💗มาลาริน💗ยิ่งลักษณ์' ตีหน้าเศร้า! เล่าความเท็จ...ย้ายข้าราชการคนเดียว แล้วถูกดำเนินคดี ถูกกลั่นแกล้งไม่จบ

กระทู้คำถาม
ยิ่งลักษณ์' ตีหน้าเศร้า! ย้ายข้าราชการคนเดียว แล้วถูกดำเนินคดี ถูกกลั่นแกล้งไม่จบ

22 พฤศจิกายน 2565 เวลา 10:32 น.



22 พ.ย.2565- น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหาตามหมายจับหลายคดี ทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ Yingluck Shinawatra @PouYingluck หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ออกหมายจับคดี ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตกรณีเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับพวก ใช้อำนาจโอนนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช. ในขณะนั้นให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำโดยมิชอบเมื่อช่วงเดือน ก.ย.54 โดยฟ้องเมื่อเมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา

โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุว่า จากข่าวการออกหมายจับดิฉันจากการย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี มีประเทศไทยประเทศเดียว ที่นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ย้ายข้าราชการคนเดียว แล้วถูกดำเนินคดี #ถูกกลั่นแกล้งไม่จบ

https://www.thaipost.net/hi-light/268366/

พลิกปูมคดี 'ยิ่งลักษณ์' โยกย้าย 'ถวิล เปลี่ยนศรี' มิชอบ

สำหรับคดีการใช้อำนาจโอนย้านนายถวิล เปลี่ยนศรี โดยมิชอบดังกล่าว นั้น 



ย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2563 นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงเป็นทา่งการต่อสาธารณชนว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวก กรณีใช้อำนาจโอนย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคง (สมช.) ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำโดยมิชอบ

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงกรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2554 ขณะที่นายถวิล ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช. เป็นหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับกิจการความมั่นคงของประเทศ โดยเป็นที่ปรึกษา เสนอแนะนโยบาย มาตรการและแนวทางปฏิบัติด้านความมั่นคงแห่งชาติ ต่อ สมช.

เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2554 วันอาทิตย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้โทรศัพท์สั่งการให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดำเนินการทำเรื่องขอรับโอนนายถวิล มาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ จากนั้นสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้มีบันทึกข้อความลงวันที่ 4 ก.ย. 2554 ถึง น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เพื่อขอความยินยอมรับโอนนายถวิล มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ และได้มีบันทึกข้อความ ลงวันที่ 4 ก.ย. 2554 ถึง พล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ในฐานะรัฐมนตรีเจ้าสังกัดของ สมช. เพื่อให้ความเห็นชอบและยินยอมการโอนนายถวิล มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ โดย น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ และ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ต่างให้ความเห็นชอบและยินยอมการโอนดังกล่าว และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ

กรณีดังกล่าวสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ตรวจพบว่าวันที่ 4 ก.ย. 2554 เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันหยุดราชการ จึงได้มีการแก้ไขบันทึกข้อความทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นวันที่ 5 ก.ย. 2554 แต่เป็นการแก้ก่อนนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา

ต่อมา เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้อนุมัติให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร และวันเดียวกันคณะรัฐมนตรีได้มีการประชุมและลงมติรับทราบให้โอนนายถวิล มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีคำสั่งให้นายถวิล มาปฏิบัติราชการ ที่สำนักนายกรัฐมนตรี ในตำแหน่งดังกล่าวทันที การแต่งตั้งโยกย้ายดังกล่าว ดำเนินการอย่างเร่งรีบรวบรัด แล้วเสร็จภายใน 4 วัน เท่านั้น


'ถวิล เปลี่ยนศรี'

หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2554 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช. และในวันที่ 19 ต.ค. 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะประธานกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ได้เสนอชื่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่จะเกษียณอายุราชการ วันที่ 30 ก.ย. 2555 และเป็นเครือญาติของตนเอง ให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แทนตำแหน่งที่ว่างลงต่อที่ประชุม ก.ต.ช. ในการประชุมครั้งที่ 5/2554 วันที่ 19 ต.ค. 2554 ซึ่งที่ประชุม ก.ต.ช. มีมติเห็นชอบ

กรณีนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ ที่ อ.992/2556 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 33/2557 ลงวันที่ 20 ก.พ. 2557 ว่า การแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล จากตำแหน่งเลขาธิการ สมช. ให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ เป็นการลดบทบาทและอำนาจหน้าที่ลง โดยไม่แสดงเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านายถวิล ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีประสิทธิภาพ มีข้อบกพร่องหรือไม่สนองนโยบายของรัฐบาล หรือมีเหตุผลสมควรที่ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งโอนได้ตามความเหมาะสม จึงถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

@ ป.ป.ช.ยกคำวินิจฉัยศาล รธน. ชี้มูล ‘ยิ่งลักษณ์’
อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 9/2557 เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2557 ว่า การกระทำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นเครือญาติ เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ การกระทำทั้งหมดมิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และของประชาชนแต่อย่างใด อันแสดงให้เห็นถึงการมีผลประโยชน์ทับซ้อนและมีวาระซ่อนเร้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยทุจริต

การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้นายถวิล ได้รับความเสียหาย และเป็นการกระทำ เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นเครือญาติของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนแล้วเห็นว่า การกระทำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้ถูกกล่าวหา มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจ ในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192

ส่วนผู้ถูกกล่าวหาอื่นเห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป

ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็น พร้อมสำเนาอิเล็กทรอนิกส์ ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 76 

ก่อนที่อัยการสูงสุด (อสส.) จะเห็นควรสั่งฟ้องคดีให้ และนำมาสู่คำสั่งออกหมายจับของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามที่ปรากฏเป็นข่าวดังกล่าว 

https://www.isranews.org/article/isranews/113827-inves0969-252.html





บริหารงานบุคคลผิดพลาด เอื้อญาติตัวเอง

คนที่โดนรังแกเขาสู้  เขาไม่เกรงกลัวอำนาจถุงขนม 2ล้าน

ศาลให้ควมยุติธรรมแก่ผู้น้อย  เป็นนายกฯประสาไร รังแกข้าราชการผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเอง

แล้วยังมาตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ

สมแล้วที่โดนออกหมายจับ....
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่