อารัมภบท
ข้อมูลนี้เป็นการนำเอาเรื่องราวของความขัดเเย้งในการเมืองประเทศคิวบาและสหรัฐอเมริกา เพื่อนำเสนอข้อมูลทางทหาร โดยมิได้มีเจตนาเพื่อการปลุกปั่นหรือยุยงให้เกิดความแตกแยกใดใด
อนึ่ง บทความต่อไปนี้ ข้าพเจ้าได้นำไปโพสต์ยังเพจ"เมื่อมอดไหม้ ไฟสงคราม"อยู่ก่อนหน้านี้ โดยหวังว่าข้อมูลดังต่อไปนี้ อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งแก่ท่านผู้สนใจใคร่ศึกษา หากแต่ข้อมูลและบทความนี้มีข้อผิดพลาดประการใดแล้วไซร้ ข้าพเจ้าจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
https://www.facebook.com/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1-180066308851476/

Operation 40 members taken at a nightclub in Mexico City January 22nd, 1963 (Mexico City at that time was the operations hub for the CIA).
ยาพิษ ไม่เลือกผู้ดื่ม !
ภายหลังการปฏิวัติคิวบาโดยขบวนการ 26 กรกฎาคมของฟีเดล คาสโตร ได้เป็นผลสำเร็จ ในปี ค.ศ. 1959 ฟุลเคนเซียว บาติสตา ผู้นำรัฐบาลเผด็จการคิวบาจึงถูกขับออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1959 และได้ลี้ภัยไปยังสหรัฐฯ รัฐบาลคิวบาถูกแทนที่ด้วยรัฐบาลปฏิวัติของคาสโตร ซึ่งต่อมาคณะรัฐบาลคาสโตรได้ปฏิรูประบอบการปกครอง และระบบเศรษฐกิจตามแนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์ ด้วยการยึดกิจการของเอกชนที่เป็นบริษัทพาณิชย์ข้ามชาติที่เป็นกลุ่มทุนเสรีนิยม โดยเฉพาะบริษัทและธนาคารกิจการที่เป็นสัญชาติอเมริกันทั้งหมดในคิวบา ภายหลังจากการเข้าปฏิวัตินี้ ยังผลให้เกิดความอลหม่าน ไม่พอใจต่อการปฏิรูปเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ โดยกลุ่มคนคิวบาที่มีแนวคิดแบบประชาธิปไตยฝ่ายขวา ผู้ต่อต้านหลายคนถูกจับขังลืม หนทางรอดเดียวของคนคิวบาพวกนี้คือการลี้ภัยไปยังสหรัฐฯ ใครที่หนีออกจากคิวบาไป รัฐบาลคาสโตรจะยึดทรัพย์สินทั้งหมดของบุคคลนั้น และถือว่าบุคคลนั้นได้ถูกเนรเทศจากคิวบา ไม่มีสิทธิ์ใดๆในคิวบาอีก

.....นั่น ถือว่าพวกเขาได้เลือกข้างอย่างชัดเจนแล้ว.....

(Fulgencio Batista)
ชุมชนขนาดใหญ่ของผู้ลี้ภัยตั้งอยู่ในหลายพื้นที่รอบนอก ทั้งไมอามี่, แจ็กสันวิล, ลาสเวกัส, ฟลอริด้าในเมืองดัลลัส ฯ มันถูกจัดขึ้นตั้งแต่ปี 1959 ให้เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนคิวบาที่ตามหลังด้วยคำว่า"พลัดถิ่นหรือเนรเทศ" หนึ่งในผู้ลี้ภัยนั้นรวมถึง "ซิลเวีย โอดิโอ" (Silvia Odio) ซิลเวีย เป็นบุตรสาวของนาย อมาดอร์และนาง ซาราห์ โอดิโอ (Amador & sarah Odio) เธอเป็นหนึ่งในพี่น้องจำนวนสิบคน ที่เติบโตมาท่ามกลางกระแสสังคมในสงครามเย็น วิถีชีวิตความเป็นอยู่เมื่อครั้นอาศัยอยู่ที่คิวบาคงดำเนินไปด้วยความเป็นปกติสุข ซึ่งความเป็นปกติสุขของชนคิวบานั้นก็อยู่ในท่ามกลางกรงเล็บเผด็จการขวาจัดของบาติสตา ต่อเมื่อขบวนการปฏิวัติของคาสโตรและเช กูวาราได้ทำลายกำแพงชนชั้นศักดินาลงได้สำเร็จ รัฐบาลคาสโตรก็ดำเนินรอยตามเผด็จการไม่ต่างจากลัทธิปกครองอื่นๆ ซิลเวียและครอบครัวมีความชื่นชมในขบวนการปฏิวัตินี้ แต่ไม่ใช่กับระบอบคอมมิวนิสต์ของรัฐบาลคาสโตร ครอบครัวของเธอเริ่มแสดงแนวคิดต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด และมันแจ่มชัดมากยิ่งขึ้นว่ารัฐบาลคาสโตรต้องไม่ปล่อยครอบครัวเธอไว้แน่ นั่นเพราะในปี ค.ศ. 1962 "อมาดอร์" พ่อของเธอตกเป็นจำเลยในคดีพยายามลอบสังหารผู้นำคิวบา ระหว่างที่อมาดอร์กำลังถูกส่งตัวไปคุมขังยังเกาะ Pines ซิลเวียและครอบครัวก็ลี้ภัยไปที่ดัลลัส สหรัฐอเมริกาเป็นที่เรียบร้อย...
