สวัสดีครับ
ตั้งแต่ผมเรียนจบมัธยม ผมก็เจออะไรหลายๆเรื่องมาตลอด
ผมเคยป่วยทางจิตเวช จากความเครียดความกดดันตั้งแต่จบประถม ใช้ยาอยู่หลายปีจนทุเลาและหยุดยาได้
ผมอยู่มัธยม ผมพยายามทำสิ่งต่างๆเพื่อให้มีความสุข ความสุขของผม คือการได้ทำให้คนอื่นมีความสุข โรงเรียนมัธยมที่ผมอยู่ มากด้วยเด็กที่ดูเด็กกว่าวัย หลายๆคนมักเจอปัญหาต่างๆ ทุกครั้งที่ผมได้ช่วยเหลืออะไร ไม่ว่าผมจะเหนื่อยแค่ไหนผมก็มีความสุข นั่นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของผม
แต่ความสุขแบบนั้นก็ไม่ได้ยั่งยืน ครอบครัวผมเกลียดชังการข้องแวะกับคน โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือแบบต่างๆ แม้การให้กำลังใจก็เป็นเรื่องวิปริตสำหรับคนในบ้าน ทุกอย่างที่ผมทำไม่มีใครรู้ เมื่อผมจบมัธยม ทุกอย่างก็จบลงไปตามกัน คนที่ผมเคยแคร์เท่าไหน ทุกวันนี้ผมก็หายไปจากลานสายตาของคนเหล่านั้นแทบหมดสิ้น
ผมถูกส่งไปเรียนต่างประเทศ และที่นั่นเกือบจะไม่มีคนไทยเลย ในกลุ่มนักเรียนทั้งหลายซึ่งเป็นคนชาติเดียวกันนั้น มักพูดแต่ภาษาของตัวเองและไม่อาจเชื่อใจได้มากเท่ากับที่ผมเคยได้เจอ ผมพบปัญหากับคนเหล่านนั้นหลายครั้ง ที่สุดนั่นทำให้ผมแปลกแยกด้วยภาษาและใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว หลายเดือนของการใช้ชีวิตตามลำพัง เดินทางคนเดียว สำหรับหลายคนอาจจะปกติ แต่ผมรับรู้ได้ถึงอาการของตัวเองที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆจากบันทึกของผมเอง ทั้งการเปลี่ยนไปของการใช้คำ สำนวนการเขียนต่างๆที่เปลี่ยนไปจนผิดสังเกต ผมพยายามเข้ารับการรักษา แต่ที่นั่นมีกระบวนการที่ซับซ้อนวุ่นวาย แม้ผ่านมานานกว่าครึ่งปี การรักษาก็ยังไม่สามารถเริ่มได้เท่าใดนัก ยามผมเห็นใครทุกข์ ผมเคยเสนอตัวที่จะอยู่เคียงข้าง ผมพยายามที่จะสนับสนุนให้เขาเหล่านั้นผ่านช่วงเวลาต่างๆสุดกำลัง แต่ยามที่ผมทุกข์ ไม่มีใครซักคนอยากจะแลครอบครัวผมรังเกียจอาการเหล่านี้เช่นเดียวกับการต่อต้านสังคม ผมไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการอดทน
