สงสัยคะ ทำไม SM ชอบให้คัมแบควงในค่ายติดๆ กันงงมาก

มันจะแย่งถ้วย เก็บชาร์ตอะไรลำบากมากเลยเวลาจะชิงรางวัลอะไรที คะแนนหายหมด
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ปกติแล้วเวลาคัมแบคแต่ละครั้ง จะมีการขายอัลบั้มใช่ไหมคะ

ไลน์การผลิต การดีลคิวอัลบั้มหรือระบบพิมพ์ กระดาษ ทั่วไป  ที่ใช้ทำแบบโรงงานจะต้องเกี่ยวข้องกับคัมแบคทุกครั้ง

พวกนี้จะเน้นทำออกมาล็อตเดียว  ครั้งล่ะมากๆ เป็นการดิวทุกอย่างให้ใกล้เคียงต่อกันมากที่สุด เพราะจะได้เสียค่าใช้จ่ายทีเดียวจบ และมันจะมีส่วนลดพิเศษในแต่ะละรอบ  รวมไปถึงการดิววางตามห้างร้าน กระจายไปตามสายส่งต่างๆ  ดังนั้นเวลากะเกณท์ยอดต้องเอาให้พอดี ของขาดได้แต่ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ทำเพิ่ม หรือถ้าทำเพิ่มก็จะเป็นลักษณะผลิต On demand  ที่จะมีต้นทุนสูงกว่า เมื่อสั่งทำเพิ่มครั้งที่สอง มันจะมียอดสูญเสียอีก  ดังนั้นพอวงมันเยอะมากขึ้นก็จะทำรวดเดียวหลายวงนั่นล่ะ ถึงจะคนละวงก็ตาม  แต่ก็มาจากบริษัทเดียวกันอยู่แล้ว ระบบการผลิต สายส่งอะไรก็ชุดเดียว ใช้ทีมงานเดียวกันหมด  ซึ่งกระดาษเนี่ยราคาก็ไม่เท่ากันด้วยในแต่ละช่วงเวลา ต้องสั่งทำทีเดียวเป็นล็อต ทำเพลตชุดเดียวกันหมด ก็เห็นอยู่แล้วว่าอัลบั้มแต่ละวงหนามาก กระดาษเป็นรีมยังกับโฟโต้บุ๊ค ซีดีใส่มาแฟนคลับยังไม่รู้เลยมั้ง มันไปสำคัญตรงกระดาษ โฟโต้การ์ด ภาพไอดอลในอัลบั้มนี่ล่ะ ตัดภาพมาไอดอลได้เพิ่มมา 20 ถ้วย ดิจิตอลพุ่งปรี๊ด  ขายได้เพิ่มแสนนึง ? แต่เสียค่าใช้จ่ายบานตะไท ร้านเพลต โรงพิมพ์  ไม่คุ้มกันเลยค่ะ ขนาดว่าโรงพิมพ์ที่เกาหลีถูกกว่า (คุณภาพดีกว่า) ที่ไทยแล้วนะ

  ดังนั้นเวลาวางไทม์มิ่งการคัมแบค จะนึกถึงอะไรที่มากไปกว่าวงนั้นจะได้ถ้วยกี่ถ้วย ชนะในรายการเพลงกี่ครั้ง แต่จะเช็คไปถึงต้นทุนและกระบวนการที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายระหว่างทาง รวมถึงการดีลต่างๆ ที่เอื้อต่อการคัมแบคนั้น (บริษัทใหญ่ๆ มักจะเป็นแบบนี้เพราะไม่จำเป็นต้องสร้างพื้นที่สื่อจากการได้รางวัลให้มากเมื่อเทียบกับค่ายเล็ก เพราะหาพื้นที่สื่อเองได้ส่วนนึง บางครั้งก็ตัดหน้าหาโฆษณาเองได้ด้วยเพราะมีพาร์ทเนอร์ผูกไว้เป็นคอนเนคชั่นที่ดีลกันมานาน ) ถ้าใครมีโอกาสถามค่าย  เขาก็คงตอบคล้ายกับที่เราตอบนี่ล่ะ ถ้าค่ายนี้ยังทำงานเหมือนบริษัทอื่นทั่วโลกนะ เพราะระบบโรงพิมพ์ ระบบการผลิตเป็นล็อต ระบบดีลบริษัทใหญ่ๆ เขาก็ทำแบบนี้กันหมด จะต่างแค่ดีเทลปลีกย่อยก็ว่าไป