ในหมู่บ้านย่อมมีผู้ดูแล เช่นเดียวกันกับชุมชนคิวบาในดัลลัสนี้ก็มีองค์กรหนึ่ง ? คอยดูแล สอดส่อง และแสวงหาบุคคลเพื่อสร้างเป็นแนวร่วมต่อต้านคาสโตร ชาย-หญิงคิวบาพลัดถิ่นหลายคนที่นี่ถูกส่งตัวเข้ารับการฝึกการจารกรรม และการลอบสังหาร แนวร่วมพวกนี้ใช่ว่าจะต้องทำการรบเป็นอย่างเดียว แต่เขาจะได้รับการฝึกให้สามารถทำการจารกรรมข้อมูลต่างๆ ได้ หรือให้บุคคลผู้มีความสามารถด้านการข่าวทำการสอดแนม หรือช่วยงานด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่อองค์กรใต้ดิน เพื่อร่วมสมทบทุนจัดตั้งองค์กร "Revolucionaria"
...เอ่อ...ร่วมสมทบทุนในที่นี่คือการ"ลงขันฆ่า" ฟีเดล คาสโตรและผู้นำคิวบาคนอื่นๆ
หนึ่งในผู้ที่ถูกหมายตาให้ช่วยทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์นี้ คือ ซิลเวีย โอดิโอ.
หลังจากการปฏิวัติคิวบาได้สิ้นสุดลงในต้นปี 1959 รัฐบาลคาสโตรเริ่มดำเนินนโยบายต่อต้านลัทธิทุนนิยมอย่างเฉียบขาด ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนคิวบาที่ลี้ภัยก็เริ่มเคลื่อนไหวต่อต้านคาสโตรอย่างรุนแรงเช่นกัน หากดูเพียงผิวเผิน คาสโตรเป็นเพียงชายหนุ่มใจดี ยิ้มง่าย ไม่ถือตัว ในสายตาชนชั้นกรรมาชีพแล้ว คาสโตรและเช กูวารา พวกเขาคือวีรบุรุษของชาวคิวบาโดยแท้จริง แต่ในทางกลับกัน ภายใต้รัฐบาลนี้ได้ดำเนินการสังหารฝ่ายต่อต้านไปมากถึง 3,165 คน ผู้ถูกกล่าวหากระทำการต่อต้านหลายพันคนถูกจับกุมหรือหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหตุการณ์เหล่านี้ยังคงมีให้เห็นเสมอโดยนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 1959 เป็นต้นมา ถึงแม้คิวบาในยุคนั้นจะดูป่าเถื่อนในสายตาทุนนิยม เพราะวิธีการจำกัดบริษัทพาหุชาติทุนนิยม และเนรเทศคนคิวบาฝ่ายขวาออกจากประเทศไป แต่ความจริงแล้ว รัฐบาลคาสโตรก็ไม่มีนโยบายปิดประเทศแต่อย่างใด เพียงแต่ปิดกั้นไม่ให้มีกล่มทุนนิยมใดๆเข้าตักตวงผลประโยชน์ประเทศเหมือนในยุคบาติสตา คิวบายังมีการต้อนรับนักท่องเที่ยวมาโดยตลอด และด้วยเหตุนี้เอง กลุ่มจารชนที่ได้รับการฝึกโจรกรรม ก่อวินาศกรรมจากสหรัฐฯ ก็ทยอยเข้าแถวปฏิบัติการทำลายรัฐบาลคาสโตรอย่างเป็นลำดับ.....
