ฉัน(ไม่)เห็นผี แต่...ผีเห็นฉัน (2)

กระทู้สนทนา
เรื่องของป้าสำลี
จำป้าสำลีภรรยาลุงก้อนได้ไหมคะ?
หลังจากที่บ้านริมน้ำสร้างเสร็จ พ่อก็พาครอบครัวออกจากบ้านกลางทุ่งนามาอยู่บ้านหลังใหม่ ป้าสำลีกับลูกสาวจึงต้องอยู่กันเพียง2คนเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไปนานหลายปี ป้าสำลีป่วย ด้วยโรคสุดฮิต ป้าสำลีเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่3 ด้วยการเดินทางที่ไม่สะดวก ไปหาหมอแต่ละครั้งก็ลำบาก ประกอบกับพอรู้ว่าเป็นมะเร็ง อาการป้าก็เริ่มแย่ คนที่พาป้าไปหาหมอคือแม่ของฉัน ตอนนั้นพากันนั่งรถไฟไปโรงพยาบาล กว่าจะกลับก็เย็น ป้าจะต้องขี่จักรยานไปตามคันนาเพื่อกลับบ้าน พ่อกับแม่จึงปรึกษากัน ให้ป้ามาอยู่ด้วย เพื่อที่การเดินทางจะได้สะดวกขึ้น 

ข้างบ้านฉันมีบ้านหลังหนึ่งอยู่ติดกัน มีเพียงรั้วลวดหนามกั้น ยายแก่หลังง่อม ผมยาวสีขาวเต็มหัวถูกมัดเป็นมวยผมอยู่กลางศรีษะ 
แกอยู่กับลูกชายขี้เมา2คน เมื่อตอนเด็กๆ ฉันชอบไปเล่นกับหลานๆที่บ้านแกประจำ  ยายแก่ยังแข็งแรงเดินไปซื้อของที่ร้านค้าได้  

กลางดึกคืนหนึ่ง ณ คลองหน้าบ้าน 
น้าหนิงกับน้านุ้ย 2 คน ผัวเมีย พายเรือลงข่ายหาปลาเป็นประจำทุกคืน
น้าหนิงเล่าให้ฟังว่า เห็นยายแก่ลักษณะเหมือนยายข้างบ้านฉัน เดินอยู่ริมถนน แล้วเดินลงไปบริเวณประตูรั้วหน้าบ้านฉัน
ทั้ง2คนหยุดพายเรือแล้วรอดูว่ายายแก่เดินไปไหน มาทำไมดึกดื่น ถ้ามาเยี่ยมคนป่วยคงไม่ใช่ เพราะบ้านฉันปิดไฟนอนหมดแล้ว 2คนผัวเมียจอดเรือรอดูอยู่นาน แต่ก็ไม่เห็นยายแก่กลับมา จึงพายเรือลงข่ายต่อ ขากลับ น้าหนิงมองดูทางบ้านฉันอีกครั้ง ปรากฎว่า ยายแก่เดินออกจากบ้านฉัน กลับไปยังบ้านตัวเอง 

“ผีปอบ” น้าหนิงสรุป  “เห็นทุกคืน” น้าหนิงมาเตือนพ่อ

ส่วนป้าสำลีนั้นเล่าให้ฟังว่า คืนที่พี่ยุ้ยไม่ได้อ่านหนังสือ ขึ้นไปดูทีวีอยู่บนบ้าน ป้าสำลีนอนอยู่ชั้นล่างเพียงคนเดียว ป้ายังนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมา เมื่อหันตัวไปทางริมมุ้ง เจอยายแก่ทำท่าทางตะครุบตัวป้าสำลีที่นอนอยู่ในมุ้ง
“ฝันรึเปล่า” พ่อถาม
“ยังไม่ได้หลับเลย” ป้ายืนยันหนักแน่  ด้วยความกังวลของป้าสำลี พ่อฉันจึงหาใบหนาด(ความเชื่อคนแก่)มาแขวนไว้ตามหน้าต่างและประตูห้องที่ป้าสำลีนอน

พี่ยุ้ยเล่าเสริมว่า 
มีอยู่คืนหนึ่งเปิดโคมไฟนอนอ่านหนังสืออยู่ข้างๆป้า พอหันไปหาป้าเพื่อดูว่าหลับรึยัง กลับเห็นป้าสำลีนอนลืมตาโพลงหันหน้ามาทางพี่ยุ้ย แล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากตนเอง
“แม่เป็นอะไร เลียปากทำไม” พี่ยุ้ยโวยวาย 
“ปากมันแห้ง” ป้าสำลีตอบแค่นั้น

