เกริ่นไว้ก่อนว่ากระทู้แรก หากผิดพลาดขออภัยล่วงหน้านะคะ อยากแชร์ ประสบการณ์และมีคำถามอยู่ในใจแบบงงๆ คะ
เรื่องคือ
เราทำกิจการร้านซูชิเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในเขตห้วยขวาง โดยตกลงเช่าร้านเปล่าๆ มีแต่โครงร้าน จากผู้ให้เช่าเป็นจำนวนเงินเดือนละ 7000 บาทตกแต่งร้านเองทั้งหมด ค่าตกแต่งแสนกว่าบาทได้ (ฝ้า+ระบบไฟ+เค้าท์เตอร์+กั้นห้อง+แอร์+พัดลม)
ถึง เดือนตุลาคม 2557 เราตั้งครรภ์ จึงประกาศเซ้งร้านซูชิ ร้านนี้
เราได้ประกาศเซ้งสองแบบคือ
ราคา 150,000 พร้อมสูตร และอุปกรณ์ ทั้งร้าน คือคุณเข้ามาขายได้เลย และ
ราคา 100,000 ร้านเปล่า คือ เซ้งทำเล และของตกแต่งภายในร้าน(เช่นแอร์ พัดลม โต๊ะ เค้าท์เตอร์ ) และฐานลูกค้า เพราะมีลูกค้าประจำอยู่จำนวนนึง
มีคนสนใจติดต่อมาหลายคน แต่ว่าคนที่เราสนใจจะเซ้งให้เค้า มีอยู่ 2 คน
และทั้งสองคนเป็นคนรู้จัก กันหมด
คนแรก (เรียกว่าพี่แตงแล้วกันนะ ) บอกราคาไป1.5 แสน เค้าขอต่อรองให้เซ้ง 1.3 แสน เค้าทำซูชิไม่เป็น และเราก็ต้องมาสอนเค้าจนกว่าเค้าจะเป็นงาน
คนที่สอง (เรียกว่าพี่แป้งแล้วกันนะ ) บอกราคาไป 1 แสน เค้าขอต่อรองบางอย่างซึ่งรายละเอียดยังไม่คุยกัน แต่เค้าทำซูชิอยู่แล้ว และลูกค้าเรียนอยู่ รร.ใกล้ที่เราขายของ ขอเซ้งร้านเปล่าๆ กับพวกแอร์ และโต๊ะ เพราะอ้างว่ามีอุปกรณ์อยู่แล้ว
เหตุเพราะเราจะย้ายบ้านไปอยู่แถวสาย 4 ถึงไม่อยากขับรถกลับไปกลับมาเพื่อสอน(เพราะ 1.5แสนนี่ กะจะเซ้งแค่สูตรและอุปกร ไม่ได้กะมาสอนจนเป็น)
*เราจึงเลือกคนที่ 2 (พี่แป้ง) เค้าก็มาก็คุยกันต่างๆนาๆ เค้าก็พูดจาแบบว่า คนมีฝันเหมือนกัน ชอบซูชิดหมือนกัน และ มีลูกชายยังเล็ก ชีวิตสู้มามาก ไปขายตลาดหลังทรูขายดีมาก ชอบซูชิ และรักงานตรงนี้ ฝันอยากมีร้าน และก็ต่อสู้มาเพื่อลูก บลาๆๆๆๆๆ
แต่....ตอนนี้ยังไม่มีเงินมากขนาด 1 แสนบาท เราจะตกลงกันยังไงได้บ้าง เราเลยบอกว่างั้น ลองมาคุยกันดีไหม เพื่อนๆกันอุดมการณ์เดียวกันคุยง่ายๆ ไปเลยเราใจนักเลงพอ
คุยไปคุยมาไอเราก็เห็นใจ เค้าและถามเค้าว่าไหวแค่ไหน
*ขอเรียกชื่อเค้าย่อๆว่า แป้ง แล้วกันนะคะ ส่วนเราคือ พิ
้เริ่มเหตุการณ์ประมาณเดือน ธันวาคม 2557