ผมไม่สามารถแสดงความรู้สึกใดๆได้ ผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้แสดงอารมณ์ต่างๆอย่างโกรธนั้นคือเมื่อไหร่ ผมเก็บทุกอารมณ์ไว้ยาวนาน ผมไม่สามารถปรึกษาใครได้ ด้วยข้อจำกัดทางภาษาและค่าใช้จ่ายเพื่อการปรึกษา (ราว 2300 บาทต่อชั่วโมง) ผมเดินไปตามอุโมงค์ที่มืดมิดด้วยหวังแสงปลายอุโมงค์ แต่ยิ่งเดินไปไกลก็เหมือนกับว่าแสงนั้นไม่มีอยู่จริง ผมไม่อาจเขียนรายละเอียดของเรื่องทั้งหมดลงในนี้ได้ ด้วยทุกคนที่ผมเคยพูดถึงเพียงแก่นของปัญหาและความรู้สึกโดยไม่มีโอกาสอธิบายเบื้องลึกเบื้องหลัง ล้วนตัดสินผมอยู่ร่ำไป ส่วนใครที่จะรับฟังทุกอย่างนั้นก็ไม่มี การจะกลับมารับการรักษาที่ไทยนั้นเป็นไปไม่ได้ ด้วยภาระที่รับมาแล้วนี้ หากกลับคือกลับตลอดไป ผมทิ้งที่นี่ไม่ได้
ผมเหยียบทุกอารมณ์จนเข้าใกล้ความรู้สึกที่เลวร้ายขึ้นในทุกขณะ ผมเฝ้ามองคนที่เคยเห็นอยู่รายรอบลืมผมไปทีละคนสองคน วันนี้แม้ผมเองก็เริ่มจะลืมตัวผมเองไปแล้วเหมือนกัน ตัวตนของผมเริ่มหายไปในทุกขณะ มีชีวิตอยู่ด้วยร่างกาย แต่จิตใจเหมือนตายไปแล้ว เฝ้าเพ้อฝันอยู่ในอดีตที่ผิดพลาด ละเมอว่าในช่วงเวลานั้นควรทำอะไรมากกว่าที่จะปล่อยให้เป็นไปแบบที่ผ่านมา อนาคตก็ไม่รู้เป็นอย่างไร ถ้าปัจจุบันยังสับสนแบบนี้
ครั้งหนึ่งที่ได้กลับมาไทย เคยใช้บริการสายด่วนสุขภาพจิต ซึ่งคุณเจ้าหน้าที่ตัดสินผมว่า ผมควรสนใจแต่การเรียนก็พอเรื่องอื่นๆไม่ต้องใส่ใจ ผมพยายามอธิบายทุกอย่างแล้ว แต่คุณเจ้าหน้าที่ก็ยังคงไม่รับฟัง ผมไม่เคยละการเรียนและยังไม่เป็นปัญหา แต่หากปัญหาอื่นๆเหล่านี้ทวีขึ้น เกรงว่าแม้กำแพงที่ผมกั้นการเรียนไว้จากปัญหาก็คงทานไว้ไม่ไหว เวลานั้นผมไม่อยากจะนึกเลย
ผมพยายามติดต่อเกือบทุกคนที่เคยรู้จัก ก่อนจะได้รับรู้ว่าผมไม่มีความหมายพอที่พวกเขาจะสนทนาด้วยเสียแล้ว ผมไม่อาจทำอะไรได้เลยนอกจากรอคอยให้เวลาผ่านไป ตั้งแต่ไม่กี่วันแรก ไม่กี่สัปดาห์แรก ไม่กี่เดือนแรก ผมรอคอยว่าปัญหาจะเจือจางลง แต่ไม่เป็นอย่างนั้นเลย ปัญหาทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมก็ยังได้เพียงเก็บเอาไว้ คนที่เห็นผมเคยบอกว่า ผมแกร่งมากที่ทนอยู่ได้ แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมพยายามทนไม่ให้อารมณ์ทั้งหมดที่เก็บไว้ระเบิดออก เพราะรู้ว่าหากเป็นเช่นนั้น การกลับมาเป็นโรคอีกครั้ง คือการเป็นไปตลอดชีวิต และครอบครัวผมคงไม่อาจยอมรับได้