.....ช่วงสายของวันที่ 11 ธันวาคม ปี 1959 เอกสารลับซึ่งภายในบันทึกข้อความอันเป็นบทวิเคราะห์สถานการณ์ความเคลื่อนไหวของสหภาพโซเวียตในคิวบา มันถูกส่งเข้ายังทำเนียบขาวโดยพันเอก โจเซฟ คาเวล คิง ( J.C. King ) หัวหน้าฝ่ายยุทธการ C.I.A ประจำภาคพื้นส่วนซีกโลกตะวันตก ได้ส่งข้อมูลบทวิเคราะห์ดังกล่าวให้นาย อัลเลน ดัลเลส ( Allen W. Dulles) ผู้อำนวยการใหญ่ C.I.A ได้ประเมินสถานการณ์ โดยร่วมประชุมลับกับรอง ปธน. ริชาร์ด นิกสัน (Richard M. Nixon) ,พลเรือตรี อาร์เลห์ เบิร์ค (Arleigh Burke) ,รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของฝ่ายการเมือง นาย ลิฟวิงสตัน มาร์ดจ (Livingston T. Merchant) ,ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ นายกอร์ดอน เกรย์ (Gordon Gray) แผนงานประชุมลับได้ถูกจัดขึ้นอย่างเร่งด่วน ซึ่งหัวข้อในการประชุมในวันนั้นมุ่งหมายปฏิบัติการเพื่อล้มล้างรัฐบาลคาสโตร และความพยายามหยุดยั้งการแพร่ขยายลัทธิคอมมิวนิสต์โซเวียตในภูมิภาคลาตินอเมริกา
มติในที่ประชุมเห็นชอบให้นายเทรซี่ บาร์นส์ (Tracy Barnes) เป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการเฉพาะกิจ Cuban Task Force. โดยในวันที่ 18 มกราคม 1960 บาร์นส์จึงประชุมวางแผนการดำเนินงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ C.I.A สหายเก่าตัวฉกาจ 5 นาย ซึ่งเคยได้ร่วมงานกันรัฐประหารประเทศกัวเตมาลาในปี 1954 มาแล้วในอดีต อันได้แก่

- ฟิลลิป (David Atlee Phillips)

- เอสเตอร์ไลน์ (Jacob Jake Esterline)

- ฮันท์( E. Howard Hunt)

- โดรเลอร์(Gerry Droller (ไม่มีรูป) โดรเลอร์เกิดที่เยอรมันในปี 1905 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาทำงานให้สหรัฐอยู่ในสำนักงานบริการยุทธศาสตร์ (OSS) หลังจบสงครามก็ลอกคราบเป็นซี.ไอ.เอ และในช่วงต้นปี 1960 เขามีส่วนร่วมกลุ่มต่อต้านคาสโตรและหน่วย Operation 40)

- โมราเลส (David Sánchez Morales)
แผนงานสรุปของบาร์นส์ในการประชุมครั้งนี้ คือ สรรหาบุคคลเข้ารับการฝึกทหารเพื่อดำเนินสงครามกองโจร และดำเนินกิจกรรมเคลื่อนไหวต่อต้านคาสโตรทุกรูปแบบ เพียงเวลาไม่นานนัก กลุ่มต่อต้านคาสโตร 40 คนแรกจึงถูกคัดสรรเข้ามา โดยใช้ชื่อรหัสโครงการนี้ว่า "OPERATION 40" และในอนาคตจะขยายบุคคลากรเพิ่มเติมอีกประมาณ 700 คน แผนปฏิบัติการนั้นได้ผ่านความเห็นชอบจาก ปธน. ไอเซนฮาว จึงมีคำสั่งอนุมัติภารกิจทันทีในวันที่ 17 มีนาคม 1960 ไอเซนฮาวได้ลงนามในคำสั่งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการต่อต้านรัฐบาลคิวบา และการให้อำนาจซีไอเอในการปฏิบัติการแทรกซึม และจัดให้ผู้ลี้ภัยชาวคิวบาได้รับการฝึกและติดอาวุธ
หน่วยปฏิบัติการ 40 นี้ ไม่เพียงแต่มีจุดประสงค์ในการก่อวินาศกรรมเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการโฆษณาชวนเชื่อทำลายรัฐบาลคาสโตร ลอบสังหารบุคคลสำคัญในคิวบา และการรณรงค์ ปลุกระดมคน ซึ่ง ณ เวลานั้น ภารกิจของบาร์นส์เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในเดือนพฤษภาคม 1960 ด้วยกำลังคนจากผู้อพยพคิวบาที่สมัครใจเข้ารับการฝึกทหารราบจำนวนหลายร้อยคน และจัดตั้งเป็นกองพลที่ 2506 (Brigada Asalto 2506) ดำเนินการฝึกทางยุทธวิธียังฐานฝึกของ C.I.A บริเวณชายฝั่งแปซิฟิกในกัวเตมาลา แผนงานฝึกคนคิวบาพลัดถิ่นนี้คงดำเนินควบคู่กันไปกับที่จารชนสายลับคนอื่นๆ ก็ปฏิบัติงานของตนเช่นกัน.....

