อาจารย์คง

กระทู้คำถาม
ผมมีเพื่อนรับราชการอยู่คนหนึ่ง นานๆจะติดต่อมาพูดคุยกันสักที 
ปีสองปีมานี่ รู้สึกว่า เพื่อนจะดู มีฐานะดีขึ้น จนดูผิดหูผิดตาไปมาก
พอถามว่า ทำไมชีวิตดูดีขึ้น  เพื่อนก็บอกว่า  มันได้เลื่อนขั้น ติดๆกัน 
สองขั้นซ้อน ในเวลาไม่ถึงปี ก็เลยพอยกระดับขึ้นมาได้หน่อย
ตอนนั้นผมก็สงสัยนะว่า มันไปได้ของดีอะไรมาหรือเปล่า 
ก็พยายามถามเคล็ดลับเพื่อน แต่ดูเหมือนมันก็ กั๊กๆ ไม่อยากบอกเท่าไหร่ 
บอกแต่ว่า สงสัยดวงมันกำลังขึ้นมั้ง ทำอะไรก็เลยดีไปหมด
ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ อยู่ๆวันหนึ่ง เพื่อนคนนี้ก็ติดต่อมาหาผม 
คุยไปคุยมา แล้วมันก็ถามผมขึ้นว่า  "แกเป็นคนกลัวผีไหม "
ผมก็ถามว่า มีเรื่องอะไร ทำไมอยู่ๆ ถึงได้มาถามอะไรแบบนี้
เพื่อนก็เริ่มอารัมภบทขึ้นทันที "อยากให้แกไปเป็นเพื่อนทำพิธี ปลุกผี ด้วยหน่อย "
พอได้ยิน ผมก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง  " หา อะไรนะ "
แล้วเพื่อนก็เริ่มเล่าเรื่อง ของมันให้ผมฟัง
ว่ามัน ได้รู้จักกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่เก่งเกียวกับด้าน ทำเสน่ห์ มหานิยม
มันไป ลงสาริกาลิ้นทอง 
ลง ณ หน้าทอง ไปอุดลายมือถุงเงินรั่ว ไปเจิมกระเป๋าเก็บเงิน  ไปเสริม ยันเก้า ที่กลางกระหม่อม
กับ อาจารย์ท่านนี้มา ชีวิติมันเลยเปลี่ยนไปแบบนี้ไง
พอได้ฟัง ผมก็อึ้ง  ไม่คิดเลยว่าเพื่อนมันจะไปเล่นอะไรแบบนี้มา มันก็เล่าต่ออีก ว่า 
"พอไปหาบ่อยๆ ก็เริ่มสนิทกับอาจารย์ คุยกันได้แทบทุกเรื่อง"
แล้ว ช่วงก่อนหน้านี้ เพื่อนมันไปเจอ ผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่ง เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที
น่ารักมาก แต่ไปจีบแล้ว เหมือนผู้หญิงไม่เล่นด้วย 
เลยเอาไปปรึกษาอาจารย์ ว่าทำยังไงจะให้ผู้หญิงคนนั้นมารักมาหลงได้บ้าง
"อาจารย์ก็บอกว่า มีวิธี อยู่นะ แต่มันอาจจะเสี่ยงหน่อย และค่าครูก็อาจจะแพงด้วย  "
เพื่อนเล่าว่า  พอได้ยินอาจารย์มากระซิบค่าครูที่หู  มันตาโตเลย 
