย่ามีดีกว่า” เธอนั่งนึกอยู่ในใจ จนนึกไปถึงเรื่องแม่และยาย
“แต่ถ้ามีคนคอยดูแลเราเวลาเรารู้สึกเหนื่อย ก็คงจะดีสินะ บางทีฉันก็เหนื่อยกับการดูเป็นคนแข็งแรงแบบนี้เต็มทนแล้วเหมือนกัน”
ปิ่นฉัตรนึกพร้อมกับถอนหายใจเฮือกยาว
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ
::นกนางแอ่นปีกหัก::