.....ก่อนหน้านี้ที่จะมีการรับสมัครทหารราบคิวบา สายลับหญิงคนหนึ่งได้รับมอบหมายภารกิจสังหารคาสโตรตั้งแต่ปี 1960 ....

.....มาริต้า ลอเรนซ์ (Marita Lorenz) สาวสวยวัย 20 ปี ลูกครึ่งอเมริกัน-เยอรมัน ผู้ซึ่งมีอดีตอันน่าเจ็บปวดในค่ายกักกันเด็กที่ Bergen-Belsen ของนาซีเยอรมัน มาริต้าเคยเดินทางไปเยือนคิวบาในเดือนกุมพาพันธ์ปี 1959 เธอพักอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งในฮาวานา ช่วงสายของวันนั้นโรงแรมที่เธอพักอยู่ก็เต็มพรึบไปด้วยทหารของรัฐบาลคิวบา ภาพเก่าๆในอดีตซึ่งเต็มไปด้วยความรุนนแรงของกลุ่มทหารที่เคยกระทำกับเธอไว้เริ่มผุดออกมาจากมโนสำนึก มันทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัย เธอกระวนกระวายใจทุกครั้งที่มองลอดหน้าต่างออกไปเจอกับกลุ่มชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบสนาม พลันเสียงเคาะประตูห้องเธอดังขึ้น
.....knok knok knok....
ประตูห้องถูกเปิดออก บริกรหนุ่มยืนมองเธอด้วยสายตาปกติ แต่ชายคนหนึ่งในชุดสนามสีเขียวซึ่งกำลังคาบซิกก้ามวนใหญ่ยืนอยู่ด้านหลัง เขามองจ้องมาที่เธอ เขาเดินเข้ามาภายในห้อง สายตามองกวาดไปรอบๆห้อง แล้วดวงตาที่ดูใสซื่อของเขาก็หยุดจ้องนัยย์ตาเธอ โลกภายนอกหยุดสงบนิ่ง แต่หัวใจของเธอกลับเต้นล้านไมล์ต่อหนึ่งนาที ทันทีที่มาริต้าสบตากับชายผู้นั้น เขาเอ่ยถามเธอ " คุณมีที่เขี่ยบุหรี่มั้ย ?"..... เธอหลงรักเขาทันที นี่คงเป็นรักครั้งแรกที่ยิ่งใหญ่ระหว่างสาวโลกเสรีกับคาสโตรชายหนุ่มจากโลกคอมมิวนิสต์.....
.....แต่หลังจากนั้นหลายเดือนถัดมา.....
คำถามแรกที่ระทึกใจมาริต้า ที่คาสโตรกระเซ้าเย้าแหย่เธอในการพบกันครั้งแรก มันเปลี่ยนไปในการถามครั้งที่สองที่ระทึกใจทั้งคู่ มันร้าวระบมในหัวอกลูกผู้ชายอย่างคาสโตร
"คุณมาที่นี่ เพื่อฆ่าผมใช่มั้ย?"
