ตั้งศาลให้หน่อย...

ห่างหายไปนานเหมือนกันนะครับ (อีกแล้ว) กับการที่ผมจะมาเล่าอะไรให้ฟัง ชีวิตมันไม่ค่อยจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้สักเท่าไหร่ เราคิดว่าเราว่างแต่เดี๋ยวมันก็จะมีเรื่องด่วนเข้ามาขัดได้ตลอด งานนั่นงานนี่เข้ามาพร้อมๆกันแต่ก็ปล่อยผ่านไปไม่ได้สักอย่าง เพราะทั้งหมดนั้นคือโอกาสที่ไม่รู้ว่าจะเข้ามาอีกเมื่อไหร่ เอาเป็นว่าตอนนี้ว่างขึ้นมาหน่อยแล้วครับ ลองมาอ่านเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังกันนะครับ

ก่อนอื่นใดขอกล่าวไว้เหมือนอย่างเคยอีกสักครั้ง…เนื้อหาและใจความต่อไปนี้เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
หากสิ่งที่ท่านได้อ่านต่อไปนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่ท่านผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น… ขอบคุณครับ

           เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ผมยังเรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นช่วงที่มีเหตุการณ์แปลกๆเข้ามาหาในแต่ละวันอย่างต่อเนื่องจนเริ่มรู้สึกเหนื่อยแต่ก็หนีไม่เคยพ้นเลยสักครั้ง
           ตอนนั้นผมยังจำได้ดีว่าผมกำลังง่วนอยู่กับกิจกรรมของภาควิชา ผมนั่งอยู่ที่ลานกิจกรรมของมหาวิทยาลัยร่วมกับเพื่อนอีกหลายคน วันนั้นเรากำลังนั่งเฝ้าดูน้องปีหนึ่งทำกิจกรรมกันอยู่ ทุกอย่างสนุกสนานสมกับเป็นชีวิตมหาลัย เสียงร้องเพลงและเสียงกลองสันทนาการดังก้องไปทั่วพื้นที่ผสมกับเสียงหัวเราของรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทสนมกันบ้างก็เกลียดขี้หน้ากันเต็มทน
           ระหว่างนั้นเองที่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของผมเริ่มสั่นขึ้นมา ตอนแรกคิดว่าคงเป็นข้อความของเพื่อนที่ทักมาตามปกติไม่ก็แชทกลุ่มที่มักจะคุยกันอยู่เป็นประจำ แต่เวลาผ่านไปเกือบห้านาทีมันก็ยังสั่นไม่หยุดจนผมเริ่มสงสัยว่ามีเรื่องด่วนอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า
            ผมหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูก็พบว่าทั้งหมดนั้นเป็นการแจ้งเตือนจากไลน์ ผมเข้าไปดูเนื้อหาด้านใน รายชื่อผู้ที่ส่งข้อความมานั้นเป็นชื่อที่ผมไม่รู้จัก
“น้องคะคือว่าพี่ได้ยินมาจาก...”
          ขึ้นต้นประโยคมาอย่างนี้ก็พอจะรู้ชะตากรรมของตัวเองรวมไปถึงเจ้าตัวคนที่แนะนำผมให้กับ ‘พี่ไก่’ ที่ติดต่อผมมา ความรู้สึกในตอนนั้นน่าจะไม่มีอะไรมากไปกว่าความรำคาญใจเพราะไม่ได้มีการติดต่อมาจากคนรู้จักของผมก่อนที่จะมีพี่คนนี้ติดต่อมา ผมเลื่อนอ่านข้อความในนั้นผ่านๆเพียงแค่พอได้ใจความเท่านั้น ใจความนั้นไม่ได้แปลกใหม่พี่ไก่แค่ต้องการให้ผมดูรูปภาพเกือบสิบรูปที่ส่งมา ภาพถ่ายนั้นเป็นภาพของที่ดินรกๆแปลงหนึ่ง มันไม่ได้ว่างเปล่ามีสิ่งปลูกสร้างอยู่แล้วจากส่วนที่ติดเข้ามาในรูป ส่วนที่ดินตรงนั้นมีกอไผ่อยู่กอหนึ่งซึ่งมันใหญ่พอสมควร
“พี่อยากจะตั้งศาลตรงนี้ ตั้งได้ไหมคะ”
         นั่นคือคำถามจากพี่ไก่ ผมกวาดสายตามองอย่างลวกๆเพราะความสนใจของผมในตอนนั้นยังอยู่กับเพื่อนๆและรุ่นน้องที่ทำกิจกรรมอยู่ตรงหน้า ผมมองรูปภาพเหล่านั้นเพียงผ่านๆและรู้สึกว่ามัน ‘สวยดีไม่น่ามีอะไร’
“ได้เลยครับ”
          ผมตอบพี่ไก่กลับไปด้วยประโยคสั้นๆส่วนพี่ไก่นั้นตอบกลับมาอีกยืดยาวโดยไม่ได้มีใจความอะไรพิเศษนอกจากคำขอบคุณและพยายามจะยัดเยียดโอนเงินมาให้ผมและแน่นอนว่าผมรับไม่ได้ จึงไม่ได้สนใจจะตอบกลับไปแต่อย่างใด
