ปีที่ผ่านมานั้นจัดว่าเป็นปีที่แล้งที่สุดในรอบหลายสิบปีเลยก็ว่าได้ ผู้เฒ่าผู้แก่บางท่านบอกว่า ร้อนแล้งที่สุดในรอบ 40 ปีเลยทีเดียว จขกท. ก็ได้แต่ภาวนาว่า ขอให้ปีนี้อย่าได้ร้อนและแล้งที่สุดในรอบ 41 ปีก็แล้วกันนะคะ
การเป็นเกษตรกรไทยนี่ช่างลำบากยากเย็นเลยจริงๆ ค่ะ เกษตรกรไทยที่ยังยากจนอยู่ขณะนี้ ไม่ใช่ว่าเพราะขี้เกียจ ไม่ใช่ว่าเพราะไม่มีความอดทน ไม่ใช่ว่าเพราะรักสบาย แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะผูกติดขึ้นอยู่กับสภาพลมฝนดินฟ้าอากาศ
อย่างปีนี้แล้งจัด พืชผักผลไม้ที่ปลูกไว้ก็ไม่ติดดอกติดผลเนื่องจากถูกแดดเผาเหี่ยวเฉาและร่วงหล่นตาย ต้นฝรั่งของ จขกท. ออกดอกออกผลมามากมาย แต่เมื่อถูกแดดเผาก็เหี่ยวและร่วงกลาดเกลื่อน ทั้งๆที่รดน้ำทุกเช้า เย็น ไม่เคยขาด แต่ตอนกลางวันที่แดดจัดๆ มันก็ต้านไม่อยู่ พืชอย่างอื่นก็เหมือนกัน ลำไยเอย มะม่วงเอย ลิ้นจี่เอย ร่วงตายหมด
แม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงอย่างวัว ควาย หมู เป็ด ไก่ ก็ต้านร้อนไม่อยู่ บางตัวผอมโซไม่มีเนื้อมีแต่หนังหุ้มกระดูก บางตัวก็เจ็บป่วยล้มตายไป อย่างไก่ไข่ของ จขกท. ก็ต้องคอยประคบประหงมเอาใจใส่ ต้องเปิดพัดลมให้ตลอดเวลา ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ค่อยจะกินอาหาร ไข่ก็ลูกเล็กและลดจำนวนลงเกือบครึ่ง แต่ก็ยังดีที่ไม่ตาย อย่างเป็ดของเพื่อนบ้านนั้น นอกจากไม่ออกไข่แล้วยังตายไปเป็นสิบๆตัว หมูก็เหมือนกัน อากาศร้อนจัดก็แท้งลูกและตายไป
ช่วงหน้าแล้งที่ผ่านมา มันร้อนมากจริงๆ ตั้งแต่ จขกท. เกิดมาก็ว่าไม่เคยเจอปีไหนที่ร้อนมากเท่าปีนี้เลย น้ำในสระที่นาของ จขกท.จากที่ไม่เคยแห้งขอดขนาดไม่เหลือน้ำเลยก็เป็นมาแล้ว จขกท. เลยตัดสินใจถือเอาจังหวะที่น้ำแห้งขอดตอนนี้แหละ ขุดลอกบ่อใหม่ซะเลย เอาให้ลึกและกว้างกว่าเดิมเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้งปีต่อๆไป
เมื่อขุดลอกบ่อใหม่ จขกท. ก็ได้พื้นที่สำหรับเพาะปลูกรอบขอบบ่อเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3 ไร่ จขกท.ได้นำพันธุ์สับปะรดจากภูเก็ตมาปลูกที่รอบขอบบ่อ 700 ต้น แต่ก็ยังเหลือพื้นที่อีกมาก ก็เลยต้องหาพันธุ์ฟักทอง แตงกวา แตงโม มาปลูกเพิ่มเพื่อใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ตอนนี้ฟักทอง กับแตงโม ซึ่งปลูกไปก่อนหน้ากำลังจะงอกเป็นต้นฟักทองเด็ก ต้นแตงโมเด็ก น่ารักมาก คริ คริ