เอาจริงยอดขายจากอัลบั้มมันไม่เท่าไหร่ เพราะคนลงทุนคือบริษัท แต่ที่หวังผลคือปล่อยเพลงต่อยอดทำ ทัวร์ทำคอนเสิร์ตซึ่งตรงนี้จะได้เงินในภายหลัง และที่เห็นหลังๆ เบนมาขายของมากกว่าทำอัลบั้ม หรืองานเพลง เพราะค่าต้นทุนของ มันถูกกว่า ทำกำไรได้มากกว่า  แต่ขณะเดียวกันตัวแบรนด์ที่เป็นสัญลักษณ์ของวงต้องแข็งพอด้วย เลยจะเห็นว่าหลังๆ หลายค่ายจะให้ความสำคัญกับการออกแบบ ดีไซน์ สัญลักษณ์ต่างๆ ที่เป็นตัวแทนของวงพอๆ กับไอดอลเลยด้วยซ้ำ แล้วจะขายของก็ขายได้ไม่จำกัดช่วงเวลา ขึ้นอยู่กับไลน์ที่จะออก ไม่ต้องรอคัมแบค ไม่ต้องรออะไร อยากขายก็ขาย แค่เอาโลโก้ศิลปินแปะ ไม่ก็ให้มาไลฟ์ขายของนั่นล่ะ ยิ่ง sns แพร่หลาย นอกจากมาอัพเดตว่าตัวเองทำงานอะไรแล้ว ก็มานั่งขายของเหมือนทีวีไดเร็ค โฮมช้อปปิ้งนั่นล่ะ แค่เนียนหน่อยดูไม่ฮาร์ดเซล์ แต่เห็นทีไรก็ขำ บางอันคงเพิ่งเคยกินตอนไลฟ์ล่ะมั้ง หน้าบอกบุญไม่รับก็มี คงรสชาติแปลกๆ

แล้วยอดขายเยอะจำเป็นยังไง เพราะ ค่ายใช้ตรงนี้ไปเคลม กับลูกค้า ว่าวงนี้มีศักยภาพกระตุ้นยอดขาย ให้แฟนคลับ เฉพาะกลุ่ม  ซื้อตามสินค้าอื่นๆ อีก ที่ไม่ใช่แค่งานเพลง ซึ่งเด็กค่ายนี้ก็ไม่ค่อยมีปัญหาตรงนี้ ส่วนนึงตอนคัดมาแต่แรกก็ต้องหน้าตาดีด้วย  ไว้เป็นแรงจูงใจแล้วเพิ่มมูลค่าด้านอื่นพรีเซนเตอร์ส่วนมากก็พวกที่เด็กวัยรุ่นใช้กันนั่นล่ะ  แบรนด์ที่คุ้นหูบ่อยๆ ส่งตั้งแต่รุ่นพี่ยันรุ่นน้องในค่ายแบบทายาทอสูร

ดังนั้นแฟนคลับเฉพาะกลุ่มเยอะก็มีความสำคัญ จะเสื้อผ้า กระเป๋า  เครื่องสำอาง พรีเซนเตอร์ในด้านต่างๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า  ทำให้แบรนด์ต่างๆ สนใจจะร่วมงาน ยอมจ่ายเพื่อจะอัพยอดขายทางแบรนด์นั้น เป็นอุตสาหกรรมไอดอลครบวงจรเต็มตัว ขายดะทุกอย่างที่ไม่จำกัดแค่เพลงอีกต่อไป  โดยทาร์เก็ตของไอดอลแต่ละวงก็จะต่างกันเพื่อเจาะผลิตภัณท์ในท้องตลาดที่จะขายให้ต่างกัน ไม่งั้นไม่ออกวงมาเยอะมากมายขนาดนี้ (บริหารไงให้เท่าเทียมกันไหมนี่อีกเรื่อง ) ด้วยความที่เน้นความเฉพาะกลุ่มเกินไป  ในเชิงพับลิคก็ไม่ดีเหมือนกันโดยเฉพาะวงชาย เพราะต้องการยอดขายที่แน่นอนจากกลุ่มแฟนเฉพาะกลุ่มที่แน่นอนเท่านั้น แต่มีหลายวงไง ก็ช่วยกันทำงานเน้น ภาพรวม