OPERATION 40 ลงขันฆ่า...!? องค์กรมหาประลัย C.I.A. (ตอนที่1)
ข้อมูลนี้เป็นการนำเอาเรื่องราวของความขัดเเย้งในการเมืองประเทศคิวบาและสหรัฐอเมริกา เพื่อนำเสนอข้อมูลทางทหาร โดยมิได้มีเจตนาเพื่อการปลุกปั่นหรือยุยงให้เกิดความแตกแยกใดใด
อนึ่ง บทความต่อไปนี้ ข้าพเจ้าได้นำไปโพสต์ยังเพจ"เมื่อมอดไหม้ ไฟสงคราม"อยู่ก่อนหน้านี้ โดยหวังว่าข้อมูลดังต่อไปนี้ อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งแก่ท่านผู้สนใจใคร่ศึกษา หากแต่ข้อมูลและบทความนี้มีข้อผิดพลาดประการใดแล้วไซร้ ข้าพเจ้าจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
https://www.facebook.com/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1-180066308851476/
Operation 40 members taken at a nightclub in Mexico City January 22nd, 1963 (Mexico City at that time was the operations hub for the CIA).
ยาพิษ ไม่เลือกผู้ดื่ม !
ภายหลังการปฏิวัติคิวบาโดยขบวนการ 26 กรกฎาคมของฟีเดล คาสโตร ได้เป็นผลสำเร็จ ในปี ค.ศ. 1959 ฟุลเคนเซียว บาติสตา ผู้นำรัฐบาลเผด็จการคิวบาจึงถูกขับออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1959 และได้ลี้ภัยไปยังสหรัฐฯ รัฐบาลคิวบาถูกแทนที่ด้วยรัฐบาลปฏิวัติของคาสโตร ซึ่งต่อมาคณะรัฐบาลคาสโตรได้ปฏิรูประบอบการปกครอง และระบบเศรษฐกิจตามแนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์ ด้วยการยึดกิจการของเอกชนที่เป็นบริษัทพาณิชย์ข้ามชาติที่เป็นกลุ่มทุนเสรีนิยม โดยเฉพาะบริษัทและธนาคารกิจการที่เป็นสัญชาติอเมริกันทั้งหมดในคิวบา ภายหลังจากการเข้าปฏิวัตินี้ ยังผลให้เกิดความอลหม่าน ไม่พอใจต่อการปฏิรูปเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ โดยกลุ่มคนคิวบาที่มีแนวคิดแบบประชาธิปไตยฝ่ายขวา ผู้ต่อต้านหลายคนถูกจับขังลืม หนทางรอดเดียวของคนคิวบาพวกนี้คือการลี้ภัยไปยังสหรัฐฯ ใครที่หนีออกจากคิวบาไป รัฐบาลคาสโตรจะยึดทรัพย์สินทั้งหมดของบุคคลนั้น และถือว่าบุคคลนั้นได้ถูกเนรเทศจากคิวบา ไม่มีสิทธิ์ใดๆในคิวบาอีก
.....นั่น ถือว่าพวกเขาได้เลือกข้างอย่างชัดเจนแล้ว.....