           จากวันนั้นเวลาน่าจะผ่านไปเกือบสัปดาห์ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนนั้นทางพี่ไก่ยังไม่ได้ติดต่ออะไรกลับมาแต่เป็นตัวผมเองที่เกิดอาการผิดปกติจนผมสังเกตได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าว่ากันตามตรงเพื่อนของผมหลายๆคนก็สังเกตเห็นความผิดปกติเหล่านั้นเช่นกัน
          สิ่งที่เกิดขึ้นอาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องปกติที่ไม่แปลกอะไรแต่เมื่อเอาทุกอย่างมาพิจารณารวมๆกันแล้วมันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไม่ปกติ ปกติแล้วผมค่อนข้างจะเป็นคนที่ไม่ได้จริงจังกับการเรียนเท่าที่ควร แม้จะไม่ได้ปล่อยปะจนสอบตกอะไรแต่ระหว่างคาบเรียนก็มักจะแอบทำอย่างอื่นโดดเรียนก็บ่อยและบ่อยที่สุดคงจะเป็นการหลับในคาบเรียน
          หลายๆคนก็คงจะเคยหลับในคาบโดยเฉพาะในช่วงมหาวิทยาลัยที่อาจารย์ไม่ได้จู้จี้กับเราเท่ามัธยม
          ช่วงนั้นผมหลับแทบจะทุกคาบ ไม่ใช่แค่งีบไปแต่หลับสนิทจะตื่นอีกทีก็ตอนที่ต้องย้ายห้องหรือลงไปกินข้าวกลางวัน ตอนแรกเพื่อนๆยังไม่รู้สึกอะไรเพราะผมหลับเกือบจะเป็นปกติแต่จะยังมีช่วงที่ตื่นขึ้นมาฟังบ้างไม่ได้หลับลึกเท่าช่วงนี้
           ความรู้สึกที่ผมจำได้คือผมง่วงมาก มันไม่ใช่ง่วงเพราะนอนไม่พอแต่มันรู้สึกเพลียไม่ค่อยมีแรง จะลุกจะเดินก็ดูเหนื่อยดูยากไปหมด พอได้นั่งพักในห้องแอร์เย็นๆก็หลับไปเสียทุกครั้งอย่างห้ามไม่ได้
           เวลาในช่วงกลางวันผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะผมเอาแต่หลับ ช่วงพักกินข้าวมันก็แค่ประมาณชั่วโมงหนึ่งและผมก็กินไม่ค่อยจะลงรู้สึกเบื่ออาหารร้านประจำที่เคยกินก็ดูไม่น่ากินเหมือนอย่างเคย ข้าวในจานผมทำได้แค่เขี่ยไปเขี่ยมาอย่างนั้น อาศัยกินน้ำหวานน้ำอัดลมเพื่อให้ตัวเองพอมีแรงเท่านั้น
           จนเวลามาถึงช่วงเย็นผมจะรู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อยเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน แต่ผมก็ไม่ได้เอาความสดชื่นนั้นไปใช้ทำอะไรหลังจากเลิกเรียนผมก็ตรงกลับหอเปิดแอร์นอนพักอย่างสบายใจ บางครั้งจะรู้สึกหิวตามปกติ แต่บางครั้งมันมากกว่านั้น มีคืนหนึ่งที่ผมจำได้ดี
           คืนนั้นผมงีบหลับไปในช่วงหัวค่ำตื่นมาอีกทีน่าจะประมาณใกล้ๆสี่ทุ่มซึ่งมันไม่ได้แปลกอะไร ผมรู้สึกแสบท้องและค่อนข้างหิวจึงเดินออกจากห้องไปเคาะประตูห้องเพื่อนที่อยู่หอเดียวกันแต่คนละชั้น ผมชวนเพื่อนออกไปหาอะไรกิน ช่วงกลางคืนข้างมหาวิทยาลัยจะมีร้านอาหารเปิดอยู่เต็มไปหมดดูคึกคักพลุกพล่านมากกว่าช่วงกลางวัน
           ผมกับเพื่อนนั่งกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยที่คนไม่เยอะมากแต่รอนานจนแทบหลับนั่นคือหนึ่งคำถามที่ติดอยู่ในใจจนกระทั่งเรียนจบว่าทำไมมันถึงนานได้ขนาดนั้น ก๋วยเตี๋ยวสองชามใหญ่ถูกผมยัดลงท้องในเวลาไม่กี่นาทีจนเพื่อนผมมองหน้างงๆ แต่คงคิดว่าผมแค่หิวมากเท่านั้น ก่อนจะกลับหอผมแวะที่เซเว่นอีกรอบเพราะรู้สึกว่าท้องยังว่างๆอยู่
          ถัดมาอีกไม่กี่นาทีผมเดินขึ้นหอมาพร้อมถุงขนมใหญ่ๆสองถุงที่คิดว่าจะตุนเอาไว้เฉยๆ แต่มันกลับหมดทันทีในคืนนั้นหลังจากนั่งกินขนมหาอะไรดูไปเรื่อยจนพอใจแล้วผมก็ปิดไฟเตรียมตัวนอน ผมหลับได้สนิทดี มันควรจะเป็นอย่างนั้นไปจนถึงเช้าแต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเพราะผมถูกปลุกขึ้นกลางดึกด้วยเสียงใสๆที่ผมคุ้นเคย
“พี่จ๋า...”
เสียงหวานของเด็กผู้หญิงที่คุ้นเคยดังขึ้นเบาๆที่ข้างหู
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่