ถ้าเพื่อนสนิทเมินเราทั้งที่เราไม่ได้เจอกันสักพัก และก่อนหน้านี้ยังคุยดีอยู่ เราควรทำอย่างไรดี?

เคยมีใครเป็นแบบเราไหมไม่แน่ใจนะคะ

เรามีเพื่อนค่ะ เราคิดว่าเราสนิทกับเขามากด้วย เขาเป็นคนที่ค่อนข้างแปลกจากคนอื่นไปบ้าง แต่เราก็ชอบเขาเพราะเขาเป็นเขานั่นล่ะ อาจไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษดีเลิศ แต่เขาก็คอยช่วยเหลือเราตลอด ไม่เคยอิดออดอะไรถ้าเกิดเราเอ่ยปากขอให้เขาช่วย ตอนเจอกันครั้งแรกนี่ไม่ประทับใจค่ะ เขากวนประสาทเรามาก ค่อนข้างหาเรื่องเราด้วยซ้ำ อาจเพราะเขาจำเราได้ แต่เราจำเขาไม่ได้เสียอย่างนั้น เรากับเขาเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่สมัยประถม คุณแม่ของเขาเป็นคุณครูที่สอนให้เราออกไปแข่งด้านวิชาการภาษาไทยนอกโรงเรียน ช่วงนั้นเราต้องไปแว้บที่ห้องเรียนของเขาบ่อยมาก แต่เราก็ไม่เคยจำได้สักทีว่ามีเขาอยู่ในห้องด้วย

เรากลับมาเจอเขาอีกทีตอน ม.5 ช่วงนั้นเราเพิ่งเริ่มปรับตัวเข้ากับโรงเรียนใหม่ได้ เขาเองย้ายห้องขึ้นมาอยู่ห้องเดียวกันพอดี เขาเป็นเด็กเรียนที่รักการอยู่หลังสุดของห้อง เราเป็นคนที่ชอบนั่งหน้าเพราะฟังอาจารย์เข้าใจง่าย อยากถามตอนไหนก็ได้ แรกๆ ก็ตีกันประจำเพราะเขาชอบหาเรื่องกวนประสาท ตอนนั้นไม่ได้ไม่ชอบหรือเกลียดอะไรเขา แต่เพื่อนบอกว่าคนนี้อันตรายแฟนคลับเยอะ เราก็ได้แต่คิดว่ามันตลก เพราะแฟนคลับเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา อีกอย่างเขากับเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น แค่ทะเลาะกันบ้างเป็นบางที ช่วงนั้นเพื่อนผู้หญิงในห้องพยายามไปคุยกับเขามาก แต่เขาก็หยิ่งได้ใจจริงๆ เมินบ้าง เชิดบ้าง หนักหน่อยมีตอกหน้าหงายกลับมา มารู้ทีหลังว่าเขาค่อนข้างรำคาญคนที่ไปเกาะแกะ เรากับเขาเป็นประเภทคล้ายกันคือไม่ค่อยสนใจโลก ถ้าทะเลาะกันเรามักจะเงียบใส่กัน บางทีไม่คุยกันเป็นเดือนเว้นมีเรื่องงานก็มี แต่ก็แปลกที่สมัยนั้นมี MSN เขาทักจะบอกความลับ หรือไม่ก็เรื่องส่วนตัวให้เราฟัง กระทั่งเราต้องไปช่วยเขาจีบรุ่นพี่คนหนึ่งตอนอยู่ ม.6 ในคาบเรียนลีลาศด้วยซ้ำ แน่นอนว่าไม่มีเพื่อนคนไหนรู้เรื่องนี้... คนอื่นๆ จะมองว่าเรากับเขามีอะไรกันหรือเปล่า

