ทะเลาะกับพ่อเรื่องธุรกิจที่บ้าน

สวัสดีครับ ตอนนี้กังวลหนักกับที่บ้าน เนื่องจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ที่บ้านก็มีรายได้ลดลง คุณพ่อที่บ้านซึ่งอายุ 50+ ก็จะชอบบ่นทุกวันเรื่องรายรับที่ลดลง แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ล่าสุดมีบริษัทขนส่งเจ้าดังมาเสนอให้เราเปิดสาขาด้วย ไม่ว่าเรากับคุณแม่จะพยายามพูดกับคุณพ่อเท่าไหร่ คุณพ่อก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจได้เลย ทั้งๆที่ตอนนี้เราพอจะมีกำลัง และเวลามากพอ ก่อนที่เราจะต้องออกไปหางานทำเหมือนกับคนอื่นๆ

ก่อนหน้านี้เราก็ได้ไปเทคคอร์สเกี่ยวกับพวก Digital Marketing  เพื่อมาช่วยเหลือที่บ้าน เพราะมันไม่ต้องลงทุนอะไรมาก เนื่องจากที่บ้านก็ทำอาชีพค้าขาย เราก็เริ่มหันมาขายของออนไลน์ โดยใช้สินค้าของที่บ้านนี่แหละ แต่สินค้าที่เรามีอยู่ที่บ้านไม่ใช่สินค้าที่ขายคล่อง แล้วก แล้วเราก็มองว่าธุรกิจขนส่งมันโตพร้อมกับธุรกิจขายของออนไลน์ เราจึงสนใจธุรกิจขนส่งมาก เราศึกษาหาข้อมูลแล้วมานำเสนอคุณพ่อกับคุณแม่ คุณแม่แกโอเคมากกับสิ่งที่เราคิด แต่คุณพ่อแกปฏิเสทที่จะฟังเรา แล้วกลับเดินหนี เรานั่งรอนานมาก คุณแม่ก็ตามแล้วตามอีกให้คุณพ่อมานั่งฟังในสิ่งที่เราคิดและอยากจะช่วยเหลือที่บ้าน จนสุดท้ายแกก็ยอมมานั่งฟังด้วยอารมย์ที่ไม่พอใจ

เราก็อธิบายไปว่าทำไมเราอยากทำธุรกิจนี้ เพราะอะไร เพื่อใคร เราอยากทำมาก เพราะ 1 เราไม่รู้ว่าเทรนด์ของโลกจะไปในแนวไหน มันเปลี่ยนแปลงไวมาก เราเลยอยากทำธุรกิจหลายๆตัวเพื่อที่จะได้มีเงินซัพพอร์ตในยามที่ธุรกิจบางตัวมันไปไม่ไหว เราจบมหาลัยรัฐดีกรีด้านภาษาแห่งหนึ่ง ตอนที่จบมาเราเจอโควิดพอดี เพื่อนๆที่จบพร้อมกันส่วนใหญ่ทำงานด้านการบริการ ไม่ว่าจะเป็น call centre หรือว่า เป็นแอร์ซึ่งหลายคนตกงาน เราเลยกังวลตรงนี้ เพราะอะไรหลายๆอย่างที่เปลี่ยนไป เราเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่เราร่ำเรียนมามันจะกลายเป็นพื้นฐานของคนรุ่นใหม่ แล้วคนรุ่นเรา แบบเรา ที่มีสกิลเพียงภาษาแบบเรา ก็จะไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างหรือโดดเด่น แล้วสุดท้ายเราก็จะไม่ได้เป็นที่สำคัญของตลาดแรงงาน เรากังวลตรงนี้มาก

2 เรากังวลว่าเมื่อเราโตขึ้นเราจะต้องปรับตัวมาก เราจะต้องศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งการศึกษาหาความรู้คือการลงทุน ซึ่งมันต้องใช้เงิน เรากลัวว่าบ้านปลายชีวิตของคนที่บ้านเรา เราจะไม่สามารถดูแลในแบบที่เราเคยวาดฝันไว้ได้ เราพยายามบอกที่บ้านเรา โดยเฉพาะคุณพ่อเกี่ยวกับสิ่งที่เรากังวล และพยายามอยากจะเปลี่ยนแปลงเพื่อช่วยเหลือ แต่แกกลับปฏิเสทไม่สนใจใยดี