"สู้ครับ อาจารย์ ผมสู้นะ พอไหว พอไหว"
มันบอกว่ามันดีใจอยู่แป๊บหนึ่ง อาจารย์ก็พูดขึ้นมาอีก
"แต่ต้องรอหน่อยนะ ต้องหาศพผีตายโหงให้ได้ก่อน"
แล้วก็จะให้เพื่อนผมไปทำพิธี ปลุกผี ทำพิธีมหาเสน่ห์ 
พอได้ยินผมตกใจมากเลย  เฮ้ย.."เล่นงี้เลยหรือ"
รีบถามเพื่อนไปว่า "ไม่กลัวหรือ เล่นกับผีกับสางแบบนั้น"
เพื่อนก็พูดในทำนองที่ว่า ไม่มีอะไรหรอก มันก็ลองมาหลายอย่างแล้ว ก็ไม่เห็นมีผีสางที่ไหนมากวนนะ
แล้วเพื่อนมันก็เซ้าซี้ ผม ให้ไปเป็นเพื่อนมันหน่อย  เพราะมันชวนเพื่อนคนอื่นแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าไปกับมัน
ผมก็เลยคิดว่า อะขอไปดูกับตาหน่อยเถอะ ว่ามันเป็นยังไง  สุดท้ายก็เลยรับปากมันไป
แต่ก็ผ่านไปเกือบเดือน เพื่อนก็ยังไม่นัดวันที่จะไปทำพิธีมาสักที 
จนวันหนึ่ง มันก็โทรมาหาผม น้ำเสียงกระหืดกระหอบ ปนดีใจ 
"เฮ้ย.. อาจารย์ บอกว่าได้ศพที่ต้องการแล้ว  เอ็งพร้อมยัง"
เพื่อนก็เลย นัดวันเวลากัน ว่าจะไปวันไหน 
 พอถึงวันเดินทาง ผมกับเพื่อนขับรถพากันไปถึง แถวๆบ้านอาจารย์คนนั้นก็ประมาณ ห้าโมงเย็น
พอถึงหน้าบ้านอาจารย์ เห็นบ้านอาจารย์เป็นบ้านไม้สองชั้น เก่าๆ
เพื่อนเดินขึ้นไปบนบ้านอาจารย์สักพักใหญ่ๆ ก็พากันเดินลงบันไดมา
มองไปก็เห็น อาจารย์แก่ๆ ใส่ชุดขาวพร้อมของเต็มย่าม เดินมากับ ผู้ติดตามคนหนึ่ง
ยังเด็กๆอยู่ครับ แต่ว่า รู้สึกขาจะเป๋ข้างหนึ่ง เหมือนคนเป็นโปลิโอ
พอขึ้นรถกันหมดแล้ว อาจารย์ก็พาพวกเราขับรถไป อีกที่ที่หนึ่งครับ ใช้เวลาพอสมควร 
ขับข้ามจังหวัดไปหลายจังหวัด แล้วก็เริ่มเข้าป่าไปเรื่อยๆ 
สองข้างทางมืดสนิท เริ่มเป็นพื้นที่เปลี่ยวๆ แทบไม่มีแสงไฟจากบ้านคนอยู่เลย
ขับไปสักพักใหญ่ๆ ก็มาถึงบ้านคนคนหนึ่ง ตอนนั้นราวๆ สามทุ่มกว่าแล้ว
ผมมองไปก็เห็นเป็นบ้านตั้งอยู่กลางป่าหลังเดียวเลย 
ใต้ถุนบ้านยกสูง มีควายยืนอยู่ใต้ถุนบ้านหลายตัว 
พอเพื่อนดับเครื่อง หรี่ไฟหน้าลง
อาจารย์ก็พูดขึ้น  "ไอ้เป๋ ไปติดต่อซิ"
เด็กนั้นลงจากรถ เดินกระโผกกระเผกไปที่หน้าบ้านหลังนั้น ช้าๆ 
มองดู เห็น มีคนเดินมายืนอยู่ตรงชานบ้าน รูปร่างผอมๆ ไม่ใส่เสื้อ