ตัวตนในอดีตของผมละลายหายไปกับเวลา ความมืด หมอกครึ้ม และความอ้างว้างบนเกาะฝนพรำนี้ โซเชียลมีเดียไม่ได้ทำให้ใครใกล้กัน มีแต่ทำให้ผมได้เห็นทุกๆสิ่งที่เคยมีจากไปกับสายธารของกาลเวลา และผมก็ได้รับรู้มากขึ้นว่าผมกำลังถูกลืมจนจะหมดสิ้นเสียแล้ว ผมไม่รู้ว่าวันคืนเหล่านี้จะยาวนานไปถึงเมื่อไหร่ ผมทำผิดอะไรจึงต้องมาชดใช้ด้วยความทรมานนี้ ไม่เคยมีความรู้สึกครั้งใดจะทรมานเท่าความว่างเปล่านี้เลย ถ้าแม้ผมเลือกจะหายไปในสายลมได้ผมคงเลือกทางนั้นเสียดีกว่า แต่เพราะมันยังไม่อาจเป็นจริงได้ในวันนี้ ผมถึงต้องทนเจ็บช้ำอยู่กับทุกวินาทีอันขมขื่น ผมจำไม่ได้แล้วว่าการนอนหลับสนิทเป็นแบบไหน อาหารอร่อยเป็นอย่างไร ความสุขสดชื่นนั้นรสชาติแบบใด อะไรคือความอิ่มเอมของชีวิต วันนี้ผมไม่รู้อีกแล้ว
ผมไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี การรอคอยพบแพทย์แต่ละนัดหมายนานกว่าเดือน ทุกครั้งพบได้เพียง 10 นาที ผมไม่ทันอธิบายความรู้สึก เวลาก็หมดลง ผมถูกไล่ออกจากห้องเพื่อทำนัดหมายต่อไปในอีกกว่าเดือนหรืออย่างเร็วใน 3 สัปดาห์ ทุกครั้งไม่เคยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น มีแต่ทำให้แย่ลง และสิ้นหวังหมดศรัทธากับระบบเนชันแนลเฮลท์เซอร์วิสที่เขาชื่นชมนี้ ผมลองทุกทางที่เขาบอกว่าจะบรรเทาความรู้สึก แต่ไม่มีทางใดที่ช่วยผมได้ เพลงที่ผมเคยชอบก็น่าขยาด ผมมีเงินพอจะซื้อสิ่งต่างๆแต่ก็ไม่มีอะไรที่ผมต้องการ ไม่ว่าเสื้อผ้า โทรศัพท์ หรืออะไรที่เขาชอบซื้อหากัน ผมก็ไม่ได้ต้องการ มันไม่สามารถสร้างความสุขให้ผมได้
และที่เลวร้ายที่สุด คือเมื่อผมกลับมา เพื่อมาหาคนที่ผมรอคอยที่จะเจอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเขาจะไปอีกที่หนึ่ง และผมจะไม่มีโอกาสพบเขาอีกยาวนาน แต่เมื่อผมกลับมาถึง เขาก็ไม่ต้องการจะเจอผมอีกแล้ว คนคนเดียวที่เคยทำให้ผมมีความสุขได้เมื่อนานมาแล้ว คนที่เคยให้กำลังใจผมตลอดมา คนที่เป็นแรงให้ผมกล้าจะไปต่างประเทศโดยลำพัง (ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องแฟน คนรักในเชิงเพศใดๆทั้งสิ้น) ผมอยู่ที่นั่นยอมรับที่จะฝืนยิ้มสู้กับทุกปัญหา ทุกมารยาของคนที่แทงผมทั่วทั้งหลัง ทุกความโดดเดี่ยวเดียวดาย เพราะความรู้สึกที่มาจากคำพูดที่เคยออกจากปากของเขา ว่ายังมีเขาอยู่เสมอแม้ผมไม่เหลือใคร นั่นคือกำลังใจเดียวที่ผมเฝ้าสู้อยู่ตลอดและไม่เคยยอมแพ้ แต่วันนั้นเขาไม่ต้องการแม้จะพบผมด้วยซ้ำ ถึงผมยังคงฝืนไปเจอ และที่สุดสิ่งที่พบวันนั้นส่งผมกลับไปยังเกาะนั้นอย่างว่างเปล่านับแต่นั้น (คือผมช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้น) หลังจากวันนั้นผมก็ยิ่งทวีอาการลงเรื่อยๆ ผมพยายามระบายความรู้สึกให้ใครฟัง แต่ไม่มีใครรับฟังผมเลยแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะภาษาใดๆ
นานเข้าความรู้สึกและปัญหาอื่นๆก่อนหน้าที่เคยเหยียบไว้ด้วยกำลังใจนั้นก็เริ่มพลั่งพรูขึ้นมาทำลายความหวังอันน้อยนิดที่ยังหลงเหลืออยู่ท่ามกลางความว้าเหว่นั้น ความอัดอั้นมากขึ้นในทุกขณะ ผมพยายามหาสิ่งต่างๆมาช่วยบรรเทา แต่ก็ไม่มีผล ผมต้องการคนที่จะรับฟังโดยไม่ตัดสินผม คนที่เข้าใจเบื้องหลังของผม(เคยมีหลายคนรู้) ให้เวลาฟังผมได้ แต่ผมไม่มีเลย ไม่มีใครยอมรับฟังผมแม้แต่คนเดียว ไม่มี
ผมไม่รู้ว่าทำไมผมยังต้องทนอยู่แบบนี้ กรรมใดต้องใช้อีกเท่าใด เมื่อไหร่จะพ้นจากสิ่งเหล่านี้ จดหมายมากมายผมเขียนไว้ ฝากไว้กับคนที่ไว้ใจ ผมไม่บอกแต่เขาคงรู้ได้ ว่าทั้งหมด เป็นเหมือนสิ่งที่จะตอบคนอื่นๆหากผมทนอยู่ต่อไปไม่ได้
บางคนหากอ่านถึงตรงนี้อาจคิดว่าผมเจอแค่ปัญหาเดียวนั้น หรือไม่กี่ปัญหา แต่ที่ผมอยากบอกคือผมเจอปัญหามากกว่านั้น ผมทนมันมาตลอด ทนอย่างเคยมีความหวัง และทุกวันนี้ก็ยังทนอยู่ ผมจะทนได้นานแค่ไหน ผมยังตอบตัวเองไม่ได้เลย
ผมรู้สึกแย่ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ตั้งแต่ผมเรียนจบมัธยม ผมก็เจออะไรหลายๆเรื่องมาตลอด
ผมเคยป่วยทางจิตเวช จากความเครียดความกดดันตั้งแต่จบประถม ใช้ยาอยู่หลายปีจนทุเลาและหยุดยาได้
ผมอยู่มัธยม ผมพยายามทำสิ่งต่างๆเพื่อให้มีความสุข ความสุขของผม คือการได้ทำให้คนอื่นมีความสุข โรงเรียนมัธยมที่ผมอยู่ มากด้วยเด็กที่ดูเด็กกว่าวัย หลายๆคนมักเจอปัญหาต่างๆ ทุกครั้งที่ผมได้ช่วยเหลืออะไร ไม่ว่าผมจะเหนื่อยแค่ไหนผมก็มีความสุข นั่นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของผม
แต่ความสุขแบบนั้นก็ไม่ได้ยั่งยืน ครอบครัวผมเกลียดชังการข้องแวะกับคน โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือแบบต่างๆ แม้การให้กำลังใจก็เป็นเรื่องวิปริตสำหรับคนในบ้าน ทุกอย่างที่ผมทำไม่มีใครรู้ เมื่อผมจบมัธยม ทุกอย่างก็จบลงไปตามกัน คนที่ผมเคยแคร์เท่าไหน ทุกวันนี้ผมก็หายไปจากลานสายตาของคนเหล่านั้นแทบหมดสิ้น