ป้าสำลีเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ ป้าจึงขอกลับไปอยู่บ้านกลางทุ่งนาเหมือนเดิม อาการของป้าแย่ลงทุกวันๆร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก 
จนกระทั่งวันที่ป้าสำลีเสีย ชาวบ้านแถวนั้นได้เห็นอีกา2ตัวบินร้องและตีกันอยู่เป็นเวลานานมาก จนทุกคนต่างเอะใจว่าป้าสำลีกำลังจะเสียแน่ๆ
วันนั้นฉันจำได้ดีว่าพ่อกับฉัน มานอนเฝ้าป้าสำลีที่บ้าน ตื่นเช้ามาฉันเห็นพ่อกับน้าหนิงทำกรวยดอกไม้ธูปเทียนให้ป้า ฉันไม่รู้หรอกว่าเค้ารู้ได้ยังไงว่าคนกำลังใกล้จะตาย แต่คงสังเกตุจากอาการหอบ หายใจติดขัด  
ภาพติดตาฉันคือ ตอนที่ป้ากำลังจะหมดลม ป้าเริ่มหายใจติดขัดขึ้นเรื่อยๆ 

“เฮือออออออออออก “ลมหายใจสุดท้ายที่ดังแรงและลากยาว ก่อนจะไม่ได้หายใจอีกเลย

ศพป้าสำลีถูกนำไปไว้ที่วัด  
คืนแรก 
ลูกพี่ลูกน้องฉันเล่าให้ฟังว่า ช่วงเวลาประมาณ ทุ่มกว่าๆ พี่มองไปทางบ้านป้า เห็นดวงไฟขนาดไม่ใหญ่ลอยเข้าบ้าน ตอนแรกคิดว่าเป็นแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซต์พ่อฉันเพราะทางหมู่บ้านฉันมีความเชื่อเรื่องการนอนทับที่นอนคนตาย พ่อฉันจะเป็นคนไปนอน แต่เวลานั้น ยังเป็นเวลาที่พระสวดศพอยู่ 
ซึ่งแน่นอนว่าพ่อฉัน ไม่เจอผี ไม่เห็นอะไร “ไปนอนทุกวัน ไม่เห็นเจออะไร ถ้าเจอจะขอหวยให้” พ่อบอกกับทุกคน

หลังจากที่ป้าเสียชีวิตไปหลายเดือน บ้านป้าไม่มีคนอยู่ พี่ยุ้ยไปอาศัยอยู่กับป้าอีกคนที่มีศักดิ์เป็นพี่สาวคนโต 
บ้านของป้าเริ่มรกร้าง ในวันหนึ่งที่แม่ฉันเดินไปนา แม่แวะไปดูบ้านป้าสำลี
ตอนที่เดินไปถึงศาลพระภูมิหน้าบ้าน แม่ได้กลิ่นแป้งน้ำแฮปปี้ ที่ป้าสำลีใช้ประจำลอยมา
(ป้าสำลีชอบแป้งน้ำแฮปปี้มาก  ใช้เป็นประจำ แม้กระทั่งตอนอาบน้ำศพเสร็จ ป้าก็ยังใช้)
“ป้าสำลี เดี๋ยวทำบุญไปให้นะ” กลิ่นจึงค่อยๆหายไป

ส่วนเรื่องราวของยายแก่ข้างบ้าน หลายปีต่อมาลูกสาวคนหนึ่งมารับไปดูแลที่ต่างจังหวัด 
แต่เรื่องเล่าของยายแก่ไม่ได้จบแค่นั้น บรรดาคนที่อยู่ระแวกเดียวกันกับบ้านฉันเล่าว่า เห็นยายแก่เดินไปมาระหว่างบ้านตัวเองกับบ้านฉันประจำ 
บางคืนก็เดินเลาะรั้วลวดหนาม คนแถวนั้นเห็นบ่อย แต่ไม่กล้าบอก กลัวพ่อกับแม่ฉันไม่เชื่อ กลัวคนป่วยเสียขวัญ

ปัจจุบันยายแก่เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว  ยายแก่จะเป็นผีปอบแบบที่คนอื่นเค้ากล่าวอ้างกันหรือไม่? ฉันไม่รู้
และตอนนี้บ้านหลังนั้นถูกรีโนเวทขึ้นใหม่ไม่เหลือแบบบ้านทรงโบราณที่น่ากลัว แต่รั้วลวดหนามของพ่อฉันยังอยู่เหมือนเดิม
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่