เฮ้อ การเป็นเกษตรกรนี่มันเหนื่อยมากจริงๆค่ะ ต้องสู้แดดสู้ฝน การปลูกพืชแต่ละอย่างก็ใช่ว่าจะทำกันง่ายๆ อย่างการปลูกฟักทอง แตงโม แตงกวา ต้องขุดหลุมเป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งไม้บรรทัด ลึกประมาณ 10 ซม. แล้วก็เอาปุ๋ยคอกลงรองก้นหลุม จากนั้นชงดินกับปุ๋ยคอกให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเกลี่ยให้หน้าดินเรียบทำเป็นเนินขึ้นเล็กน้อย จากนั้นใช้นิ้วมือทำเป็นหลุมเล็กๆลึก 2 ข้อมือ แล้วหยอดเมล็ดพันธุ์ลงไปหลุมละ 3 – 4 เมล็ด แล้วจึงกลบดิน ใช้มือตบเบาๆแบบไม่ต้องแน่นมาก ถ้าดินมีความชื้นเพียงพอ รออีก 4 – 5 วัน พืชที่ปลูกก็จะงอกออกมาให้เราได้ชื่นชม
จากนั้นก็ต้องเฝ้าดูแล อย่าให้แมลงศัตรูพืชมารบกวน ต้องให้ความชุ่มชื้นที่พอเหมาะกับชนิดของพืชที่ปลูก พืชบางชนิดชอบน้ำมาก พืชบางชนิดไม่ชอบน้ำมาก บางชนิดชอบแดดจัด บางชนิดไม่ชอบแดดจัด สิ่งเหล่านี้เกษตรกรต้องรู้ ไม่อย่างนั้นพืชที่ปลูกลงไป ก็จะไม่เจริญเติบโตงอกงาม
ปุ๋ยที่ใส่ก็เหมือนกัน เกษตรต้องรู้ด้วยว่า ปุ๋ยแต่ละชนิดแต่ละสูตรเหมาะสมกับพืชแบบไหน ต้องใส่ช่วงไหน อย่าง จขกท. ใส่ปุ๋ยคอกขี้ไก่ ปกติปุ๋ยขี้ไก่จะทำให้ดินเค็มมีความเป็นกรดสูงเพราะมีกรดยูริคมาก ดังนั้นไม่ต้องใส่มากให้ใส่ประมาณครึ่งกิโลกรัมต่อหลุมก็พอ ไม่อย่างนั้นพืชที่ปลูกตายชัวร์
ตอนกลางๆเดือนพฤษภาคมที่อากาศกำลังร้อนแดดส่องจัด พ่อได้ให้คนมาไถนาตากดินไว้ให้หญ้าและเชื้อราในดินตาย พอปลายๆเดือนฝนตกลงมาให้ดินได้ชุ่มชื้น เราก็เริ่มหว่านข้าว เรียกว่าหว่านข้าวนาแล้ง ความจริงการหว่านข้าวแบบนี้ พอหว่านเสร็จต้องปล่อยให้เมล็ดข้าวฝังอยู่ในดินสักระยะหนึ่ง เพื่อให้เมล็ดข้าวได้ดูดซับความชื้นในดินและปักเมล็ดแน่น พอฝนตกลงมาก็จะแตกหน่อแตกรากงอกออกมา แต่ จขกท. โชคไม่ดี พอหว่านข้าวเสร็จตอนกลางวัน ตอนเย็นฝนก็เทกระหน่ำลงมา ทำให้น้ำขังในแปลงนาและพัดเอาเมล็ดขาวที่ยังไม่ได้ปักแน่นกับดินไหลลงไปกองกันในที่ลุ่ม ทำให้เมล็ดข้าวเน่าเสียหาย
จขกท. คงต้องทำนาใหม่ รอให้ฝนตกลงมาจนน้ำท่วมขังแปลงนาแล้วจะไถคราดใหม่ ทีนี้จะเป็นการหว่านข้าวนาตม เพราะช่วงนี้ชาวนาจะคาดการณ์ว่าฝนจะไม่ทิ้งช่วงนาน ก่อนหว่านข้าว จะต้องนำพันธุ์ข้าวไปแช่น้ำ 1 คืนให้แตกราก แล้วค่อยนำไปหว่านในนาที่ไถคราดเตรียมไว้ และต้องภาวนาให้ฝนไม่ตกอีก 2 – 3 วันรอให้ข้าวปักดินแน่นและงอกขึ้นมาก่อน
เห็นไม๊คะว่า ชาวนาต้องภาวนาอ้อนวอนขอฟ้าขอฝนขอเทวดามากมายขนาดไหน เพื่อให้ได้มีข้าวงอกขึ้นมาซักต้น และนี่แค่ขบวนการแรกของการทำนาเท่านั้น กว่าต้นข้าวจะเจริญเติบโตงอกงามจนกระทั่งออกรวงออกเมล็ดให้ชาวนาได้เก็บเกี่ยว ยังต้องผ่านอะไรอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฝนแล้ง น้ำท่วม แดดจัด ลมแรง ล้วนแล้วแต่มีผลต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าวทั้งสิ้น
