My Best is What Comes Next บทวิเคราะห์จากหนึ่งใน ARMY นับล้านคน กับการเดินทางเข้าสู่บทที่ 2 ของ BTS

กระทู้ข่าว
ที่มา : Thestandard



ช่วง 13 มิถุนายนที่ผ่านมานี้ เหล่า ‘ARMY’ แฟนคลับของหนุ่มๆ K-Pop ระดับโลกอย่างวง BTS คงจะอดใจหายใจคว่ำไม่ได้ จากข้อความในคลิปวิดีโอ Dinner Party รอบล่าสุดที่หนุ่มๆ ดื่มไปและจับเข่าคุยกับแฟนๆ เรื่องทิศทางของวงในปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่ 9 แล้ว แฟนๆ ต่างก็คุ้นเคยกับวิธีการสื่อสารของ BTS ในรูปแบบนี้กันเป็นอย่างดี แต่เรื่องที่พวกเขาเลือกที่จะพูดถึงคราวนี้เรียกว่ากลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกเลยก็ว่าได้
 
ในซับไตเติลภาษาอังกฤษเลือกใช้คำว่า Hiatus และแม้ HYBE LABELS จะออกมาแก้ข่าวแถลงการณ์แล้วว่า “BTS ไม่ได้จะพักงาน แต่เมมเบอร์แต่ละคนจะโฟกัสโปรเจ็กต์เดี่ยวมากขึ้นในช่วงนี้” แต่เพียงข้ามคืนหุ้นก็ร่วงลงไปถึง 27% ซึ่งพิสูจน์ได้ว่า ณ​ เวลานี้ ความสำคัญและความสำเร็จของวง BTS ส่งผลกระทบเป็นเม็ดเงินมหาศาล


ความสำเร็จของวง BTS ที่ทำให้ ARMY อย่างเราภูมิใจจนไหล่ยกนั้น สะท้อนได้หลากหลายทิศทาง บางคนอาจมองเห็นความสำเร็จจากต้นสังกัด ซึ่งก้าวจากค่ายเพลงเล็กๆ มาเป็นบริษัทระดับนานาชาติที่มีอิทธิพล หรืออาจสะท้อนไปยังความสำเร็จของวงการ K-Pop ที่ยกระดับขึ้นมาให้ตลาดอเมริกาต้องหวนกลับมาทบทวนอย่างจริงจังอีกครั้ง 
 
หรือบ้างก็มองว่า ความสำเร็จของวงบอยแบนด์ 7 คนนี้ส่งผลกับความสำเร็จของเศรษฐกิจของประเทศเกาหลีใต้โดยตรง ทำให้ทั่วโลกจับตามองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการท่องเที่ยว ข่าวสาร อาหาร และเทคโนโลยี ผ่านคอนเท็นต์และการเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าต่างๆ
 
แต่สิ่งที่บริษัทมอง สิ่งที่โลกเห็น สิ่งที่คนทั่วไปคิด ว่าเป็นความสำเร็จและอนาคตของ BTS สำหรับตัวพวกเขา 7 คนเองนั้น จริงๆ แล้วคิดอย่างไรกันแน่ จึงออกมาประกาศ ‘พัก’ ในรูปแบบนี้ 
 
ในฐานะที่ผู้เขียนเองก็เป็น ARMY มาเป็นเวลาหลายปี จึงอยากวิเคราะห์ประเด็นเหล่านี้ด้วยกันกับคุณผู้อ่าน THE STANDARD POP ที่อาจสนใจวิธีคิดของวง BTS เกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้


BURN IT OUT
ตั้งแต่แรกเริ่ม เพลงของ BTS โดดเด่นด้วยเนื้อร้องที่เข้าใจจิตใจของผู้ฟังอย่างถ่องแท้อยู่เสมอ พวกเขาเลือกที่จะพูดถึงความอัดอั้นตันใจที่เฉพาะเจาะจงของวัยรุ่นในยุคนี้ ทั้งเรื่องความฝัน ระบบการศึกษา และสภาพจิตใจที่ว้าวุ่น โดยไม่หวาดกลัวต่อเสียงโต้แย้งตั้งแต่อัลบั้มแรก และคุณสมบัตินี้ก็มีอยู่ในทุกอัลบั้มของ BTS มาเสมอ
 
แต่หลังจากปล่อยอัลบั้มเต็มภาษาเกาหลีอัลบั้มที่ 4 อย่าง Map of the Soul: 7 ได้ไม่เท่าไร โลกก็ตกอยู่ในวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ที่ส่งผลให้ความพยายามและการเตรียมงานทั้งหมดต้องหยุดชะงักกลางคัน การรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดคิดนี้ทำให้หนุ่มๆ ได้ออกมาพูดอย่างตรงไปตรงมาหลายครั้งว่า แม้จะเป็นประสบการณ์แย่ๆ ที่เกิดขึ้นร่วมกันกับคนทั้งโลก แต่ก็ทำให้พวกเขารู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก 
 