ผมถูกส่งไปเรียนต่างประเทศ และที่นั่นเกือบจะไม่มีคนไทยเลย ในกลุ่มนักเรียนทั้งหลายซึ่งเป็นคนชาติเดียวกันนั้น มักพูดแต่ภาษาของตัวเองและไม่อาจเชื่อใจได้มากเท่ากับที่ผมเคยได้เจอ ผมพบปัญหากับคนเหล่านนั้นหลายครั้ง ที่สุดนั่นทำให้ผมแปลกแยกด้วยภาษาและใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว หลายเดือนของการใช้ชีวิตตามลำพัง เดินทางคนเดียว สำหรับหลายคนอาจจะปกติ แต่ผมรับรู้ได้ถึงอาการของตัวเองที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆจากบันทึกของผมเอง ทั้งการเปลี่ยนไปของการใช้คำ สำนวนการเขียนต่างๆที่เปลี่ยนไปจนผิดสังเกต ผมพยายามเข้ารับการรักษา แต่ที่นั่นมีกระบวนการที่ซับซ้อนวุ่นวาย แม้ผ่านมานานกว่าครึ่งปี การรักษาก็ยังไม่สามารถเริ่มได้เท่าใดนัก ยามผมเห็นใครทุกข์ ผมเคยเสนอตัวที่จะอยู่เคียงข้าง ผมพยายามที่จะสนับสนุนให้เขาเหล่านั้นผ่านช่วงเวลาต่างๆสุดกำลัง แต่ยามที่ผมทุกข์ ไม่มีใครซักคนอยากจะแลครอบครัวผมรังเกียจอาการเหล่านี้เช่นเดียวกับการต่อต้านสังคม ผมไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการอดทน
ผมไม่สามารถแสดงความรู้สึกใดๆได้ ผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้แสดงอารมณ์ต่างๆอย่างโกรธนั้นคือเมื่อไหร่ ผมเก็บทุกอารมณ์ไว้ยาวนาน ผมไม่สามารถปรึกษาใครได้ ด้วยข้อจำกัดทางภาษาและค่าใช้จ่ายเพื่อการปรึกษา (ราว 2300 บาทต่อชั่วโมง) ผมเดินไปตามอุโมงค์ที่มืดมิดด้วยหวังแสงปลายอุโมงค์ แต่ยิ่งเดินไปไกลก็เหมือนกับว่าแสงนั้นไม่มีอยู่จริง ผมไม่อาจเขียนรายละเอียดของเรื่องทั้งหมดลงในนี้ได้ ด้วยทุกคนที่ผมเคยพูดถึงเพียงแก่นของปัญหาและความรู้สึกโดยไม่มีโอกาสอธิบายเบื้องลึกเบื้องหลัง ล้วนตัดสินผมอยู่ร่ำไป ส่วนใครที่จะรับฟังทุกอย่างนั้นก็ไม่มี การจะกลับมารับการรักษาที่ไทยนั้นเป็นไปไม่ได้ ด้วยภาระที่รับมาแล้วนี้ หากกลับคือกลับตลอดไป ผมทิ้งที่นี่ไม่ได้
ผมเหยียบทุกอารมณ์จนเข้าใกล้ความรู้สึกที่เลวร้ายขึ้นในทุกขณะ ผมเฝ้ามองคนที่เคยเห็นอยู่รายรอบลืมผมไปทีละคนสองคน วันนี้แม้ผมเองก็เริ่มจะลืมตัวผมเองไปแล้วเหมือนกัน ตัวตนของผมเริ่มหายไปในทุกขณะ มีชีวิตอยู่ด้วยร่างกาย แต่จิตใจเหมือนตายไปแล้ว เฝ้าเพ้อฝันอยู่ในอดีตที่ผิดพลาด ละเมอว่าในช่วงเวลานั้นควรทำอะไรมากกว่าที่จะปล่อยให้เป็นไปแบบที่ผ่านมา อนาคตก็ไม่รู้เป็นอย่างไร ถ้าปัจจุบันยังสับสนแบบนี้