(Fulgencio Batista)
ชุมชนขนาดใหญ่ของผู้ลี้ภัยตั้งอยู่ในหลายพื้นที่รอบนอก ทั้งไมอามี่, แจ็กสันวิล, ลาสเวกัส, ฟลอริด้าในเมืองดัลลัส ฯ มันถูกจัดขึ้นตั้งแต่ปี 1959 ให้เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนคิวบาที่ตามหลังด้วยคำว่า"พลัดถิ่นหรือเนรเทศ" หนึ่งในผู้ลี้ภัยนั้นรวมถึง "ซิลเวีย โอดิโอ" (Silvia Odio) ซิลเวีย เป็นบุตรสาวของนาย อมาดอร์และนาง ซาราห์ โอดิโอ (Amador & sarah Odio) เธอเป็นหนึ่งในพี่น้องจำนวนสิบคน ที่เติบโตมาท่ามกลางกระแสสังคมในสงครามเย็น วิถีชีวิตความเป็นอยู่เมื่อครั้นอาศัยอยู่ที่คิวบาคงดำเนินไปด้วยความเป็นปกติสุข ซึ่งความเป็นปกติสุขของชนคิวบานั้นก็อยู่ในท่ามกลางกรงเล็บเผด็จการขวาจัดของบาติสตา ต่อเมื่อขบวนการปฏิวัติของคาสโตรและเช กูวาราได้ทำลายกำแพงชนชั้นศักดินาลงได้สำเร็จ รัฐบาลคาสโตรก็ดำเนินรอยตามเผด็จการไม่ต่างจากลัทธิปกครองอื่นๆ ซิลเวียและครอบครัวมีความชื่นชมในขบวนการปฏิวัตินี้ แต่ไม่ใช่กับระบอบคอมมิวนิสต์ของรัฐบาลคาสโตร ครอบครัวของเธอเริ่มแสดงแนวคิดต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด และมันแจ่มชัดมากยิ่งขึ้นว่ารัฐบาลคาสโตรต้องไม่ปล่อยครอบครัวเธอไว้แน่ นั่นเพราะในปี ค.ศ. 1962 "อมาดอร์" พ่อของเธอตกเป็นจำเลยในคดีพยายามลอบสังหารผู้นำคิวบา ระหว่างที่อมาดอร์กำลังถูกส่งตัวไปคุมขังยังเกาะ Pines ซิลเวียและครอบครัวก็ลี้ภัยไปที่ดัลลัส สหรัฐอเมริกาเป็นที่เรียบร้อย...
ในหมู่บ้านย่อมมีผู้ดูแล เช่นเดียวกันกับชุมชนคิวบาในดัลลัสนี้ก็มีองค์กรหนึ่ง ? คอยดูแล สอดส่อง และแสวงหาบุคคลเพื่อสร้างเป็นแนวร่วมต่อต้านคาสโตร ชาย-หญิงคิวบาพลัดถิ่นหลายคนที่นี่ถูกส่งตัวเข้ารับการฝึกการจารกรรม และการลอบสังหาร แนวร่วมพวกนี้ใช่ว่าจะต้องทำการรบเป็นอย่างเดียว แต่เขาจะได้รับการฝึกให้สามารถทำการจารกรรมข้อมูลต่างๆ ได้ หรือให้บุคคลผู้มีความสามารถด้านการข่าวทำการสอดแนม หรือช่วยงานด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่อองค์กรใต้ดิน เพื่อร่วมสมทบทุนจัดตั้งองค์กร "Revolucionaria"
...เอ่อ...ร่วมสมทบทุนในที่นี่คือการ"ลงขันฆ่า" ฟีเดล คาสโตรและผู้นำคิวบาคนอื่นๆ
หนึ่งในผู้ที่ถูกหมายตาให้ช่วยทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์นี้ คือ ซิลเวีย โอดิโอ.
หลังจากการปฏิวัติคิวบาได้สิ้นสุดลงในต้นปี 1959 รัฐบาลคาสโตรเริ่มดำเนินนโยบายต่อต้านลัทธิทุนนิยมอย่างเฉียบขาด ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนคิวบาที่ลี้ภัยก็เริ่มเคลื่อนไหวต่อต้านคาสโตรอย่างรุนแรงเช่นกัน หากดูเพียงผิวเผิน คาสโตรเป็นเพียงชายหนุ่มใจดี ยิ้มง่าย ไม่ถือตัว ในสายตาชนชั้นกรรมาชีพแล้ว คาสโตรและเช กูวารา พวกเขาคือวีรบุรุษของชาวคิวบาโดยแท้จริง แต่ในทางกลับกัน ภายใต้รัฐบาลนี้ได้ดำเนินการสังหารฝ่ายต่อต้านไปมากถึง 3,165 คน ผู้ถูกกล่าวหากระทำการต่อต้านหลายพันคนถูกจับกุมหรือหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหตุการณ์เหล่านี้ยังคงมีให้เห็นเสมอโดยนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 1959 เป็นต้นมา ถึงแม้คิวบาในยุคนั้นจะดูป่าเถื่อนในสายตาทุนนิยม เพราะวิธีการจำกัดบริษัทพาหุชาติทุนนิยม และเนรเทศคนคิวบาฝ่ายขวาออกจากประเทศไป แต่ความจริงแล้ว รัฐบาลคาสโตรก็ไม่มีนโยบายปิดประเทศแต่อย่างใด เพียงแต่ปิดกั้นไม่ให้มีกล่มทุนนิยมใดๆเข้าตักตวงผลประโยชน์ประเทศเหมือนในยุคบาติสตา คิวบายังมีการต้อนรับนักท่องเที่ยวมาโดยตลอด และด้วยเหตุนี้เอง กลุ่มจารชนที่ได้รับการฝึกโจรกรรม ก่อวินาศกรรมจากสหรัฐฯ ก็ทยอยเข้าแถวปฏิบัติการทำลายรัฐบาลคาสโตรอย่างเป็นลำดับ.....
