.
ครั้งนั้นแล ท่านพระมาลุงกยบุตร หลีกเร้นอยู่ในที่สงัด ได้เกิด
ความคิดคำนึงอย่างนี้ว่า
“ทิฏฐิที่พระผู้มีพระภาคไม่ตรัสตอบ ทรงงด ทรงวางเฉยเหล่านี้ คือ ทิฏฐิว่า
‘โลกเที่ยง
โลกไม่เที่ยง
โลกมีที่สุด
โลกไม่มีที่สุด
ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน
ชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน
หลังจากตายแล้ว
ตถาคต๒- เกิดอีก
หลังจากตายแล้ว
ตถาคตไม่เกิดอีก
หลังจากตายแล้ว
ตถาคตเกิดอีกและไม่เกิดอีก
หลังจากตายแล้ว
ตถาคตจะว่าเกิดอีกก็มิใช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่’
...
--- (เชิงอรรถ อธิบายคำที่เข้าใจยาก ในพระไตรปิฎก )
-------
@๒ ตถาคต เป็นคำที่ลัทธิอื่นๆ ใช้มา
ก่อนพุทธกาลหมายถึงอัตตา(อาตมัน) ไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้า
ในที่
@นี้หมายถึง สัตว์ (เทียบ ที.สี.อ. ๑/๖๕/๑๐๘, ม.ม.อ. ๒/๑๒๒/๑๐๕)
----------
.
--- @๒ ตถาคต เป็นคำที่ลัทธิอื่นๆ ใช้มาก่อนพุทธกาลหมายถึงอัตตา(อาตมัน) ไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้า ในที่ @นี้หมายถึงสัตว์ (เ
ครั้งนั้นแล ท่านพระมาลุงกยบุตร หลีกเร้นอยู่ในที่สงัด ได้เกิด
ความคิดคำนึงอย่างนี้ว่า
“ทิฏฐิที่พระผู้มีพระภาคไม่ตรัสตอบ ทรงงด ทรงวางเฉยเหล่านี้ คือ ทิฏฐิว่า
‘โลกเที่ยง
โลกไม่เที่ยง
โลกมีที่สุด
โลกไม่มีที่สุด
ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน
ชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน
หลังจากตายแล้วตถาคต๒- เกิดอีก
หลังจากตายแล้วตถาคตไม่เกิดอีก
หลังจากตายแล้วตถาคตเกิดอีกและไม่เกิดอีก
หลังจากตายแล้ว
ตถาคตจะว่าเกิดอีกก็มิใช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่’
...
--- (เชิงอรรถ อธิบายคำที่เข้าใจยาก ในพระไตรปิฎก )
-------
@๒ ตถาคต เป็นคำที่ลัทธิอื่นๆ ใช้มาก่อนพุทธกาลหมายถึงอัตตา(อาตมัน) ไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้า ในที่
@นี้หมายถึง สัตว์ (เทียบ ที.สี.อ. ๑/๖๕/๑๐๘, ม.ม.อ. ๒/๑๒๒/๑๐๕)
----------
.