ยืนคุยกันอยู่พักหนึ่ง เด็กคนนั้นก็เดินมา บอกกับอาจารย์ว่า 
จอดรถไว้นี่แหละเขาจะพาเราเดินไป
อาจารย์ลงมาจากรถ  ผมหันไปดูบนบ้านอีกที ก็เห็น แต่ผู้ชายคนนั้นกำลังใส่เสื้อ แล้วก็ถือไฟฉาย 
พอเดินมาหาพวกผม แล้วก็พูดกับอาจารย์ว่า 
"อาจารย์ผมขอเบิกค่าแรงก่อนนะ เผื่อมันดึก"
พอได้ยินเพื่อนก็รีบ ควักเงินที่เตรียมไว้ ให้กับชายคนนั้นไป
ชายคนนั้นรับเงิน หายไปทางตัวบ้านสักพัก แล้วก็เดินออกมา พร้อมกับอุ้มไก่มาตัวหนึ่ง
แล้วเขาก็ นำเราเดินเข้าไปในป่า
ตอนแรกก็เดินไปตามคันนา สักพักก็เริ่มเป็นทุ่งหญ้าแห้งๆ 
แต่ก็ไม่ใช่หญ้าที่ขึ้นสูงเท่าไหร่ เดินมาได้สักพักใหญ่ 
เริ่มมีต้นไม้ใหญ่หนาตามากขึ้น บรรยากาศเริ่มวังเวง 
เดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็น บล็อกปูน ที่เขาใช้เก็บโรงศพ
เรียงรายอยู่เป็นระยะ บางอันก็แตก ข้างในกลวงๆ บางอันก็โบกปูนปิด เรียบร้อย
เดินไปอีกสักพัก เหมือนข้างหน้าจะมีแสงไฟ 
มองไปดูดีๆ เหมือนจะเป็น ศาลาวัดครับ แต่ว่าอยู่ไกลๆ
ผู้ชายคนนั้นหันมา บอกว่า  " อย่าส่งเสียงดัง "
แล้วพวกเราก็แทบจะเดินย่องๆเลยครับ ไม่นานก็พามาหยุดอยู่หน้าบ้านไม้หลังหนึ่ง 
เป็นบ้านไม้เก่าๆชั้นเดียว มองดูข้างนอกรวมๆแล้ว เหมือนบ้านมันเอนๆนะ จะพังแหล่ไม่พังแหล่ยังไงชอบกล
ผู้ชายคนนั้น ค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปช้าๆ  แล้วพวกผมก็เดินตามเข้าไปข้างใน
เห็นผู้ชายคนนั้นฉายไฟไปมา รอบๆ
ผมมองตาม ดูเหมือนรอบๆมันจะมีอะไรนั่น เหมือนมี แคร่ มีอะไร เป็นไม้ สี่เหลี่ยม ๆ
แต่พอ เด็กที่ชื่อเป๋ จุดเทียนขึ้นมาเท่านั้นแหละ
โห... ขนแขนผมลุกซู่ขึ้นมา ทันที
มองไปรอบๆตัว มีโลงศพเก่าๆวางอยู่บนแคร่ไม้ รอบทิศเลยครับ
อาจารย์ถามผู้ชายที่นำเรามาว่า ศพไหน
ผู้ชายคนนั้นก็พาเดินไปหน้าโลงศพอันหนึ่ง  ชี้ไปที่โลงนั้น
อาจารย์เดินไปดู  แล้วคนที่พามา ก็เดินอุ้มไก่หายออกไปข้างนอกห้อง
อาจารย์หันมาบอกผมกับเพื่อน ช่วยกันเปิดฝาโลง
ตอนนั้นผมยืนมองหน้าเพื่อน ทำไมต้องกูด้วยวะ