.....ช่วงสายของวันที่ 11 ธันวาคม ปี 1959 เอกสารลับซึ่งภายในบันทึกข้อความอันเป็นบทวิเคราะห์สถานการณ์ความเคลื่อนไหวของสหภาพโซเวียตในคิวบา มันถูกส่งเข้ายังทำเนียบขาวโดยพันเอก โจเซฟ คาเวล คิง ( J.C. King ) หัวหน้าฝ่ายยุทธการ C.I.A ประจำภาคพื้นส่วนซีกโลกตะวันตก ได้ส่งข้อมูลบทวิเคราะห์ดังกล่าวให้นาย อัลเลน ดัลเลส ( Allen W. Dulles) ผู้อำนวยการใหญ่ C.I.A ได้ประเมินสถานการณ์ โดยร่วมประชุมลับกับรอง ปธน. ริชาร์ด นิกสัน (Richard M. Nixon) ,พลเรือตรี อาร์เลห์ เบิร์ค (Arleigh Burke) ,รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของฝ่ายการเมือง นาย ลิฟวิงสตัน มาร์ดจ (Livingston T. Merchant) ,ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ นายกอร์ดอน เกรย์ (Gordon Gray) แผนงานประชุมลับได้ถูกจัดขึ้นอย่างเร่งด่วน ซึ่งหัวข้อในการประชุมในวันนั้นมุ่งหมายปฏิบัติการเพื่อล้มล้างรัฐบาลคาสโตร และความพยายามหยุดยั้งการแพร่ขยายลัทธิคอมมิวนิสต์โซเวียตในภูมิภาคลาตินอเมริกา
มติในที่ประชุมเห็นชอบให้นายเทรซี่ บาร์นส์ (Tracy Barnes) เป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการเฉพาะกิจ Cuban Task Force. โดยในวันที่ 18 มกราคม 1960 บาร์นส์จึงประชุมวางแผนการดำเนินงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ C.I.A สหายเก่าตัวฉกาจ 5 นาย ซึ่งเคยได้ร่วมงานกันรัฐประหารประเทศกัวเตมาลาในปี 1954 มาแล้วในอดีต อันได้แก่
- ฟิลลิป (David Atlee Phillips)
- เอสเตอร์ไลน์ (Jacob Jake Esterline)
- ฮันท์( E. Howard Hunt)
- โดรเลอร์(Gerry Droller (ไม่มีรูป) โดรเลอร์เกิดที่เยอรมันในปี 1905 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาทำงานให้สหรัฐอยู่ในสำนักงานบริการยุทธศาสตร์ (OSS) หลังจบสงครามก็ลอกคราบเป็นซี.ไอ.เอ และในช่วงต้นปี 1960 เขามีส่วนร่วมกลุ่มต่อต้านคาสโตรและหน่วย Operation 40)
- โมราเลส (David Sánchez Morales)
แผนงานสรุปของบาร์นส์ในการประชุมครั้งนี้ คือ สรรหาบุคคลเข้ารับการฝึกทหารเพื่อดำเนินสงครามกองโจร และดำเนินกิจกรรมเคลื่อนไหวต่อต้านคาสโตรทุกรูปแบบ เพียงเวลาไม่นานนัก กลุ่มต่อต้านคาสโตร 40 คนแรกจึงถูกคัดสรรเข้ามา โดยใช้ชื่อรหัสโครงการนี้ว่า "OPERATION 40" และในอนาคตจะขยายบุคคลากรเพิ่มเติมอีกประมาณ 700 คน แผนปฏิบัติการนั้นได้ผ่านความเห็นชอบจาก ปธน. ไอเซนฮาว จึงมีคำสั่งอนุมัติภารกิจทันทีในวันที่ 17 มีนาคม 1960 ไอเซนฮาวได้ลงนามในคำสั่งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการต่อต้านรัฐบาลคิวบา และการให้อำนาจซีไอเอในการปฏิบัติการแทรกซึม และจัดให้ผู้ลี้ภัยชาวคิวบาได้รับการฝึกและติดอาวุธ