แต่ถึงจะต้องหยุดพัก World Tour แต่ BTS กลับไม่ได้ใช้ช่วงเวลานี้เพื่อพักผ่อนแต่อย่างใด พวกเขาได้พบกับ ‘ระเบิด’ ลูกที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์วงการดนตรีป๊อป อย่างเพลง Dynamite เพลงภาษาอังกฤษล้วนเพลงแรกที่พาวง BTS ทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 ของ Billboard Chart เปิดโอกาสให้วง ‘แมส’ มากขึ้นไปอีกในตลาดโลก


ตลอดระยะเวลาที่ทั่วโลกล็อกดาวน์นั้น BTS ได้จุดพลังสร้างสรรค์ไปกับการแสดงเพลง Dynamite ทั้งหมดมากกว่า 30 ครั้งด้วยกัน โดยมีรูปแบบเวทีและการแสดงที่เรียกได้ว่าแทบไม่มีซ้ำเลยทีเดียว
 
ด้วยแรงระเบิดนั้น อาจเป็นสิ่งที่ทำให้ BTS พุ่งเข้าไปยังจุดที่ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะไปถึง และเป็นหนึ่งในผู้เข้าท้าชิงรางวัล Grammys อันทรงเกียรติ แต่การพลาดรางวัลไปนั้นก็อาจส่งผลให้หนุ่มๆ ต้องพยายามออกวิ่งตามความสำเร็จอีกครั้ง ด้วยการปล่อยเพลงที่ 2 ซึ่งเป็นเพลงภาษาอังกฤษอย่าง Butter


ซึ่งแม้เพลงจะประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่เมื่อการเข้าชิงครั้งที่ 2 ไม่เป็นผล ก็อาจเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้พวกเขาย้อนกลับมาดูว่า นี่พวกเขากำลังเดินออกไปไกลจากเส้นทางที่ต้องการหรือเปล่า
 
BTS ต้องให้สัมภาษณ์กับ UN ต้องไปพูดที่ทำเนียบขาว ต้องไปทำอะไรอีกสารพัดอย่างที่พวกเขาไม่เคยต้องทำมาก่อน การที่ต้องแบกรับภารกิจของโลกมากมายนี้ส่งผลกับพวกเขาในฐานะศิลปินมากน้อยเพียงใด และแม้ ARMY อย่างเราจะภาคภูมิใจในความสำเร็จของพวกเขาอย่างมาก แต่ก็คงไม่มีใครตอบได้ว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างไรกับพลังการสร้างสรรค์ของวง


GROWING UP
BTS ใช้ชีวิตด้วยกันมาเกิน 10 ปีแล้ว และหนึ่งในสาเหตุหลักที่หนุ่มๆ เลือกบอกถึงการตัดสินใจพักกิจกรรมในฐานะวง ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะสัญญาหอพักที่อยู่ร่วมกันใน Hannam The Hill หมดลงแล้ว 
 
เป็นธรรมดาที่วง K-Pop หลายๆ วงจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลาในหอพักรวม เพื่อสร้างทีมเวิร์กและเพื่อความสะดวกและความปลอดภัยต่างๆ และหลายๆ วงพอถึงจุดหนึ่งที่อายุมากขึ้นก็จะเลือกจะออกไปใช้ชีวิตคนเดียวหรืออยู่กับครอบครัวแทน
 
ในคลิปวิดีโอล่าสุดพวกเขาพูดติดตลกว่า “เราเพิ่งรู้ว่าเราต่างกันแค่ไหนตอนที่ได้ไปบ้านของแต่ละคน” ทำให้พวกเราได้ตั้งข้อสังเกตว่าในการอยู่ด้วยกันตลอดเวลานั้น มีความเป็นตัวเองหลายอย่างที่ไม่สามารถถูกแสดงออกมาได้อย่างเต็มที่
 
BTS เป็นวงที่มีความพิเศษเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง ตรงที่หากเป็นกิจกรรมในฐานะวง BTS แล้ว เราแทบจะไม่เห็นพวกเขาแยกจากกันเลย พวกเขารับงานที่ต้องปรากฏตัวแยกกันน้อยมาก 


มีจับคู่กันไปออกรายการวาไรตี้ในบางครั้ง หรือแยกกันไปฟีเจอริงกับศิลปินบางคนเท่านั้น เราจะเห็น BTS ในฐานะพรีเซ็นเตอร์พร้อมกัน 7 คนเสมอโดยไม่มีการแบ่ง ไม่ว่าจะเป็น Samsung, Hyundai หรือ Louis Vuitton ซึ่งการให้ความสำคัญอย่างมากกับความเป็นหมู่คณะนี้ อาจเป็นหนึ่งในเคล็ดลับความสำเร็จของทีมเวิร์กก็เป็นได้ 
 
แต่เมื่อเวลาผ่านไป จากวัย 20 ต้นๆ เข้าสู่ 20 ปลายๆ เรามองเห็นสีสันตัวตนของสมาชิกแต่ละคนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ที่ติดกลิ่นอายวินเทจของ วี หรือความสดใส Hypebeast ของ เจโฮป ซึ่งค่อยๆ ถูกเผยผ่านภาพถ่ายในอินสตาแกรมเดี่ยว เพลงที่แต่งเอง หรือมิกซ์เทปต่างๆ
 
