ก็จากครอบครัวชนชั้นกลาง ทำมาค้าขายปกติ
มีพ่อเป็นนักการเมือง เป็น ส.ส.
ก็เรียนดี เข้าเตรียมทหาร เลือกตำรวจ ได้ทุนเรียนต่อจนจบด๊อกเตอร์
ช่วงรับราชการก็หันมาทำธุรกิจไปด้วย ทำเรื่องผ้าไหมอันเป็นธุรกิจของครอบครับ ก็ขาดทุน
หันมาทำธุรกิจสายหนัง ก็เจ๊ง มีหนี้นับร้อยล้าน
มาจับธุรกิจคอมพ์กับหน่วยงานราชการ หันมาลองธุรกิจการสื่อสาร
เห็นว่าน่าจะไปได้ดี ก็ลาออกจากราชการ หันมาลุยเรื่องสื่อสารเต็มตัว
ถึงขนาดว่า คราวนี้ถ้าเจ๊งอีก คงต้องหนีหนี้ไปล้างชามเสิร์ฟอาหารตั้งหลักที่อเมริกา
ช่วงทำธุรกิจนี่ ทักษิณเคยขนาดหมอบลงใต้โต๊ะเพื่อหลบเจ้าหนี้
ทักษิณเคยพูดในสภาผู้แทนราษฎรว่า เขาก็เหมือนคนถูกหวย ที่มาทำธุรกิจสื่อสารแล้วรวยเละ
นี่เป็นการพูดถ่อมตัว เพราะความจริงแล้ว น่าจะเป็นเพราะเรื่องวิสัยทัศน์และความกล้ามากกว่าโชค
พอเป็นนายกฯ ก็มีเรื่องขัดคอขัดใจกับใครต่อใครหลายคน
โดยเฉพาะนโยบายปราบปรามอบายมุข ปราบบ่อน สร้างความแค้นให้พวกหากินกับบ่อน
พอได้จังหวะ ก็เอาเรื่องมาจิกตีกันเท่านั้น
เรื่องหนี้ที่ทักษิณไม่จ่ายใครนั้น อย่าว่าแต่ที่เป็นข่าวขุดคุ้ยโจมตีกันเลย
พ่อของล็อคอินหนึ่งในราชดำเนินแห่งนี้ ก็เคยทำธุรกิจหนังกับทักษิณ และโดนทักษิณเบี้ยวหนี้ไปสามหมื่นบาท
ระยะเวลาจากวันนั้น ถึงวันนี้ ก็ราว ๆ สามสิบปีกว่าปีแล้ว
แต่คนโดนเบี้ยวหนี้ เข้าใจดีว่าตอนนั้นทักษิณเจ๊ง และตอนรวยแล้ว ก็เข้าใจดีว่าคงลืม ไม่ใช่เบี้ยว
ก็ไม่ได้ทวง ไม่มากเรื่อง แม้จะเป็นเงินมากไข สามหมื่นเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว
ทักษิณก็คนปกติ ธรรมดา ปุถุขน มีดีมีเลว มีถูกมีผิด มีจำได้ มีลืม มีเผลอมีพลาด
จะเล่าให้ฟัง
ช่วงยี่สิบปีก่อน สมัย จขกท. ยังเยาวเรศแรกรุ่น ได้รู้จักกับนักกลอนหน้าตาดีคนหนึ่ง
เขาเล่าให้ฟังว่า ชอบเขียนกลอนส่งไปนิตยสารรายสัปดาห์ของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งบ่อย ๆ
เขาเล่าว่า เขียนไปแบบแล้วแต่บรรณาธิการจะพิจารณา หากว่าดีก็ตีพิมพ์ ไม่ดีก็ลงตะกร้าขยะไป
ซึ่งเจ้าของสำนักพิมพ์นั้น คือ "เสาหลักประชาธิปไตย"
ค่าตอบแทนที่ได้รับต่อชิ้นคือ 500 บาท หักภาษี ณ ที่จ่ายไป 5% เรียบร้อย
ปี 2538 สำนักพิมพ์ประสบปัญหาขาดทุน เจ้าของก็ป่วยหนักและเสียชีวิต
ระยะนั้นมีการเจรจาซื้อขายบริษัทระหว่างทายาทสำนักพิมพ์ กับ "ผู้กว้างขวางทางบ่อน" คนหนึ่ง
การเบิกจ่ายเงินของบริษัทไม่ว่าเงินเดือนพนักงาน ค่าตอบแทนนักเขียน ทั้งที่เขียนประจำและเขียนไม่ประจำ จึงมีความติดขัด