เรื่องมันเกิดขึ้นตอนเราขึ้นปี 1 เรากับเขาได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกันแต่ต่างคณะ ตอนเข้าไปแรกๆ เขายังปลอบเราเลยว่าอยู่หอในไม่น่ากลัวหรอก เพราะเขาเข้าไปอยู่มาก่อนเราสักราวอาทิตย์หนึ่ง ตอนนั้นเราก็ได้เพื่อนใหม่ ยังชวนกันพารูมเมทไปทานข้าวด้วยกันอยู่เลย จากนั้นเราเองก็มัวยุ่งกับเรื่องเรียน รับน้อง ปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ วิธีการเรียนที่แตกต่างออกไปจากตอนมัธยมปลาย  รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่าเรากับเขาแทบไม่ได้คุยหรือเจอหน้ากันเลย ตอนนั้นมีเพื่อนที่ติดมหาลัยเดียวกันอีกคนชวนไปนัดเจอเพื่อนที่แถวโรงเรียนเก่า เราก็รับปากตกลงไป เพราะอยากเจอเพื่อนด้วย สุดท้ายพอไปถึงก็เจอเขาอยู่ในกลุ่มเพื่อนนะ แต่เขาเมินเรา... ตอนนั้นมองโลกในแง่ดีว่าเขาคุยกับคนอื่นอยู่ แต่พอขากลับเท่านั้นเราอึ้งเลย เขาเดินมาคุยกับเพื่อนที่อยู่กับเราโดยที่เรายืนอยู่ตรงกลาง พอเราจะเดินเลี่ยงก็เลี่ยงไม่ได้ ไม่มอง ไม่ยิ้ม ไม่ทัก เหมือนเราเป็นอากาศ...

ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เราพยายามคิดในแง่ดีว่าไม่มีอะไรก็แค่ครั้งเดียว... ครั้งต่อมาที่เราเจอเขาก็ยังเป็นแบบเดิม จะเดินไปทักก็เดินหนี จนสุดท้ายที่เราตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง  เราเดินเข้าไปหาเขาที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนพร้อมกับเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันกับเราอีกคน  สิ่งที่เราเห็นคือสายตาของเขาว่างเปล่า... มองเราเหมือนกับเราไม่มีความหมายกระทั่งคำว่า "เพื่อน"  เราแน่ใจว่าเราไม่ได้ไปทำอะไรเขาด้วยซ้ำ ไม่เคยทำ ไม่คิดจะทำ เพราะคิดว่าตลอดว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดีกับเรา เขายิ้มให้เพื่อนอีกคน แต่มองเราเหมือนเราเป็นตัวอะไรสักอย่าง สุดท้ายเราก็เดินเลี่ยงออกมาด้วยอาการช็อค พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ไม่รู้ควรต้องร้องไห้ดีไหม

เรากลับมานั่งพิจารณาความผิดตัวเองว่าเคยไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่า... เรามั่นใจว่าความลับของเขาทุกอย่างเราไม่เคยหลุดปากออกไปให้ใครฟัง เราเก็บมันไว้อย่างดีเพราะเราคิดว่าเขาคงไม่อยากให้คนอื่นรู้ เพราะเราเองก็มีเรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้เหมือนๆ กันกับเขา เหมือนเป็นด้านอีกด้านที่อยากเก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัว  เรานั่งทบทวน คิดซ้ำไปซ้ำมา จะว่าไปทำอะไรให้ก็คงไม่ใช่ แค่ตอนนั้น Facebook เรายังไม่ว่างแตะเลย ถึงหอจะใกล้กันแต่งานรับน้องกว่าจะเสร็จต่างคนก็คงไม่ไหวกลับหอไปนอนเอาแรงไปเรียนวันรุ่งขึ้นอยู่แล้ว โทรศัพท์นี่เรารับแต่เวลาที่บ้านโทรมา อีกอย่างเรามั่นใจว่าเขาไม่เคยโทรหาเราด้วยซ้ำ ไม่มีการติดต่อ ก็เหลือแค่เรื่องเดียว... เราเคยหลุดปากกับเพื่อนมัธยมว่าชอบเขา แล้วไม่ได้อธิบายอะไรต่ออีก คำว่าชอบของเราตอนที่พูดเราบอกไม่ได้ว่าคือแบบไหน มันเหมือนความผูกพัน แต่ไม่อยากให้เขามาเป็นแฟนกับเรา เราไม่แน่ใจว่าเพื่อนเราเอาไปบอกเขาหรือเปล่า เขาเลยทำแบบนั้นกับเรา