พิ : เอาไงดีพี่แป้ง สรุปยังอยากได้ร้านไหม หรือ จะให้หนูช่วยยังไงบอกมาเลย
แป้ง : คือพี่ก็อยากได้นะ แต่พี่ก็พูดตรงๆนะเงินไม่พร้อมอะพิ ถ้าพี่จะจ่ายพิไปก่อน 5 หมื่นแล้วทีเหลือพี่ทยอยจ่ายได้ไหม เชื่อใจพี่ไหม หรือจะทำสัญญาก็ได้นะ แต่ตอนนี้พี่ไม่มีเงินก้อน จริงๆสามีพี่อยู่เมืองนอกเค้าทำงานที่นั่น พี่กับสามีมีเงินฝากในบัญชีธนาคาร แต่ยังถอนไม่ได้เพราะสามีพี่ต้องมาเซ็น คงกลับมาเดือน พ.ค. ปี 58 เค้าก็ว่าดีนะถ้าจะเซ้งร้านต่อจากพิ พี่จะได้มีร้านสักที พี่จะได้ไม่ต้องหอบของไปขาย เพราะพี่ไม่มีรถ รถพี่เพิ่งไฟใหม้ไป
พิ : พี่แตง(คนแรก)ต่อพิ แสน 3 ถ้าพิโอเค จะจ่ายเงินสดเดี๋ยวนั้นเลย แต่พิไม่อยากเทียวไปเทียวมาสอนเค้า เพราะพิย้ายไปไกล พิอยากให้พี่แป้ง แต่พี่แป้ง ต้องสัญญาว่าจะทำตามคำพูดนะ พิไม่มีปัญหาอยู่แล้ว คนกันเอง
แป้ง : พิไปคิดดูก่อนแล้วกันนะ พี่ยังไงก็ได้ พี่ก็แกรงใจพิมากเลยพี่ไม่กล้าจะบอกตรงๆ ว่าพี่ไม่มีเงินพอ
พิ : ได้พี่แป้งเดี๋ยวปรึกษาแฟนก่อน แล้วว่ากัน
เดี๋ยวมาต่อนะคะ
เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย ขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว สรุปใครโกงใครกันแน่คะ ขอคำตัดสินที??
เรื่องคือ
เราทำกิจการร้านซูชิเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในเขตห้วยขวาง โดยตกลงเช่าร้านเปล่าๆ มีแต่โครงร้าน จากผู้ให้เช่าเป็นจำนวนเงินเดือนละ 7000 บาทตกแต่งร้านเองทั้งหมด ค่าตกแต่งแสนกว่าบาทได้ (ฝ้า+ระบบไฟ+เค้าท์เตอร์+กั้นห้อง+แอร์+พัดลม)
ถึง เดือนตุลาคม 2557 เราตั้งครรภ์ จึงประกาศเซ้งร้านซูชิ ร้านนี้
เราได้ประกาศเซ้งสองแบบคือ
ราคา 150,000 พร้อมสูตร และอุปกรณ์ ทั้งร้าน คือคุณเข้ามาขายได้เลย และ
ราคา 100,000 ร้านเปล่า คือ เซ้งทำเล และของตกแต่งภายในร้าน(เช่นแอร์ พัดลม โต๊ะ เค้าท์เตอร์ ) และฐานลูกค้า เพราะมีลูกค้าประจำอยู่จำนวนนึง
มีคนสนใจติดต่อมาหลายคน แต่ว่าคนที่เราสนใจจะเซ้งให้เค้า มีอยู่ 2 คน
และทั้งสองคนเป็นคนรู้จัก กันหมด
คนแรก (เรียกว่าพี่แตงแล้วกันนะ ) บอกราคาไป1.5 แสน เค้าขอต่อรองให้เซ้ง 1.3 แสน เค้าทำซูชิไม่เป็น และเราก็ต้องมาสอนเค้าจนกว่าเค้าจะเป็นงาน