เขาเล่าว่า เขึยนส่งไป ลงตีพิมพ์ไป แต่ค่าตอบแทนไม่มา จึงโทรถาม (ค่าโทรแพงมาก ทางไกลนาทีละ 12 บาท)
ก็ได้คำตอบว่า พนักงานเองตอนนี้ยังรอการเปลี่ยนผ่าน รอเจ้าของใหม่ เงินเดือนก็ยังไม่ได้รับเหมือนกัน
เพราะการซื้อขายมีการเจรจารับทั้งทรัพย์สินและหนี้สิน กรุณารอ
ก็รอ
รอจนมีบทกลอนตีพิมพ์ไป 12 ชิ้น คือ 12 สัปดาห์ สามเดือนเต็ม ค่าตอบแทนก็เงียบกริบ
จนมีการซื้อขายเรียบร้อย
ก็โทรถามอีกครั้ง คำตอบที่ได้คือ กำลังเคลียร์ กรุณารอ
ก็รอ
ผ่านไปเป็นปี ก็เงียบ ก็เลยเลิกถามไถ่
มาวันหนึ่ง เขาจึงเขียนจดหมายถึงเจ้าของคนใหม่ของสำนักพิมพ์
อธิบายแจกแจงให้ฟังว่า ยังไม่ได้รับค่าตอบแทน
ผลก็คือ เงียบกริบ 12 ชิ้น ค่าสมองเกือบหกพันบาทเงียบกริบ
แล้วประสาอะไรกับการที่หยิบเรื่องทักษิณเบี้ยวเชค 8 แสนมาโพนทะนา
ทักษิณก็แค่ปุถุชน มีโลภ โกรธ หลง ไม่ใช่คนดิบดีผุดผ่องเหนือกว่าใคร
ขงจี๊อกล่าวไว้ว่า คนจะดีจะเลวนั้น ให้ดูว่า การกระทำของเขาส่งผลต่อสังคมอย่างไร
ไอ้ประเภทดีเพราะห่มผ้าเหลือง ดีเพราะบอกว่าซื่อสัตย์ แต่ทำอะไรแต่ละอย่าง วิบัติทั้งนั้น
มันจะเป็นคนดีได้ไง
ไม่ค่อยสวยเท่าไร ที่จะยั่วยวนกวนโอ๊ยเพื่อนสมาชิกด้วยกัน ด้วยการเอาตัวบุคคลคนหนึ่งเป็นเครื่องมือ
ไม่สวยจริง ๆ
เรื่องราวปูมหลังทักษิณน่ะเหรอ จะมีอะไรพิศดาร ก็ธรรมดา ๆ เหมือนปุถุชนคนทั่วไปนั่นแหละ
มีพ่อเป็นนักการเมือง เป็น ส.ส.
ก็เรียนดี เข้าเตรียมทหาร เลือกตำรวจ ได้ทุนเรียนต่อจนจบด๊อกเตอร์
ช่วงรับราชการก็หันมาทำธุรกิจไปด้วย ทำเรื่องผ้าไหมอันเป็นธุรกิจของครอบครับ ก็ขาดทุน
หันมาทำธุรกิจสายหนัง ก็เจ๊ง มีหนี้นับร้อยล้าน
มาจับธุรกิจคอมพ์กับหน่วยงานราชการ หันมาลองธุรกิจการสื่อสาร
เห็นว่าน่าจะไปได้ดี ก็ลาออกจากราชการ หันมาลุยเรื่องสื่อสารเต็มตัว
ถึงขนาดว่า คราวนี้ถ้าเจ๊งอีก คงต้องหนีหนี้ไปล้างชามเสิร์ฟอาหารตั้งหลักที่อเมริกา
ช่วงทำธุรกิจนี่ ทักษิณเคยขนาดหมอบลงใต้โต๊ะเพื่อหลบเจ้าหนี้
ทักษิณเคยพูดในสภาผู้แทนราษฎรว่า เขาก็เหมือนคนถูกหวย ที่มาทำธุรกิจสื่อสารแล้วรวยเละ
นี่เป็นการพูดถ่อมตัว เพราะความจริงแล้ว น่าจะเป็นเพราะเรื่องวิสัยทัศน์และความกล้ามากกว่าโชค
พอเป็นนายกฯ ก็มีเรื่องขัดคอขัดใจกับใครต่อใครหลายคน
โดยเฉพาะนโยบายปราบปรามอบายมุข ปราบบ่อน สร้างความแค้นให้พวกหากินกับบ่อน
พอได้จังหวะ ก็เอาเรื่องมาจิกตีกันเท่านั้น
เรื่องหนี้ที่ทักษิณไม่จ่ายใครนั้น อย่าว่าแต่ที่เป็นข่าวขุดคุ้ยโจมตีกันเลย
พ่อของล็อคอินหนึ่งในราชดำเนินแห่งนี้ ก็เคยทำธุรกิจหนังกับทักษิณ และโดนทักษิณเบี้ยวหนี้ไปสามหมื่นบาท