สำหรับแพคเกจเรียบหรูดูไม่ติ่งมาก วงรุ่นพี่ก็รับไปอะไรงี้   เด็กๆ หน่อยก็ของน่ารัก สีสันสดใส วัยรุ่น ดังนั้นถ้ามีใครทำอะไรทับทางค่ายแม้จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ค่ายจะลงดาบแรงมาก เรื่องงานเพลงน่ะไม่เท่าไหร่หรอก มันไปจี้จุดใต้ตำตอตรงนี้ เพราะเป็นวิธีการหาเงินในรูปแบบเดียวกันจากการสร้างแบรนด์ที่เรียกว่าวง แล้วไปหาเงินต่อในรูปแบบของสินค้าต่างๆ

แต่ยุคแรกที่ไอดอลไม่บูม ก็ต้องพึ่งเพลงก่อน ตอนนี้ก็อย่างที่เห็น เทสต์ใครเทสต์มันล่ะกัน


ในขณะที่การทำอัลบั้มหรือเพลงต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า มีจำกัดช่วงเวลา รอทำเพลงนั่นนี่ รอคิว เคลียร์คิว  แต่เป็นไอดอลเคป็อป เดบิวบอยแบนด์ เกิร์ลกรุ๊ป ไม่ร้องเต้นแล้วจะทำอะไร ยังไงก็ต้องออกงานเพลง ไม่ออกก็รวมฮิตของเดิม ทัวร์วนไปก็ยังดี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายทำอัลบั้มใหม่ ก็ยังได้เงินเหมือนกัน แต่แฟนคลับอาจต้องฟังเพลง ดูการแสดงเดิมไปก่อน

  ที่เคยได้ยินกันว่าศิลปินได้คนละไม่กี่บาท ถ้าเป็นอัลบั้มก็นั่นล่ะ แถมคืนทุนช้ากว่าเพราะกว่าจะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ไปรอช่วงคอนเสิร์ตนู่นเลย ตรงนี้ก็ขึ้นกับค่ายอีกว่าเน้นอะไร ถ้าเป็นค่ายที่เน้นทัวร์ แพทเทิร์นจะไม่ต่างกันมาก ถ้าถามถึง SM ก็สองอย่างล่ะ ของ + ทัวร์ งานเพลงดูจะโฟกัสน้อยลงเมื่อเทียบกับสมัยก่อนและจะเป็นสาเหตุที่แฟนคลับส่วนนึง จะไม่ค่อยโอเค โดยเฉพาะบริษัทที่ปรับตัวเป็น Business  แบบเต็มตัว  มีพาร์ทเนอร์ที่ต้องดีลเยอะๆ จะนึกถึงใจแฟนคลับที่มีต่อวงใดวงหนึ่งน้อยลง แต่นึกถึงพารทเนอร์กับคอนเนคชั่นของตัวเองมากขึ้นและภาพรวมขององค์กร

ถ้าเป็น SM ก็เห็นอยู่แล้วว่าพนักงานเขาไม่ได้น้อยในวันจัดเวิร์คช็อป แล้วสั่งให้ไอดอลไปร่วมงานเหมือนเป็นพนักงานปกติ มันจะให้ฟีลต่างกันมากๆ กับวงนึงที่เลี้ยงทั้งค่าย และค่ายให้ความสำคัญไว้บนจุดสูงสุด จะเห็นการทรี้ตและความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด โดยที่อันหลังได้ใจแฟนคลับมากกว่า เพราะเน้นที่ตัวไอดอลในเบื้องต้นก่อน ส่วนนึงเพราะยังมีวงไม่มาก ทุกค่ายทุกวงมีปัญหาหมด แค่ต่างรูปแบบ แต่ถ้าบริษัทมีพนักงานเยอะ โอกาสจะถูกเพ่งเล็งและ โดนตั้งคำถามจากภายนอกมากกว่า ไม่เฉพาะกับค่ายเพลงเกาหลี แต่ทุกบริษัททั่วโลก เฟซบุ๊ค กูเกิ้ล อเมซอนมีหมด หรือแม้แต่บริษัทในไทยดังๆ ท็อปประเทศ