มองไปที่เด็กเป๋คนนั้น ก็เห็นกำลังปูเสื่อ  ตั้งของทำพิธีอยู่ ที่พื้น
ผมกับเพื่อน มองหาไม้มองหาของที่จะเอามางัดฝาโลง
รู้สึกเหมือนมันจะมีค้อนตีตะปูอยู่พอดี 
เพื่อนก็เอามางัดตะปูไปตามขอบฝาโลง ที่ละมุม จนรอบ
ผมก็เอาเศษไม้ที่พอจะหาได้ งัดมุมที่เพื่อนมัน งัดตะปูอ้าไว้แล้ว
สักพักใหญ่ ฝาโลงก็ถูกงัดจนพร้อมจะเปิดได้แล้ว
ผมมองไปที่พื้นก็เห็น เสื่อปูอยู่ ข้างหน้ามีธูปมีเทียน มีดอกไม้ ดอกบัว 
แล้วก็ของอะไรเล็กๆน้อยๆ วางๆปนกันอยู่ในถาด
ส่วนรอบๆเสื่อมีสายสิญจน์ล้อมไว้เป็นวงสี่เหลี่ยม
ผู้ชายคนที่นำเรามาเดินกลับเข้ามา พร้อมกับถือถ้วยใบใหญ่
ผมมองไปก็เห็นขอบถ้วยด้านบนมีเลือดเปรอะอยู่
พอเดินมาใกล้ๆก็เห็นในถ้วยนั้นมีเลือดเต็มถ้วยเลย  "เฮ้ย.. เลือดไก่ตัวนั้นหรือ" ผมนึกในใจ
อาจารย์กับเด็กนั้นก็เดินมายืนอยู่หน้าโลง ข้างๆคนที่ถือถ้วยเลือดอยู่
แล้วก็บอกว่า เปิดโลงดูซิ
แล้วผมกับเพื่อนก็ เอื้อมมือสอดเข้าไปใต้ฝาโลง
พอกำลังจะยกฝาขึ้น
ผมก็รู้สึก เจ็บที่มือขึ้นมาทันที จนต้องรีบทิ้งฝาโลง ลง 
สะบัดมือไปมาด้วยความเจ็บปวด
พอเอานิ้วมาดู เลือดผมก็ไหลออกมาที่นิ้วชี้ เยอะมาก จนมันหยดลงไปที่ฝาโลง 
ผมรีบเอานิ้วมาดูดเลือดออกแล้วก็บ้วนทิ้งไปที่พื้น
เพื่อนถามว่า เป็นอะไร  ผมก็บอกว่า จับโดนตะปู
แล้วผมก็เลยรีบ ถามคนชื่อเป๋ว่ามีน้ำไหม 
คนชื่อเป๋ก็เดินเอาน้ำมาให้ ผมก็รีบเอามาล้างแผลทันที
เทน้ำล้างอยู่ตรงข้างๆแคร่ที่ตั้งโลง 
พอล้างเสร็จผมก็ได้แต่กำนิ้วที่เลือดออกนั้นไว้
ยืนขึ้นก็เห็นแต่เพื่อนกำลังดึงฝาโลงเปิดออกช้าๆ
ยังไม่ทันตั้งตัวเลยครับ มองไป ในโลง ก็เห็นหน้าศพ อยู่ตรงหน้าผมพอดี
ผมจะหลับตาก็ไม่ทันแล้ว ได้แต่อึ้ง
สภาพศพคือ เป็นหน้าผู้หญิงอ้วนๆขาวซีด ขอบตาดำโบ๋
หัวหยิกหยอง ที่จมูกมีสำลียัดอยู่
มองลงไปตามลำตัว นอนอยู่ในท่าพนมมือหงิกๆแบบมัดตราสังข์
ที่ท้อง ท้องใหญ่เหมือนคนตั้งครรภ์ 
เพื่อนก็ถามอาจารย์ขึ้นทันที  ตายทั้งกลม หรืออาจารย์ 
อาจารย์ก็บอกว่า ดี แบบนี้แหละจะยิ่งขลัง
แล้วอาจารย์ก็บอกให้ทุกคนเข้าไปนั่งในวงสายสิญจน์