ระยะเวลาจากวันนั้น ถึงวันนี้ ก็ราว ๆ สามสิบปีกว่าปีแล้ว
แต่คนโดนเบี้ยวหนี้ เข้าใจดีว่าตอนนั้นทักษิณเจ๊ง และตอนรวยแล้ว ก็เข้าใจดีว่าคงลืม ไม่ใช่เบี้ยว
ก็ไม่ได้ทวง ไม่มากเรื่อง แม้จะเป็นเงินมากไข สามหมื่นเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว
ทักษิณก็คนปกติ ธรรมดา ปุถุขน มีดีมีเลว มีถูกมีผิด มีจำได้ มีลืม มีเผลอมีพลาด
จะเล่าให้ฟัง
ช่วงยี่สิบปีก่อน สมัย จขกท. ยังเยาวเรศแรกรุ่น ได้รู้จักกับนักกลอนหน้าตาดีคนหนึ่ง
เขาเล่าให้ฟังว่า ชอบเขียนกลอนส่งไปนิตยสารรายสัปดาห์ของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งบ่อย ๆ
เขาเล่าว่า เขียนไปแบบแล้วแต่บรรณาธิการจะพิจารณา หากว่าดีก็ตีพิมพ์ ไม่ดีก็ลงตะกร้าขยะไป
ซึ่งเจ้าของสำนักพิมพ์นั้น คือ "เสาหลักประชาธิปไตย"
ค่าตอบแทนที่ได้รับต่อชิ้นคือ 500 บาท หักภาษี ณ ที่จ่ายไป 5% เรียบร้อย
ปี 2538 สำนักพิมพ์ประสบปัญหาขาดทุน เจ้าของก็ป่วยหนักและเสียชีวิต
ระยะนั้นมีการเจรจาซื้อขายบริษัทระหว่างทายาทสำนักพิมพ์ กับ "ผู้กว้างขวางทางบ่อน" คนหนึ่ง
การเบิกจ่ายเงินของบริษัทไม่ว่าเงินเดือนพนักงาน ค่าตอบแทนนักเขียน ทั้งที่เขียนประจำและเขียนไม่ประจำ จึงมีความติดขัด
เขาเล่าว่า เขึยนส่งไป ลงตีพิมพ์ไป แต่ค่าตอบแทนไม่มา จึงโทรถาม (ค่าโทรแพงมาก ทางไกลนาทีละ 12 บาท)
ก็ได้คำตอบว่า พนักงานเองตอนนี้ยังรอการเปลี่ยนผ่าน รอเจ้าของใหม่ เงินเดือนก็ยังไม่ได้รับเหมือนกัน
เพราะการซื้อขายมีการเจรจารับทั้งทรัพย์สินและหนี้สิน กรุณารอ
ก็รอ
รอจนมีบทกลอนตีพิมพ์ไป 12 ชิ้น คือ 12 สัปดาห์ สามเดือนเต็ม ค่าตอบแทนก็เงียบกริบ
จนมีการซื้อขายเรียบร้อย
ก็โทรถามอีกครั้ง คำตอบที่ได้คือ กำลังเคลียร์ กรุณารอ
ก็รอ
ผ่านไปเป็นปี ก็เงียบ ก็เลยเลิกถามไถ่
มาวันหนึ่ง เขาจึงเขียนจดหมายถึงเจ้าของคนใหม่ของสำนักพิมพ์
อธิบายแจกแจงให้ฟังว่า ยังไม่ได้รับค่าตอบแทน
ผลก็คือ เงียบกริบ 12 ชิ้น ค่าสมองเกือบหกพันบาทเงียบกริบ
แล้วประสาอะไรกับการที่หยิบเรื่องทักษิณเบี้ยวเชค 8 แสนมาโพนทะนา
ทักษิณก็แค่ปุถุชน มีโลภ โกรธ หลง ไม่ใช่คนดิบดีผุดผ่องเหนือกว่าใคร
ขงจี๊อกล่าวไว้ว่า คนจะดีจะเลวนั้น ให้ดูว่า การกระทำของเขาส่งผลต่อสังคมอย่างไร
ไอ้ประเภทดีเพราะห่มผ้าเหลือง ดีเพราะบอกว่าซื่อสัตย์ แต่ทำอะไรแต่ละอย่าง วิบัติทั้งนั้น
มันจะเป็นคนดีได้ไง
ไม่ค่อยสวยเท่าไร ที่จะยั่วยวนกวนโอ๊ยเพื่อนสมาชิกด้วยกัน ด้วยการเอาตัวบุคคลคนหนึ่งเป็นเครื่องมือ
ไม่สวยจริง ๆ