ครั้งหนึ่งที่ได้กลับมาไทย เคยใช้บริการสายด่วนสุขภาพจิต ซึ่งคุณเจ้าหน้าที่ตัดสินผมว่า ผมควรสนใจแต่การเรียนก็พอเรื่องอื่นๆไม่ต้องใส่ใจ ผมพยายามอธิบายทุกอย่างแล้ว แต่คุณเจ้าหน้าที่ก็ยังคงไม่รับฟัง ผมไม่เคยละการเรียนและยังไม่เป็นปัญหา แต่หากปัญหาอื่นๆเหล่านี้ทวีขึ้น เกรงว่าแม้กำแพงที่ผมกั้นการเรียนไว้จากปัญหาก็คงทานไว้ไม่ไหว เวลานั้นผมไม่อยากจะนึกเลย
ผมพยายามติดต่อเกือบทุกคนที่เคยรู้จัก ก่อนจะได้รับรู้ว่าผมไม่มีความหมายพอที่พวกเขาจะสนทนาด้วยเสียแล้ว ผมไม่อาจทำอะไรได้เลยนอกจากรอคอยให้เวลาผ่านไป ตั้งแต่ไม่กี่วันแรก ไม่กี่สัปดาห์แรก ไม่กี่เดือนแรก ผมรอคอยว่าปัญหาจะเจือจางลง แต่ไม่เป็นอย่างนั้นเลย ปัญหาทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมก็ยังได้เพียงเก็บเอาไว้ คนที่เห็นผมเคยบอกว่า ผมแกร่งมากที่ทนอยู่ได้ แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมพยายามทนไม่ให้อารมณ์ทั้งหมดที่เก็บไว้ระเบิดออก เพราะรู้ว่าหากเป็นเช่นนั้น การกลับมาเป็นโรคอีกครั้ง คือการเป็นไปตลอดชีวิต และครอบครัวผมคงไม่อาจยอมรับได้
ตัวตนในอดีตของผมละลายหายไปกับเวลา ความมืด หมอกครึ้ม และความอ้างว้างบนเกาะฝนพรำนี้ โซเชียลมีเดียไม่ได้ทำให้ใครใกล้กัน มีแต่ทำให้ผมได้เห็นทุกๆสิ่งที่เคยมีจากไปกับสายธารของกาลเวลา และผมก็ได้รับรู้มากขึ้นว่าผมกำลังถูกลืมจนจะหมดสิ้นเสียแล้ว ผมไม่รู้ว่าวันคืนเหล่านี้จะยาวนานไปถึงเมื่อไหร่ ผมทำผิดอะไรจึงต้องมาชดใช้ด้วยความทรมานนี้ ไม่เคยมีความรู้สึกครั้งใดจะทรมานเท่าความว่างเปล่านี้เลย ถ้าแม้ผมเลือกจะหายไปในสายลมได้ผมคงเลือกทางนั้นเสียดีกว่า แต่เพราะมันยังไม่อาจเป็นจริงได้ในวันนี้ ผมถึงต้องทนเจ็บช้ำอยู่กับทุกวินาทีอันขมขื่น ผมจำไม่ได้แล้วว่าการนอนหลับสนิทเป็นแบบไหน อาหารอร่อยเป็นอย่างไร ความสุขสดชื่นนั้นรสชาติแบบใด อะไรคือความอิ่มเอมของชีวิต วันนี้ผมไม่รู้อีกแล้ว
ผมไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี การรอคอยพบแพทย์แต่ละนัดหมายนานกว่าเดือน ทุกครั้งพบได้เพียง 10 นาที ผมไม่ทันอธิบายความรู้สึก เวลาก็หมดลง ผมถูกไล่ออกจากห้องเพื่อทำนัดหมายต่อไปในอีกกว่าเดือนหรืออย่างเร็วใน 3 สัปดาห์ ทุกครั้งไม่เคยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น มีแต่ทำให้แย่ลง และสิ้นหวังหมดศรัทธากับระบบเนชันแนลเฮลท์เซอร์วิสที่เขาชื่นชมนี้ ผมลองทุกทางที่เขาบอกว่าจะบรรเทาความรู้สึก แต่ไม่มีทางใดที่ช่วยผมได้ เพลงที่ผมเคยชอบก็น่าขยาด ผมมีเงินพอจะซื้อสิ่งต่างๆแต่ก็ไม่มีอะไรที่ผมต้องการ ไม่ว่าเสื้อผ้า โทรศัพท์ หรืออะไรที่เขาชอบซื้อหากัน ผมก็ไม่ได้ต้องการ มันไม่สามารถสร้างความสุขให้ผมได้
