69 ปี ประชาธิปัตย์ กับวันเวลาที่สูญเปล่า ไปกับการทำลายศัตรูทางการเมือง

ท่านที่เคารพรักครับ ภาพของนายชวน   นำหน้านายบัญญัติ  ตามด้วยนายอภิสิทธิ์   จัดงานพรรค ปชป มีอายุพรรคย่างเข้า 70 ปี
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั้น
ในวันงานอันสำคัญได้ขาดคนๆหนึ่งไป  คนๆหนึ่ง คนๆนั้น ซึ่งเป็นผู้ที่มีบารมีมากที่สุดในพรรค  
ผลงานอันประจักษ์  ว่ามีคนรักมากคือ  เดินไปไหน มาไหน ผู้คนก็พากันบริจาคเงินให้เต็มถุงปุ๋ย
เดินไปไหนๆ มาไหน ผู้คนก็พากันแย่งจับมือ ถือแขน แย่งกันหอม แย่งกันกอด
จนหวิดจะเบียดเหยียบตาปลากันเองก็หลายครั้ง ด้วยความเพ้อคลั่ง

แต่น่าประหลาดใจ ที่วันดี คืนดี  ในยามที่กระแสนิยมของคนๆนี้ พุ่งขึ้นถึงขีดสุด  พุ่งขึ้นถึงขีดสุดชนิดที่คอการเมือง
เคยวิเคราะห์กันเล่นๆว่า  สาธุ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำพรรค ช่วยดลบันดาลใจ ให้พรรค ปชป  เลือกคนๆนี้เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ด้วยเถิด   
หรือส่งคนๆนี้ลงสมัครเป็นผู้ว่ากรุงเทพฯสมัยหน้าด้วยเถิด

แต่น่าแปลกประหลาด ที่จู่ๆ ผู้นี้ก็กลับเร้นกาย หายไปจากพรรคเอาดื้อๆ    ทิ้งเป็นปริศนาไว้ให้ขบคิดว่า
คนๆหนี  หนีอะไร หนีไปไหน  หนีไปทำไม  ทำไมไม่มาช่วยกันกอบกู้พรรค ปฏิรูปพรรค

ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่า  คนมีบารมีที่สุดในพรรค ที่พรรคต้องพึ่งพาคนนี้  คือสุเทพ ใช่หรือไม่ ?

ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่า คนรุ่นใหม่ในพรรค อย่าง    คึก เทพไท  เล็ก ศิริโชค    ยังเก่งไม่พอนำพรรคได้ ใช่หรือไม่ ?

แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า  ที่ผ่านมา พรรคนี้ มีผลงานอะไรบ้าง บนเส้นทางการเมือง ที่ประชาชนรับรู้ ฝังใจและฝังจำ

ปัญหามันอยู่ที่ว่า  พรรคๆนี้ กำลังเป็นพรรคการเมือง ที่ห่างไกลจากหัวใจประชาชนออกไปทุกที  ทุกที  ทุกที  และทุกที

เรื่องของเรื่องมันเริ่มจากวันที่ 6 มกราคม 2544 ที่พรรคไทยรักไทย ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย
พลิกประวัติศาสตร์การเมือง อันเป็นชัยชนะต่อ นายชวน หลีกภัย เจ้าของคำพูดติดปากที่ว่า  " ผมยังไม่ได้รับรายงาน "

ชวน หรือชื่อจีนคือ " ลิจีเหวิน "  น้ำหนัก 55 กก.  162 ซม. ชอบสีเขียว สวมนาฬิกา "ลองก์ยิน " ใช้ปากกา " ดันฮิลล์ "
สวมเสื้อไซด์ M แต่แก้ความยาวแขนเสื้อ สวมรองเท้าเบอร์ 5 ครึ่ง  นายชวนผู้กาแฟแก้วเดียว ก็ไม่เคยเลี้ยงใคร

นายชวน นำพรรคลงเลือกตั้งตามสไตล์ มีดโกนอาบน้ำผึ้ง นั่นคือมีการเลือกตั้งที ก็เสนอตัว
ด้วยคำพูดแกมเสียดสีฝ่ายตรงข้ามเช่นก่อนหน้านั้นกับสโลแกนที่ว่า  " ไม่เลือกเรา เขามาแน่ "  
โดยที่ไม่เคยมีนโยบายการหาเสียงอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ให้จับต้องได้ จวบจนการมาถึงของพรรคไทยรักไทย พรรคที่มีสโลแกนหาเสียงว่า
" คิดใหม่ ทำใหม่ "

ชัยชนะของพรรคไทยรักไทย ที่มีต่อพรรค ปชป  เป็นการเลือกตั้งครั้งแรก ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ โดยมี กกต เป็นผู้ควบคุมการเลือกตั้ง
ซึ่งแตกต่างจากก่อนๆที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ดูแลจัดการ

( น่าสังเกตว่า พรรคพลังประชาชน ก็ชนะอย่างถล่มทลาย กับการเลือกตั้งครั้งแรกภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ อีกครั้ง ปี 50 )

ยุคนายชวน เป็นช่วงที่เศรษฐกิจติดลบ ประชาชนคาดหวังจนมองข้ามรัฐมนตรียี้  ที่นายชวนฟอกสีให้  
ซึ่งนายชวนก็ได้รับฉายาอีกว่า  " ช่างทาสี "   และช่วงนั้นพรรคไทยรักไทยเสนอตัวเข้ามาฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ด้วยการเสนอนโยบาย ให้ความช่วยเหลือ SMEs และสุดยอดนโยบายอันลือลั่นอย่าง การพักชำระหนี้ เกษตรกรสามปี  
กองทุนหมู่บ้าน ๆละ 1 ล้าน และ 30 บาทรักษาทุกโรค