กลับมา ในส่วนของขาดสต็อค ถ้าเป็นวงหรือ อัลบั้ม นิตยสารต่างๆ นานาๆ พวกนี้ไม่จำเป็นก็ไม่ค่อยอยากสั่งทำใหม่อีกล็อตนึง เว้นซะว่าจะมากแบบเท่าตัวเลย นั่นอาจจะคุ้มค่าหน่อย  ที่ของขาดตลอด แล้วไม่ค่อยผลิตเพิ่มก็เพราะเหตุนี้ล่ะ  ถ้าเหลือปุ๊ป มีการเรียกเก็บคืนจากบริษัท  มันก็เหมือนกองอะไรสักอย่าง ที่เอาไปทำ ต่อยอดอะไรไม่ได้ เพราะคนที่ฟังมันก็คือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น  ต่อให้แฟนคลับจะซื้อขนาดถมบ้านก็เถอะ มันก็ไม่ Sold out จริงๆ หมดท้องตลาดอยู่ดี

พอมาคิดในเชิงตัวเงินเอง ทุกบริษัทกับความต้องการของไอดอล หรือแฟนคลับตรงนี้จะไม่ตรงกันอยู่แล้ว   ศิลปินเองก็เป็นคนทำงานก็ต้องน้อยใจบ้างล่ะ ก็วงตัวเองอ้ะนะ เห็นน้อยใจบ่นบริษัทก็บ่อยไป  ไหนจะแฟนคลับ อยากได้ถ้วย ยอดขายที่จะเอาไปโชว์ต่อได้ หรือจะทำสถิติ ประกาศศักดา ไปตีกันระหว่างด้อม ขิงอะไรกันก็แล้วแต่

ตัวบริษัทก็อยากได้เหมือนกัน หมายถึงทุกบริษัทแต่พอไปคำนวนทุกอย่างแล้ว ก็เลือกทางที่ตัวเองจะเสียน้อย แต่ให้ได้มากที่สุดในแง่ตัวเงิน รวมไปถึงการดิวพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ  เพราะต่อจากอัลบั้มมันก็ยังมีพวกคอนเสิร์ต ที่จ่อคิวรออยู่ พวกนี้ไปติดต่อสถานที่ล่วงหน้า กับบุคคลที่ 3 ไม่ใช่จะแค่ตัวบริษัทกับแฟนคลับที่เป็นบุคคลที่ 1 และ 2  ซึ่งมีการดิว ขายทัวร์ทางเอเจนซีก่อนหน้า  จะกำหนดวันคัมแบคตามสถานีช่องหลักด้วยซ้ำ  ดังนั้นพวกแฟนคลับบางคนจะรู้ว่าวงไหนคัมแบคก่อนค่ายจะประกาศก็อาจจะได้ข่าวมาจากเอเจนซีพวกนี้ที่มาขายตั๋วให้ หรือสปอยล์คัมแบคที่ว่าแม่นนักแม่นหนานี่แหละ  เขาแค่รู้ก่อนแต่อาจไม่รู้ดีเทล วันเป๊ะๆ ฟันธง 100 % เพราะค่ายก็ต้องมีดีลภายในอีก  แถมชอบเลื่อนอีก ตรงนี้นอกเหนือเอเจนซี่จะรู้ได้   ไม่ก็ต้องวันใกล้มากๆ นั่นล่ะ ถึงจะบอกวันมาให้ หรือไม่ก็พวกขายทัวร์ต้องระบุวันโดยตรง  คือพวกนี้ถ้าไม่ขายของก็ไม่บอกเพราะตัวเองก็ได้ผลประโยชน์  จะเรียกวงในก็ได้ล่ะมั้ง แต่เป็นวงในที่ตัวเองก็ได้เงินด้วย

บอกวันเป๊ะๆ ไปก็ไม่ได้อะไร  เอาแค่ช่วงเวลาคร่าวๆ ก็พอ แต่ต่างกับแฟนคลับที่ต้องการจะเห็นผลงานใหม่ อยากรู้วันที่แน่นอน ก็นั่งเดาเลข เดาอะไรวนไป รอทีเซอร์เด้งไปตามเรื่องตามราว  

ต่อไปในอนาคตพอวงในค่ายเยอะขึ้นกว่านี้ จะทับกันมากกว่านี้อีกเพราะเวลาดิวกันทีจะทำเป็นล็อต รวดเดียว ใกล้เคียงกัน และพารทเนอร์ที่ใช้ก็มักจะเป็นเจ้าเดิมๆ นั่นล่ะ สะดวกทุกอย่างเว้นแฟนคลับกับเงินในกระเป๋าตังค์ ถ้าชอบหลายๆ วงในค่ายล่ะนะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่