เราปล่อยเรื่องทั้งหมดไว้ในใจ มีบ้างที่นึกขึ้นมาแล้วก็ทำเป็นลืมๆ ไป ถึงจะอดคิดไม่ได้ว่าเราไปทำผิดอะไรมากมายขนาดนั้น  เพื่อนคนที่เขาคุยด้วยคือคนที่เอาเขาไปว่าลับหลัง แต่นั่นก็เพื่อนเรา เราคิดว่าเพื่อนอาจแค่โมโหกับนิสัยบางมุมของเขา ซึ่งเราพยายามเข้าใจว่าคนเราแตกต่างกัน มองต่างมุมกัน ทะเลาะกันบ้างก็ไม่แปลก แค่เรากับเขามักจะพูดตรงๆ มากกว่ามาว่ากันลับหลัง เราได้แต่ถามตัวเองว่าทำไม... เพราะอะไร... แล้วเราก็ยอมแพ้... เราไม่กล้าเอาหน้าตัวเองไปให้เขาเห็น เรากลัวเจอสายตาของเขาซ้ำแบบเดิม

เรื่องผ่านไปประมาณเดือนหรือสองเดือน อยู่มาวันหนึ่งเขาก็โทรศัพท์มาหาเราที่ทำงานหัวฟูอยู่หอ

"อยู่ไหนน่ะ ไปลอยกระทงกันไหม" เราช็อคมาก... ต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูมาดูชื่อที่ขึ้นบนหน้าจออีกครั้ง  จากที่ลืมไปแล้วว่าเคยมีเขาเป็นเพื่อน เราจำขึ้นมาได้ทันทีว่าเรารู้สึกอย่างไรตอนนั้น เราไม่โกรธ แค่ไม่เข้าใจว่าเขาจะโทรมาหาเราทำไมทั้งๆ ที่เขาทำแบบนั้นกับเรา พอคุยไปคุยมาก็เกือบทะเลาะกัน เพราะเขาบอกว่าเราตกลงกับเขาใน Facebook กลุ่ม ว่าจะไปงานลอยกระทงพร้อมกันกับคนอื่น เราพยายามใจเย็นบอกเขาว่าเราทำงานไม่ว่าง เย็นแล้ว มหาลัยก็ไกลจากที่ลอยกระทงแถวโรงเรียนเก่าด้วย จากนั้นเรากับเขาก็ไม่คุยกันอีก...

อ่านมาถึงตอนนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องมาตั้งกระทู้แบบนี้ คือตอนนี้เรามักฝันซ้ำๆ ตอนที่ถูกเขาเมินแบบนั้น แววตา สีหน้า ท่าทาง ทุกครั้งที่ฝันตื่นมาเราไม่เคยรู้สึกสบายใจเลยสักครั้ง มันหายไปแล้วก็กลับมาอีก ถ้าดีหน่อยก็มาแค่ความรู้สึก แต่พักนี้มาแบบ Full HD หน้ามาเต็ม เรายอมรับว่าเราคาใจ แต่เราไม่อยากเคลียร์เพราะรู้สึกว่าเขาควรขอโทษเรามากกว่าทำอะไรแบบนั้น ถึงจะรู้ว่าเขาง้อคนไม่เป็น ไม่เก่งเรื่องเข้าสังคม แต่อย่างน้อยก็น่าจะบอกเราบ้างว่าเราทำอะไรให้เขาไม่พอใจตอนนั้น

เรามีคำถามค่ะ...

1. เราควรทำอย่างไร ควรถามเขาไปตรงๆ ไหม ทั้งๆ ที่เราปล่อยเรื้อรังมาราว 3 ปีได้แล้ว
2. เพื่อนๆ คิดว่าเพราะอะไรเขาถึงทำแบบนั้นกับเรา แล้วยังโทรมาอีกคะ
3. ทำยังไงให้เราเลิกกลัวกับสายตาแบบนั้นสักที เรากลัวการมีเพื่อนสนิท กลัวการถูกทำแบบเดิม
4. ถ้าเราชอบเขา เราผิดมากขนาดนั้นหรือเปล่า? เราไม่ได้หวังให้เขามาชอบ หรือไม่ได้ไปแสดงออกอะไรด้วยซ้ำ

ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำล่วงหน้านะคะ อมยิ้ม17

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่