ยางพาราก็เช่นกัน กว่าจะเติบโตจนกรีดน้ำยางได้ ชาวสวนต้องดูแลบำรุงรักษา ดายหญ้าใส่ปุ๋ยนานถึง 8 – 9 ปี ต้องลงทุนมากมายและยาวนาน พอถึงคราวต้นยางโตพอที่จะกรีดได้ ชาวสวนก็ต้องเสี่ยงกับฟ้าฝน วันไหนฝนตก ก็กรีดยางไม่ได้ วันไหนอากาศร้อนมากน้ำยางก็ไหลน้อยหรือหยุดไหลง่าย วันไหนลมแรงน้ำยางก็ไม่ไหล ก็ต้องภาวนาขอฟ้าขอฝนกับเทวดาอีกเช่นกัน นอกจากนั้นชาวสวนยังเสี่ยงกับราคายางพาราที่ขึ้นลงตามปัจจัยแวดล้อม
ยิ่งตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา และพืชผลทางการเกษตรหลายชนิดราคาตกต่ำ อันนี้ก็คงต้องภาวนาให้รัฐบาลทำการค้าขายเก่งๆ มีสัมพันธ์ที่ดีกับนานาชาติเพื่อจะได้ค้าขายกับเค้าได้ง่ายขึ้น ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องบอกเลยว่าชาวนา ชาวสวนชาวไร่ จะขนาดทุนมากขนาดไหน ...ก็อยากวิงวอนให้รัฐบาลหันมาใส่ใจให้ความสำคัญกับปัญหาที่เกษตรกรประสบ เพื่อหาทางช่วยเหลือแบ่งเบาทุกข์ให้กับพวกเค้า เพราะว่าประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม สินค้าเกษตรเป็นปัจจัยหลักที่ส่งออกค้าขาย นำเงินเข้าประเทศเป็นรายได้หลักไม่แพ้อย่างอื่น ดังนั้นจงอย่าปล่อยพวกเค้าให้เผชิญกับธรรมชาติ ดิน ลม ฝน ฟ้า อากาศ อยู่เพียงลำพังอย่างเดียวดาย ... ขอบคุณค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
+ + + เป็นเกษตรกรช่างลำบากยากเย็น ( Pechnamnil ) + + +
การเป็นเกษตรกรไทยนี่ช่างลำบากยากเย็นเลยจริงๆ ค่ะ เกษตรกรไทยที่ยังยากจนอยู่ขณะนี้ ไม่ใช่ว่าเพราะขี้เกียจ ไม่ใช่ว่าเพราะไม่มีความอดทน ไม่ใช่ว่าเพราะรักสบาย แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะผูกติดขึ้นอยู่กับสภาพลมฝนดินฟ้าอากาศ
อย่างปีนี้แล้งจัด พืชผักผลไม้ที่ปลูกไว้ก็ไม่ติดดอกติดผลเนื่องจากถูกแดดเผาเหี่ยวเฉาและร่วงหล่นตาย ต้นฝรั่งของ จขกท. ออกดอกออกผลมามากมาย แต่เมื่อถูกแดดเผาก็เหี่ยวและร่วงกลาดเกลื่อน ทั้งๆที่รดน้ำทุกเช้า เย็น ไม่เคยขาด แต่ตอนกลางวันที่แดดจัดๆ มันก็ต้านไม่อยู่ พืชอย่างอื่นก็เหมือนกัน ลำไยเอย มะม่วงเอย ลิ้นจี่เอย ร่วงตายหมด
แม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงอย่างวัว ควาย หมู เป็ด ไก่ ก็ต้านร้อนไม่อยู่ บางตัวผอมโซไม่มีเนื้อมีแต่หนังหุ้มกระดูก บางตัวก็เจ็บป่วยล้มตายไป อย่างไก่ไข่ของ จขกท. ก็ต้องคอยประคบประหงมเอาใจใส่ ต้องเปิดพัดลมให้ตลอดเวลา ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ค่อยจะกินอาหาร ไข่ก็ลูกเล็กและลดจำนวนลงเกือบครึ่ง แต่ก็ยังดีที่ไม่ตาย อย่างเป็ดของเพื่อนบ้านนั้น นอกจากไม่ออกไข่แล้วยังตายไปเป็นสิบๆตัว หมูก็เหมือนกัน อากาศร้อนจัดก็แท้งลูกและตายไป