คนที่ถือถ้วยเลือด เอาถ้วยไปวางในถาด หน้าวงสายสิญจน์
แล้วอาจารย์ก็เข้ามานั่ง สวดคาถา เริ่มทำพิธี
พออาจารย์เริ่มสวด ก็เริ่มได้ยินเสียงใครมาเคาะผนัง อยู่ข้างนอก ป๊อกแป๊ก ป๊อกแป๊ก
ดังสลับไปมารอบทิศ 
ผมเริ่มมองไปรอบๆ เริ่มวังเวงขึ้นมา อย่างกับจะมีตัวอะไรโผล่เข้ามาข้างใน 
ใจผมสั่นไปหมด เทียนในห้องก็พริ้วไหวไปมา 
แล้วก็ดับลงที่ละเล่มสองเล่ม 
ข้างนอกรอบๆเริ่มได้ยินเสียงลมพัดแรง ฟิว ฟิวไปมา
หน้าต่างที่ปิดอยู่ สั่นกึกๆ ราวกับมีคนจับมันเขย่า
แล้วในความเงียบ อยู่ๆอาจารย์ก็พูดขึ้นขณะหลับตาอยู่
"เอ็งชื่ออะไร"  แล้วอาจารย์ก็พูดว่า อืม  อืม 
เหมือนได้ยืนใครพูดด้วย แต่พวกเราไม่ได้ยินอะไรเลย 
นอกจากเสียงหน้าต่าง มันเขย่าๆ กึกๆ  รอบทิศ
สักพักอาจารย์ก็ เอาหุ่นขี้ผึ้งไปตั้งไว้อยู่ตรงหน้าถ้วยเลือด
แล้วก็ท่องคาถา 
สักพัก เสียงลมแรง เสียงเขย่าประตูก็เงียบไป
ทุกอย่างสงบลง จนเงียบหมด 
แล้วอยู่ๆเพื่อนก็สกิดผมให้ดูอะไรบางอย่าง ในถาด
พอมองไป ผมก็ขนลุกขึ้นมาอีก
เลือดในถ้วยค่อยๆลดลง ลดลง อย่างลวดเร็ว 
ราวกับมีใครเอาหลอดดูดมาดูดกิน   เฮ้ย.. เป็นไปได้ไง  ผมได้แต่นึกในใจ
แล้วสักพักอาจารย์ก็เอาหุ่นขี้ผึ้งตัวนั้นมาพันสายสิญจน์
แล้วก็ลุกขึ้นยืน เดินออกไปนอกวงสายสิญจน์
แล้วก็เรียกพวกเราให้มาที่หน้าโลง
อาจารย์เอาปลายสายสิญจน์ที่พันหุ่น ยื่นให้เพื่อน แล้วบอกว่า
เอาไปพันรอบหัวศพ 
เพื่อนถือปลายสายสิญจน์นั้นไป ค่อยๆเอื้อมมือไปพันรอบๆหัวที่หยิกหยองช้าๆ
แล้วอาจารย์ก็บอกว่า เอาศพลุกนั่งขึ้นมา
เพื่อนก็ หันมามองหน้าผม อย่างตกใจ หา!   ผมเองรีบหลบตาเพื่อน   กูไม่เกี่ยว
เพื่อนเหมือนลังเลอยู่พักหนึ่ง แล้วมันก็สอดมือไปตรงไหล่สองข้างของศพ
ก่อนจะค่อยๆงัดขึ้นช้าๆ แต่เหมือน มันงัดไม่ขึ้นครับ  หันมาบอก ผม "มันแข็งจังวะ"
ผมก็บอกว่าออกแรงหน่อยสิ
เพื่อนมันก็เหมือนออกแรงงัดจนเต็มแรง 
ศพก็พุ่งพรวดลุกขึ้นมานั่ง 
แล้วหัวศพก็เอนพับไปข้างหลัง จนหัวหล่นลงไปในโลงดัง ตุ๊บ
เฮ้ย.. ฉี่แทบราด เมื่อผมมองไปเห็นช่วงไหล่ ที่ไม่มีหัว ของศพตั้งอยู่ในท่านั่ง
เ ชี ย.. 