เรานัดผู้จัดการมาคุยเรื่องการเปิดสาขาธุรกิจขนส่ง แน่นอนว่าคุณพ่อแกไม่ยอมออกมานั่งฟังด้วย เราอายแทนมากๆ บอกเท่าไหร่แกก็ไม่ยอมออกมานั่งฟังด้วย แกคอยแต่บอกว่าไม่อยากทำ เราเคยถามว่าทำไมไม่อยากทำ แกบอกว่าเวลาแกไปส่งของที่สาขาของบริษัทขนส่งเจ้านี้ แกเห็นว่าคนเข้าน้อย กล่องก็น้อย แกบอกว่ารายได้น้อย แกไม่อยากทำ ซึ่งทางผู้จัดการก็ได้ให้คำตอบว่าที่เห็นว่ากล่องมันน้อยตรงสาขาที่แกไป เพราะว่า มีรถมารับพัสดุหลายรอบ ส่วนยอดก็คือเยอะกว่าที่เราคาดไว้ซะอีก

เราว่ามันไม่มีเหตุผลเลยที่เราไม่ควรลงทุนตรงนี้พอผู้จัดการได้ชี้แจงในส่วนตรงนี้ไป เราก็เลยถามว่าทีนี้แกยังติดอะไรตรงไหนอีก แกไม่ตอบ ตอบแต่เพียงว่าไม่อยากทำ พอเราถามกลับว่าทำไมไม่อยากทำ ตอบกลับเพียงแต่ว่าไม่อยากทำ แล้วก็คิดว่าเราคงทำได้ไม่เท่าคนอื่น

เราเหนื่อยมาก คุณแม่ก็เหนื่อย ทุกคนในบ้านเหนื่อยหมด เรารู้สึกท้อแล้ว เรารู้ว่าอนาคตบ้านเราแย่แน่ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ได้มีสิทธิมากพอ แล้วที่บ้านก็ไม่เปิดโอกาส หรือเราควรจะปล่อยให้แกเป็นไปตามเวรตามกรรมดี ใครมีประสบการณ์ช่วยแชร์หน่อยครับ ว่าเราควรจะเริ่มจากตรงไหน เราทำอะไรผิดไปรึเปล่า เรื่องที่เราเล่าไปอาจจะกว้าง แต่เราก็ไม่ได้จบสายธุรกิจมา เพียงแต่ว่าเราศึกษาหาความรู้เอาเอง ที่บ้านอาจจะไม่มั่นใจในตัวเรา แต่เราก็มองว่าที่บ้านเราก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาเลยแม้แต่น้อย มีแต่แย่ลงทุกวัน มีแต่เรากับคุณแม่ที่พยายามกันอยู่สองคน แม่เราก็50+แล้วเหมือนกัน แต่แกไม่ปิดกั้นเราเลย แถมยังลุยเรียนรู้พร้อมกับเราด้วย เราสงสัยว่าหน้าที่ตรงนี้มันเป็นหน้าที่ของลูกสำหรับครอบครัวเวลาพ่อแม่แก่เฒ่าไม่ใช่หรอ แต่ทำไมเราทำขนาดนี้ แต่กลับไม่พอใจกับสิ่งที่เราทำ

กระทู้นี้อาจจะเป็นเรื่องเก่าสำหรับใครบางคน อาจจะเคยมีกระทู้แนวนี้มาแล้วต้องขอโทษด้วยนะครับ พอดีเราเพิ่งจะเคยตั้งกระทู้ในพันทิป แต่เราอยากได้คำแนะนำมากจริงๆ เพราะเรื่องนี้เราพยายามคุยกับที่บ้านหลายรอบแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผลเลย ใครมีวิธีรับมือกับเหตุการณ์แบบนี้ช่วยแชร์ด้วยนะครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่