ในส่วนของการตัดสินใจพักกิจกรรมวงครั้งนี้ อาจทำให้ความคลุมเครือระหว่างเส้นแบ่งของ ‘วง’ กับ ‘ตัวตน’ ของเมมเบอร์ค่อยๆ จางลงไป จนเกิดความเป็นไปได้ใหม่ๆ ขึ้น และท้ายที่สุดมอบ Synergy อันแข็งแกร่งให้กับทีมนี้อีกครั้ง


ARMY FOREVER, BTS FOREVER
การประกาศพักกิจกรรมวง โดยปกติเราอาจจะเห็นผ่านข่าวหรือผ่านการแจ้งจากต้นสังกัด แต่เหมือนที่ RM หัวหน้าวงกล่าวไว้ว่า มันมีสายใยพิเศษบางอย่างระหว่าง BTS กับ ARMY และพวกเขาเลือกที่จะแสดงความจริงใจต่อแฟนๆ ผ่าน Dinner Party ท่ามกลางอาหารอร่อยๆ และแอลกอฮอล์ เหมือนกับที่บทสนทนาสำคัญในชีวิตทั่วไปของเรามักจะเป็น
 
ถึงการสื่อสารครั้งนี้จะมีการตีความจากหลายฝ่ายไปหลากหลายทิศทาง แต่ BTS ในฐานะวงก็เลือกที่จะการบอกเล่าด้วยปากของตัวเองอย่างจริงใจและเป็นกันเอง และยังสารภาพถึงความไม่สบายใจต่างๆ ความรู้สึกผิดต่อแฟนๆ แรงกดดันต่อความคาดหวัง และความไม่มั่นคงของทิศทางที่อยากจะไป
 
หลายๆ อย่างก็บีบหัวใจ ARMY อย่างเราที่เคยได้รับการปลอบโยนจาก BTS ในเรื่องของความเครียด ความกดดันในการทำตามฝัน ที่มนุษย์โลกในยุคนี้มักจะรู้สึกกัน แต่ ณ เวลานี้เรามองเห็นภาพมุมกลับว่า เหล่าคนที่เคยปลอบโยนเราเองก็กำลังโดนกับดักแห่งความกดดันที่เป็นผลพวงจากความสำเร็จในเส้นทางหนึ่งเหนี่ยวรั้งเอาไว้ และเขากำลังระบายความอัดอั้นตันใจนี้ให้กับแฟนเพลงที่พวกเขาเชื่อใจ


BTS เองก็เป็นเหมือนเรา เป็นมนุษย์ ผู้ที่ทำอาชีพๆ หนึ่งมาเป็นเวลานาน และสงสัยใคร่รู้ในบทต่อไปของทีมและของตัวเอง แม้จะอยากพักแต่โลกก็ไม่ต้องการให้พวกเขาพัก จนวันหนึ่งโอกาสก็มาถึง พวกเขาจึงมาแสดงความตั้งใจของตัวเองให้กับทุกคนด้วยวิธีที่ไม่จำเป็นต้องผ่านตัวกลางที่เป็นสิ่งสมมติอย่าง ‘บริษัท’ หรือ ‘ต้นสังกัด’ หากแต่มาจากสมาชิกแต่ละคนเอง
 
ความเป็นมนุษย์อย่างที่สุดนี้คือความจริงใจระหว่าง BTS และ ARMY ที่พวกเขาอยากจะรักษาไว้และให้ความสำคัญกับมัน 
 
สุดท้ายนี้เราอยากจะสรุปว่า สีสันของ BTS ไม่ว่าจะเป็นตัวตนในฐานะวงหรือในฐานะเมมเบอร์แต่ละคน ได้สร้างปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ต่อโลกใบนี้ ต่อจิตใจของผู้ที่เป็น ARMY และต่อตัวของ BTS เอง
 
แรงอิมแพ็กเหล่านี้กลายเป็น ‘PROOF’ ว่าเมสเสจของ BTS ความรักในการทำเพลง และความจริงใจที่มีต่อการผู้ฟัง จะถูกสื่อถึงแฟนคลับได้ผ่านวิธีการสื่อสารที่เลือกมาเป็นอย่างดี ทั้งคลิปวิดีโอ ไลฟ์ และบทเพลง ทั้งหมดนี้ดันทะลุเพดานแก้วข้ามผ่านเชื้อชาติและภาษา
 
และเพราะต้องการรักษาความจริงใจและข้อความเหล่านั้นเอาไว้ BTS จึงเลือกเส้นทางนี้เพื่อรอวันที่จะวาดภาพจุดสูงสุดของตัวเองในทุกความเป็นไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องกอดคอกันพุ่งหัวชนฝา ฝ่าดงกระสุนที่มาจากกระแสโลกอีกต่อไป
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่