คนที่สอง (เรียกว่าพี่แป้งแล้วกันนะ ) บอกราคาไป 1 แสน เค้าขอต่อรองบางอย่างซึ่งรายละเอียดยังไม่คุยกัน แต่เค้าทำซูชิอยู่แล้ว และลูกค้าเรียนอยู่ รร.ใกล้ที่เราขายของ ขอเซ้งร้านเปล่าๆ กับพวกแอร์ และโต๊ะ เพราะอ้างว่ามีอุปกรณ์อยู่แล้ว
เหตุเพราะเราจะย้ายบ้านไปอยู่แถวสาย 4 ถึงไม่อยากขับรถกลับไปกลับมาเพื่อสอน(เพราะ 1.5แสนนี่ กะจะเซ้งแค่สูตรและอุปกร ไม่ได้กะมาสอนจนเป็น)
*เราจึงเลือกคนที่ 2 (พี่แป้ง) เค้าก็มาก็คุยกันต่างๆนาๆ เค้าก็พูดจาแบบว่า คนมีฝันเหมือนกัน ชอบซูชิดหมือนกัน และ มีลูกชายยังเล็ก ชีวิตสู้มามาก ไปขายตลาดหลังทรูขายดีมาก ชอบซูชิ และรักงานตรงนี้ ฝันอยากมีร้าน และก็ต่อสู้มาเพื่อลูก บลาๆๆๆๆๆ
แต่....ตอนนี้ยังไม่มีเงินมากขนาด 1 แสนบาท เราจะตกลงกันยังไงได้บ้าง เราเลยบอกว่างั้น ลองมาคุยกันดีไหม เพื่อนๆกันอุดมการณ์เดียวกันคุยง่ายๆ ไปเลยเราใจนักเลงพอ
คุยไปคุยมาไอเราก็เห็นใจ เค้าและถามเค้าว่าไหวแค่ไหน
*ขอเรียกชื่อเค้าย่อๆว่า แป้ง แล้วกันนะคะ ส่วนเราคือ พิ
้เริ่มเหตุการณ์ประมาณเดือน ธันวาคม 2557
พิ : เอาไงดีพี่แป้ง สรุปยังอยากได้ร้านไหม หรือ จะให้หนูช่วยยังไงบอกมาเลย
แป้ง : คือพี่ก็อยากได้นะ แต่พี่ก็พูดตรงๆนะเงินไม่พร้อมอะพิ ถ้าพี่จะจ่ายพิไปก่อน 5 หมื่นแล้วทีเหลือพี่ทยอยจ่ายได้ไหม เชื่อใจพี่ไหม หรือจะทำสัญญาก็ได้นะ แต่ตอนนี้พี่ไม่มีเงินก้อน จริงๆสามีพี่อยู่เมืองนอกเค้าทำงานที่นั่น พี่กับสามีมีเงินฝากในบัญชีธนาคาร แต่ยังถอนไม่ได้เพราะสามีพี่ต้องมาเซ็น คงกลับมาเดือน พ.ค. ปี 58 เค้าก็ว่าดีนะถ้าจะเซ้งร้านต่อจากพิ พี่จะได้มีร้านสักที พี่จะได้ไม่ต้องหอบของไปขาย เพราะพี่ไม่มีรถ รถพี่เพิ่งไฟใหม้ไป
พิ : พี่แตง(คนแรก)ต่อพิ แสน 3 ถ้าพิโอเค จะจ่ายเงินสดเดี๋ยวนั้นเลย แต่พิไม่อยากเทียวไปเทียวมาสอนเค้า เพราะพิย้ายไปไกล พิอยากให้พี่แป้ง แต่พี่แป้ง ต้องสัญญาว่าจะทำตามคำพูดนะ พิไม่มีปัญหาอยู่แล้ว คนกันเอง
แป้ง : พิไปคิดดูก่อนแล้วกันนะ พี่ยังไงก็ได้ พี่ก็แกรงใจพิมากเลยพี่ไม่กล้าจะบอกตรงๆ ว่าพี่ไม่มีเงินพอ
พิ : ได้พี่แป้งเดี๋ยวปรึกษาแฟนก่อน แล้วว่ากัน
เดี๋ยวมาต่อนะคะ