หน่วยปฏิบัติการ 40 นี้ ไม่เพียงแต่มีจุดประสงค์ในการก่อวินาศกรรมเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการโฆษณาชวนเชื่อทำลายรัฐบาลคาสโตร ลอบสังหารบุคคลสำคัญในคิวบา และการรณรงค์ ปลุกระดมคน ซึ่ง ณ เวลานั้น ภารกิจของบาร์นส์เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในเดือนพฤษภาคม 1960 ด้วยกำลังคนจากผู้อพยพคิวบาที่สมัครใจเข้ารับการฝึกทหารราบจำนวนหลายร้อยคน และจัดตั้งเป็นกองพลที่ 2506 (Brigada Asalto 2506) ดำเนินการฝึกทางยุทธวิธียังฐานฝึกของ C.I.A บริเวณชายฝั่งแปซิฟิกในกัวเตมาลา แผนงานฝึกคนคิวบาพลัดถิ่นนี้คงดำเนินควบคู่กันไปกับที่จารชนสายลับคนอื่นๆ ก็ปฏิบัติงานของตนเช่นกัน.....
.....ก่อนหน้านี้ที่จะมีการรับสมัครทหารราบคิวบา สายลับหญิงคนหนึ่งได้รับมอบหมายภารกิจสังหารคาสโตรตั้งแต่ปี 1960 ....
.....มาริต้า ลอเรนซ์ (Marita Lorenz) สาวสวยวัย 20 ปี ลูกครึ่งอเมริกัน-เยอรมัน ผู้ซึ่งมีอดีตอันน่าเจ็บปวดในค่ายกักกันเด็กที่ Bergen-Belsen ของนาซีเยอรมัน มาริต้าเคยเดินทางไปเยือนคิวบาในเดือนกุมพาพันธ์ปี 1959 เธอพักอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งในฮาวานา ช่วงสายของวันนั้นโรงแรมที่เธอพักอยู่ก็เต็มพรึบไปด้วยทหารของรัฐบาลคิวบา ภาพเก่าๆในอดีตซึ่งเต็มไปด้วยความรุนนแรงของกลุ่มทหารที่เคยกระทำกับเธอไว้เริ่มผุดออกมาจากมโนสำนึก มันทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัย เธอกระวนกระวายใจทุกครั้งที่มองลอดหน้าต่างออกไปเจอกับกลุ่มชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบสนาม พลันเสียงเคาะประตูห้องเธอดังขึ้น
.....knok knok knok....
ประตูห้องถูกเปิดออก บริกรหนุ่มยืนมองเธอด้วยสายตาปกติ แต่ชายคนหนึ่งในชุดสนามสีเขียวซึ่งกำลังคาบซิกก้ามวนใหญ่ยืนอยู่ด้านหลัง เขามองจ้องมาที่เธอ เขาเดินเข้ามาภายในห้อง สายตามองกวาดไปรอบๆห้อง แล้วดวงตาที่ดูใสซื่อของเขาก็หยุดจ้องนัยย์ตาเธอ โลกภายนอกหยุดสงบนิ่ง แต่หัวใจของเธอกลับเต้นล้านไมล์ต่อหนึ่งนาที ทันทีที่มาริต้าสบตากับชายผู้นั้น เขาเอ่ยถามเธอ " คุณมีที่เขี่ยบุหรี่มั้ย ?"..... เธอหลงรักเขาทันที นี่คงเป็นรักครั้งแรกที่ยิ่งใหญ่ระหว่างสาวโลกเสรีกับคาสโตรชายหนุ่มจากโลกคอมมิวนิสต์.....
.....แต่หลังจากนั้นหลายเดือนถัดมา.....
คำถามแรกที่ระทึกใจมาริต้า ที่คาสโตรกระเซ้าเย้าแหย่เธอในการพบกันครั้งแรก มันเปลี่ยนไปในการถามครั้งที่สองที่ระทึกใจทั้งคู่ มันร้าวระบมในหัวอกลูกผู้ชายอย่างคาสโตร
"คุณมาที่นี่ เพื่อฆ่าผมใช่มั้ย?"