ช่วงหน้าแล้งที่ผ่านมา มันร้อนมากจริงๆ ตั้งแต่ จขกท. เกิดมาก็ว่าไม่เคยเจอปีไหนที่ร้อนมากเท่าปีนี้เลย น้ำในสระที่นาของ จขกท.จากที่ไม่เคยแห้งขอดขนาดไม่เหลือน้ำเลยก็เป็นมาแล้ว จขกท. เลยตัดสินใจถือเอาจังหวะที่น้ำแห้งขอดตอนนี้แหละ ขุดลอกบ่อใหม่ซะเลย เอาให้ลึกและกว้างกว่าเดิมเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้งปีต่อๆไป
เมื่อขุดลอกบ่อใหม่ จขกท. ก็ได้พื้นที่สำหรับเพาะปลูกรอบขอบบ่อเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3 ไร่ จขกท.ได้นำพันธุ์สับปะรดจากภูเก็ตมาปลูกที่รอบขอบบ่อ 700 ต้น แต่ก็ยังเหลือพื้นที่อีกมาก ก็เลยต้องหาพันธุ์ฟักทอง แตงกวา แตงโม มาปลูกเพิ่มเพื่อใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ตอนนี้ฟักทอง กับแตงโม ซึ่งปลูกไปก่อนหน้ากำลังจะงอกเป็นต้นฟักทองเด็ก ต้นแตงโมเด็ก น่ารักมาก คริ คริ
เฮ้อ การเป็นเกษตรกรนี่มันเหนื่อยมากจริงๆค่ะ ต้องสู้แดดสู้ฝน การปลูกพืชแต่ละอย่างก็ใช่ว่าจะทำกันง่ายๆ อย่างการปลูกฟักทอง แตงโม แตงกวา ต้องขุดหลุมเป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งไม้บรรทัด ลึกประมาณ 10 ซม. แล้วก็เอาปุ๋ยคอกลงรองก้นหลุม จากนั้นชงดินกับปุ๋ยคอกให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเกลี่ยให้หน้าดินเรียบทำเป็นเนินขึ้นเล็กน้อย จากนั้นใช้นิ้วมือทำเป็นหลุมเล็กๆลึก 2 ข้อมือ แล้วหยอดเมล็ดพันธุ์ลงไปหลุมละ 3 – 4 เมล็ด แล้วจึงกลบดิน ใช้มือตบเบาๆแบบไม่ต้องแน่นมาก ถ้าดินมีความชื้นเพียงพอ รออีก 4 – 5 วัน พืชที่ปลูกก็จะงอกออกมาให้เราได้ชื่นชม
จากนั้นก็ต้องเฝ้าดูแล อย่าให้แมลงศัตรูพืชมารบกวน ต้องให้ความชุ่มชื้นที่พอเหมาะกับชนิดของพืชที่ปลูก พืชบางชนิดชอบน้ำมาก พืชบางชนิดไม่ชอบน้ำมาก บางชนิดชอบแดดจัด บางชนิดไม่ชอบแดดจัด สิ่งเหล่านี้เกษตรกรต้องรู้ ไม่อย่างนั้นพืชที่ปลูกลงไป ก็จะไม่เจริญเติบโตงอกงาม
ปุ๋ยที่ใส่ก็เหมือนกัน เกษตรต้องรู้ด้วยว่า ปุ๋ยแต่ละชนิดแต่ละสูตรเหมาะสมกับพืชแบบไหน ต้องใส่ช่วงไหน อย่าง จขกท. ใส่ปุ๋ยคอกขี้ไก่ ปกติปุ๋ยขี้ไก่จะทำให้ดินเค็มมีความเป็นกรดสูงเพราะมีกรดยูริคมาก ดังนั้นไม่ต้องใส่มากให้ใส่ประมาณครึ่งกิโลกรัมต่อหลุมก็พอ ไม่อย่างนั้นพืชที่ปลูกตายชัวร์