เอ็ง ออกแรง แรงไปไหม ทำศพหัวขาดเลย
เพื่อนมันก็หน้าเสียมากเลย  หันมามองผม แบบลนลาน
แล้วอาจารย์ก็บอกว่า เอาหัวเขาขึ้นมาต่อเหมือนเดิม
เพื่อนค่อยๆ ยื่นมือลงไปในโลง หยิบหัวนั่นขึ้นมา 
แล้วก็เอาไปตั้งไว้ตรงไหล่
อาจารย์ก็บอกว่า จับไว้แน่นๆ 
แล้วก็เอาเทียนออกมาเล่มหนึ่งเป่าคาถาใส่ แล้วก็เอาเทียนเขียนลงไปกลางศรีษะศพที่เพื่อนจับอยู่
เขียนไปสามครั้ง พอครั้งที่สามเพื่อนก็ร้อง ขึ้นมา
อาจารย์ อาจารย์ เหมือนตรงปากเขาขยับๆได้ เหมือนกำลังกัดฟันอยู่
อาจารย์ก็บอกว่านิ่งๆไว้ 
เพื่อนหลับตาปี๋ เกร็งแขน เอาฝ่ามือจับหัวศพไว้แน่น
แล้วอาจารย์ ก็เอากริชขึ้นมา เป่าคาถาใส่ แล้วก็เอาเทียนไปจ่อดูตรงคางศพ
แล้วก็เอากริช กรีดไปตรงคาง ยาวสักสองสามเซ็นต์ แล้วก็เริ่มท่องคาถา
สักพักเพื่อนก็บอกว่า รู้สึกเหมือน มีเส้นเอ็นตัวศพ ดึงศรีษะให้ยึดเข้าที่แล้ว
พูดจบ  ผมมองไป ก็ขนลุกซู่ขึ้นมาอีก
ศพค่อยๆ อ้าปากออกมาช้าๆ 
แล้วตรงรอยกรีดที่คาง ก็เริ่มมีน้ำอะไรไหล่ออกมา พร้อมกัน
อาจารย์รีบหยิบผลลูกจันทร์ออกมา เอากริชตัดขั้วข้างบนออก
แล้วก็คว้านให้เป็นรูเล็กๆด้วยปลายกริช 
ก่อนจะเอาลูกจันทร์นั้นไปรองน้ำที่ไหลออกมาจากคางศพ
พอได้แล้วสักพัก อาจารย์ก็เอาขวดแก้วเล็กๆขึ้นมา
เอาน้ำที่อยู่ในผลจันทร์เทใส่ขวด 
แล้วก็ยื่นผลจันทร์ ให้เพื่อน บอกให้เพื่อนกินให้หมด
เฮ้ย.. ผมตกใจแทนมัน พึ่งรองน้ำจากศพนี่นะ
อาจารย์เห็นมันลังเลอยู่สักพัก ก็พูดว่า ถ้าไม่กิน น้ำมันพรายในขวดนี้ คนสั่งจะเอาไปใช้ไม่ได้
พอได้ฟัง เพื่อนมันก็ทำสีหน้าเจื่อนๆ แล้วก็ฝืนกินลูกจันทร์นั้นไปจนหมด เหลือแต่เปลือก
อาจารย์ถามว่า เป็นยังไง รสชาติ เพื่อนก็บอกว่า ฝาดๆ หวานๆนิดๆ แต่หอม
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีแล้ว  พากันปิดฝาโรงอะไรเรียบร้อยแล้ว ก็พากันเดินกลับมาที่รถ 
ระหว่างทาง ไม่มีใครพูดอะไร ใจผม ตุ๋มๆต่อมๆมาตลอดทาง หวังว่าจะไม่เจออะไร ไม่ดีนะ
หลังจากเพื่อนเอาน้ำมันพรายไปใช้แล้ว
ก็รู้สึก ชีวิตเพื่อนกับสาวคนนั้นจะลงเอยกันได้ด้วยดี
มันโทรมาเล่าความคืบหน้าอยู่พักหนึ่ง แล้วก็หายหน้าหายตาไป
ผมก็ไม่ได้ติดตามอะไรต่อมากมาย จนทิ้งช่วงไปเกือบๆ6เดือน
แล้ววันหนึ่ง..

โปรดติดตามตอนต่อไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่