และที่เลวร้ายที่สุด คือเมื่อผมกลับมา เพื่อมาหาคนที่ผมรอคอยที่จะเจอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเขาจะไปอีกที่หนึ่ง และผมจะไม่มีโอกาสพบเขาอีกยาวนาน แต่เมื่อผมกลับมาถึง เขาก็ไม่ต้องการจะเจอผมอีกแล้ว คนคนเดียวที่เคยทำให้ผมมีความสุขได้เมื่อนานมาแล้ว คนที่เคยให้กำลังใจผมตลอดมา คนที่เป็นแรงให้ผมกล้าจะไปต่างประเทศโดยลำพัง (ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องแฟน คนรักในเชิงเพศใดๆทั้งสิ้น) ผมอยู่ที่นั่นยอมรับที่จะฝืนยิ้มสู้กับทุกปัญหา ทุกมารยาของคนที่แทงผมทั่วทั้งหลัง ทุกความโดดเดี่ยวเดียวดาย เพราะความรู้สึกที่มาจากคำพูดที่เคยออกจากปากของเขา ว่ายังมีเขาอยู่เสมอแม้ผมไม่เหลือใคร นั่นคือกำลังใจเดียวที่ผมเฝ้าสู้อยู่ตลอดและไม่เคยยอมแพ้ แต่วันนั้นเขาไม่ต้องการแม้จะพบผมด้วยซ้ำ ถึงผมยังคงฝืนไปเจอ และที่สุดสิ่งที่พบวันนั้นส่งผมกลับไปยังเกาะนั้นอย่างว่างเปล่านับแต่นั้น (คือผมช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้น) หลังจากวันนั้นผมก็ยิ่งทวีอาการลงเรื่อยๆ ผมพยายามระบายความรู้สึกให้ใครฟัง แต่ไม่มีใครรับฟังผมเลยแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะภาษาใดๆ
นานเข้าความรู้สึกและปัญหาอื่นๆก่อนหน้าที่เคยเหยียบไว้ด้วยกำลังใจนั้นก็เริ่มพลั่งพรูขึ้นมาทำลายความหวังอันน้อยนิดที่ยังหลงเหลืออยู่ท่ามกลางความว้าเหว่นั้น ความอัดอั้นมากขึ้นในทุกขณะ ผมพยายามหาสิ่งต่างๆมาช่วยบรรเทา แต่ก็ไม่มีผล ผมต้องการคนที่จะรับฟังโดยไม่ตัดสินผม คนที่เข้าใจเบื้องหลังของผม(เคยมีหลายคนรู้) ให้เวลาฟังผมได้ แต่ผมไม่มีเลย ไม่มีใครยอมรับฟังผมแม้แต่คนเดียว ไม่มี
ผมไม่รู้ว่าทำไมผมยังต้องทนอยู่แบบนี้ กรรมใดต้องใช้อีกเท่าใด เมื่อไหร่จะพ้นจากสิ่งเหล่านี้ จดหมายมากมายผมเขียนไว้ ฝากไว้กับคนที่ไว้ใจ ผมไม่บอกแต่เขาคงรู้ได้ ว่าทั้งหมด เป็นเหมือนสิ่งที่จะตอบคนอื่นๆหากผมทนอยู่ต่อไปไม่ได้
บางคนหากอ่านถึงตรงนี้อาจคิดว่าผมเจอแค่ปัญหาเดียวนั้น หรือไม่กี่ปัญหา แต่ที่ผมอยากบอกคือผมเจอปัญหามากกว่านั้น ผมทนมันมาตลอด ทนอย่างเคยมีความหวัง และทุกวันนี้ก็ยังทนอยู่ ผมจะทนได้นานแค่ไหน ผมยังตอบตัวเองไม่ได้เลย