ตอนกลางๆเดือนพฤษภาคมที่อากาศกำลังร้อนแดดส่องจัด พ่อได้ให้คนมาไถนาตากดินไว้ให้หญ้าและเชื้อราในดินตาย พอปลายๆเดือนฝนตกลงมาให้ดินได้ชุ่มชื้น เราก็เริ่มหว่านข้าว เรียกว่าหว่านข้าวนาแล้ง ความจริงการหว่านข้าวแบบนี้ พอหว่านเสร็จต้องปล่อยให้เมล็ดข้าวฝังอยู่ในดินสักระยะหนึ่ง เพื่อให้เมล็ดข้าวได้ดูดซับความชื้นในดินและปักเมล็ดแน่น พอฝนตกลงมาก็จะแตกหน่อแตกรากงอกออกมา แต่ จขกท. โชคไม่ดี พอหว่านข้าวเสร็จตอนกลางวัน ตอนเย็นฝนก็เทกระหน่ำลงมา ทำให้น้ำขังในแปลงนาและพัดเอาเมล็ดขาวที่ยังไม่ได้ปักแน่นกับดินไหลลงไปกองกันในที่ลุ่ม ทำให้เมล็ดข้าวเน่าเสียหาย
จขกท. คงต้องทำนาใหม่ รอให้ฝนตกลงมาจนน้ำท่วมขังแปลงนาแล้วจะไถคราดใหม่ ทีนี้จะเป็นการหว่านข้าวนาตม เพราะช่วงนี้ชาวนาจะคาดการณ์ว่าฝนจะไม่ทิ้งช่วงนาน ก่อนหว่านข้าว จะต้องนำพันธุ์ข้าวไปแช่น้ำ 1 คืนให้แตกราก แล้วค่อยนำไปหว่านในนาที่ไถคราดเตรียมไว้ และต้องภาวนาให้ฝนไม่ตกอีก 2 – 3 วันรอให้ข้าวปักดินแน่นและงอกขึ้นมาก่อน
เห็นไม๊คะว่า ชาวนาต้องภาวนาอ้อนวอนขอฟ้าขอฝนขอเทวดามากมายขนาดไหน เพื่อให้ได้มีข้าวงอกขึ้นมาซักต้น และนี่แค่ขบวนการแรกของการทำนาเท่านั้น กว่าต้นข้าวจะเจริญเติบโตงอกงามจนกระทั่งออกรวงออกเมล็ดให้ชาวนาได้เก็บเกี่ยว ยังต้องผ่านอะไรอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฝนแล้ง น้ำท่วม แดดจัด ลมแรง ล้วนแล้วแต่มีผลต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าวทั้งสิ้น
ยางพาราก็เช่นกัน กว่าจะเติบโตจนกรีดน้ำยางได้ ชาวสวนต้องดูแลบำรุงรักษา ดายหญ้าใส่ปุ๋ยนานถึง 8 – 9 ปี ต้องลงทุนมากมายและยาวนาน พอถึงคราวต้นยางโตพอที่จะกรีดได้ ชาวสวนก็ต้องเสี่ยงกับฟ้าฝน วันไหนฝนตก ก็กรีดยางไม่ได้ วันไหนอากาศร้อนมากน้ำยางก็ไหลน้อยหรือหยุดไหลง่าย วันไหนลมแรงน้ำยางก็ไม่ไหล ก็ต้องภาวนาขอฟ้าขอฝนกับเทวดาอีกเช่นกัน นอกจากนั้นชาวสวนยังเสี่ยงกับราคายางพาราที่ขึ้นลงตามปัจจัยแวดล้อม
ยิ่งตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา และพืชผลทางการเกษตรหลายชนิดราคาตกต่ำ อันนี้ก็คงต้องภาวนาให้รัฐบาลทำการค้าขายเก่งๆ มีสัมพันธ์ที่ดีกับนานาชาติเพื่อจะได้ค้าขายกับเค้าได้ง่ายขึ้น ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องบอกเลยว่าชาวนา ชาวสวนชาวไร่ จะขนาดทุนมากขนาดไหน ...ก็อยากวิงวอนให้รัฐบาลหันมาใส่ใจให้ความสำคัญกับปัญหาที่เกษตรกรประสบ เพื่อหาทางช่วยเหลือแบ่งเบาทุกข์ให้กับพวกเค้า เพราะว่าประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม สินค้าเกษตรเป็นปัจจัยหลักที่ส่งออกค้าขาย นำเงินเข้าประเทศเป็นรายได้หลักไม่แพ้อย่างอื่น ดังนั้นจงอย่าปล่อยพวกเค้าให้เผชิญกับธรรมชาติ ดิน ลม ฝน ฟ้า อากาศ อยู่เพียงลำพังอย่างเดียวดาย ... ขอบคุณค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้