พรรคเก่าแก่ อย่างพรรค ปชป พ่ายแพ้อย่างยับเยิน ต่อพรรคเกิดใหม่อย่างพรรค ไทยรักไทย ตลอดเวลาที่ผ่านมา พรรค ปชป แก้ตัวว่า
แพ้เพราะซื้อเสียง แต่ในการเลือกตั้งปี 44 ครั้งนั้น พรรค ปชป คงพูดเพลิน จนลืมไปว่า สส พรรคคือนายบุญมาก โดนใบแดง
เพราะใช้เงินซื้อเสียง ซึ่งเป็นใบแดง ประวัติศาสตร์ใบแรก ที่จัดการเลือกตั้งโดย กกต     เข้าทำนอง จะเอาดีเข้าตัว  เอาชั่วให้คนอื่น  ว่าแต่เขา อิเหนาดันเป็นซะเอง  

ผ่านยุคนายชวน มายุคนายบัญญัติ  ภาพรวมคือได้เลือกใช้กลยุทธ์ แตกพรรคมหาชน ไว้แย่งฐานเสียง ในภาคอิสานและเหนือ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

บนกระแสของกาลเวลาที่พัดผ่าน  พรรคนี้เรียนรู้การทำลายฝ่ายตรงข้าม ด้วยการใช้ " อารมณ์ ความรู้สึก " เป็นอาวุธ  
สร้างความรู้สึกสับสน ปั่นป่วนขึ้นในสังคม เพื่อหวังผลชนะทางการเมือง มากกว่าทำงานให้เกิดผลงานต่อประชาชน

เช่นการโจมตี จำลองว่าพาคนไปตาย  โจมตีบรรหาร เรื่องชาติกำเหนิด  มาจนถึงว่าบิ๊กจิ๋วอัลไซเมอร์
และรุนแรงหนักขึ้นเรื่อยๆ กับนายกฯท่านต่อๆมา ทำทุกอย่างเพื่อทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมือง


เป็นการทำงานแบบมุ่งทำลาย ไม่สร้างสรรค์ต่อภาพรวมการเมือง แทนที่จะยกระดับทางการเมืองแต่การเมืองกลับยิ่งตกต่ำลง


คนในพรรคเคยมีที่ไปจ้างให้ทำการวิจัยถึงความล้มเหลวและตกต่ำของพรรค   จนมีการเปิดเผยงานวิจัย
ที่มีคำเปรียบเทียบพรรค ปชป กับพรรคไทยรักไทย ที่ว่า เหมือนรถอิแต๋น กับรถสปอร์ต   แต่น่าเสียดาย ที่ผลการวิจัยครั้งนั้น
ไม่ได้รับการนำมาปรับปรุง ปฏิรูปพรรค  จนสุดท้าย ภายใต้การนำพรรคของนายมาร์คอภิสิทธิ์
ประชาชนจดจำผลงานอันน่าประทับใจได้คือ  ไข่ชั่งกิโลที่จ้างฝรั่งคิดนโยบายให้   และการต่อแถวซื้อน้ำมันปาล์ม

และสุดยอดความคิดอันลือลั่นคือ บอยคอต ไม่ยอมลงเลือกตั้ง  ถึงสองครั้ง   

การบอยคอตไม่ลงเลือกตั้ง คือการเดินออกนอกเส้นทางประชาธิปไตยครั้งสำคัญของพรรคนี้ จนทุกวันนี้เรียกได้ว่า เตลิดเปิดเปิง กู่ไม่กลับก็ว่าได้

นับเป็นพฤติกรรมพรรคการเมือง ที่น่าอับอายยิ่งนัก  บนเส้นทางประชาธิปไตย  หากสังเกตจากคนของพรรคนี้
ที่ออกไปจากพรรคอย่างคุณพิชัย  คุณอลงกรณ์  คุณพิเชษฐ ทุกครั้งที่ออกมาพูด ทุกครั้งที่ออกมาเขียน  เหมือนจี้โดนจุดคี้มึ้งคนในพรรคทุกที
ยิ่งดูจากพฤติกรรม รุ่นใหม่ รุ่นเก่าในพรรค ที่ขัดขวางการเลือกตั้ง   ก็ยิ่งอนาถใจว่านี่หรือ นี่นักการเมือง

จวบจนทุกวันนี้ ประชาชนไม่รู้ว่า ในอนาคต พรรคนี้ จะทำงานด้วยนโยบายอย่างไร    จะทำงานด้วย " อุดมการณ์ " ประชาธิปไตยอย่างไร


คงต้องฝากคำถามนี้ไปถึงนักการเมืองรุ่นใหม่ในพรรคอย่าง   ติ่ง มัลลิกา  ตั๊น จิตภัสร์ และ ขิง เอกนัฏ
  
ก่อนอื่นอยากให้
หยุดนิ่งตั้งสติสักนิด  หากมองอย่างใคร่ครวญ ก็ต้องพูดตามสำนวนของท่านโกวเล้ง ที่ว่า

" เมื่อผิดแล้ว ไยต้องผิดอีก?
หัวใจตายด้านแล้ว คนไยต้องตายอีก?
แค้นเก่ามากพอแล้ว ไยต้องเพิ่มทุกข์ใหม่อีก?
โลหิตหลั่งไหลมากแล้ว ไยต้องหลั่งไหลอีก?  "    ( จาก  เล็กเซี่ยวหงส์ ตอน จอมโจรปักดอกไม้ )



ขอน้อมคารวะครับ  พี่ๆทุกๆท่าน ที่ระลึกถึงเสมอมาครับ  

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่