การตื่นรู้หรือดวงตาเห็นธรรม คือ การเจริญอานาปานสติ มีสติรู้ลมหายใจเข้าออก จนจิตสงบรวมเป็นสมาธิ ทิ้งกายและลมหายใจดับสนิท จิตจะรวมหดเล็กพุ่งทะลุรูหนอนยาวสว่างไสว
เมื่อพุ่งทะลุจนสุดรูหนอน กายเรา โลกธาตุและวัฏสงสารจะพังทลายลงเหลือแต่ความว่าง ไร้ทิศไร้ทาง ไร้กาย ไร้ความคิด ไร้สุขและทุกข์ ไร้กาลเวลา เหนือสมมุติปรุงแต่งทั้งปวง ท่ามกลางความว่างมีจิตประภัสสรหรือวิญญาณธาตุส่องสว่างไสวยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ นั่นแหละ คือ ดวงธรรม หรือจิตพุทธะ ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัส “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา”
จิตจะเกิดปัญญาตื่นรู้ว่า กายเรา ความคิดเรา โลกธาตุและวัฏสงสาร ล้วนเกิดจากจิตที่ถูกอวิชชาครอบงำปรุงแต่งขึ้นทั้งสิ้น เกิดจากการประชุมกันของธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วจิตมายึดหลงว่าเป็นเรา ซึ่งแท้จริงไม่ใช่เรา อุปมาเหมือนคนหลับ อยู่ในโลกความฝันแล้วตื่นมาพบความเป็นจริงอีกโลกหนึ่งซึ่งแตกต่างจากโลกแห่งความฝันโดยสิ้นเชิง จะตื่นจากโลกความฝันได้ต้องทำจิตให้สงบเป็นสมาธิแล้วใช้ปัญญากำจัดอวิชชาที่ครอบงำจิตออกให้หมด
ปล.เขียนจากประสบการณ์ปฏิบัติของผมเองทั้งหมด
การตื่นรู้หรือดวงตาเห็นธรรม
เมื่อพุ่งทะลุจนสุดรูหนอน กายเรา โลกธาตุและวัฏสงสารจะพังทลายลงเหลือแต่ความว่าง ไร้ทิศไร้ทาง ไร้กาย ไร้ความคิด ไร้สุขและทุกข์ ไร้กาลเวลา เหนือสมมุติปรุงแต่งทั้งปวง ท่ามกลางความว่างมีจิตประภัสสรหรือวิญญาณธาตุส่องสว่างไสวยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ นั่นแหละ คือ ดวงธรรม หรือจิตพุทธะ ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัส “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา”
จิตจะเกิดปัญญาตื่นรู้ว่า กายเรา ความคิดเรา โลกธาตุและวัฏสงสาร ล้วนเกิดจากจิตที่ถูกอวิชชาครอบงำปรุงแต่งขึ้นทั้งสิ้น เกิดจากการประชุมกันของธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วจิตมายึดหลงว่าเป็นเรา ซึ่งแท้จริงไม่ใช่เรา อุปมาเหมือนคนหลับ อยู่ในโลกความฝันแล้วตื่นมาพบความเป็นจริงอีกโลกหนึ่งซึ่งแตกต่างจากโลกแห่งความฝันโดยสิ้นเชิง จะตื่นจากโลกความฝันได้ต้องทำจิตให้สงบเป็นสมาธิแล้วใช้ปัญญากำจัดอวิชชาที่ครอบงำจิตออกให้หมด
ปล.เขียนจากประสบการณ์ปฏิบัติของผมเองทั้งหมด