ตอนปฐมสังคายนามีอรรถกถาหรือไม่

ตามนั้นนะ

ถ้ามี... แสดงหลักฐานหรือข้อวินิจฉัยตามข้อมูล
ถ้าไม่มี... แสดงหลักฐานหรือข้อวินิจฉัยตามข้อมูล

ขอความรู้ ไม่ต้องการจินตนาการไร้ข้อมูล
ขอบคุณครับ

ตัวอย่างอรรถกถา
อรรถกถาพาหิยสูตร               
               พาหิยสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า พาหิโย เป็นชื่อของท่าน.
               บทว่า ทารุจีริโย ได้แก่ ผ้าคากรองที่ทำด้วยไม้.
               บทว่า สุปฺปารเก ได้แก่ อยู่ที่ท่าชื่ออย่างนั้น.
               ก็พาหิยะนี้คือใคร. และอย่างไรจึงเป็นผู้ทรงผ้าคากรองทำด้วยไม้, อย่างไรจึงอยู่อาศัยที่ท่าสุปปารกะ?
               ในข้อนั้น มีอนุปุพพิกถาดังต่อไปนี้
               ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ในที่สุดแสนกัปแต่ภัทรกัปนี้ กุลบุตรคนหนึ่งกำลังฟังพระธรรมเทศนาของพระทศพลที่หังสวดีนคร เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะแห่งภิกษุผู้เป็นขิปปาภิญญา
               คิดว่า ไฉนหนอ ในอนาคต เราจักบวชในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นปานนี้ แล้วพึงเป็นผู้อันพระศาสดาสถาปนาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเช่นนี้ เหมือนภิกษุรูปนี้ ได้ปรารถนาตำแหน่งนั้น จึงบำเพ็ญบุญญาธิการอันสมควรแก่ตำแหน่งนั้น บำเพ็ญบุญอยู่ตลอดชีวิต มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ บวชในพระศาสนาของพระกัสสปทศพล มีศีลบริบูรณ์บำเพ็ญสมณธรรม ถึงความสิ้นชีวิตแล้วบังเกิดในเทวโลก.
               ท่านอยู่ในเทวโลกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ ถือปฏิสนธิในเรือนมีสกุลในพาหิยรัฐ ชนทั้งหลายจำเขาได้ว่า พาหิยะ เพราะเกิดในพาหิยรัฐ.
               เขาเจริญวัยแล้วอยู่ครองเรือน เอาเรือบรรทุกสินค้ามากมาย แล่นไปยังสมุทรกลับไปกลับมา สำเร็จความประสงค์ ๗ ครั้งจึงกลับนครของตน ครั้นครั้งที่ ๘ คิดจะไปสุวรรณภูมิ จึงขนสินค้าแล่นเรือไป. เรือแล่นเข้ามหาสมุทรยังไม่ทันถึงถิ่นที่ปรารถนา ก็อับปางในท่ามกลางสมุทร.
               มหาชนพากันเป็นภักษาของปลาและเต่า ส่วนท่านพาหิยะเกาะกระดานแผ่นหนึ่ง กำลังข้ามอยู่ถูกกำลังคลื่นซัดไปทีละน้อยๆ ในวันที่ ๗ ก็ถึงฝั่งใกล้ท่าสุปปารกะ.
               ท่านนอนที่ฝั่งสมุทร โดยรูปกายเหมือนตอนเกิด เพราะผ้าพลัดตกไปในสมุทร บรรเทาความกระวนกระวายได้แต่เพียงลมหายใจ ลุกขึ้นเข้าไประหว่างพุ่มไม้ด้วยความละอาย ไม่เห็นอะไรๆ อย่างอื่นที่จะเป็นเครื่องปิดความละอาย จึงหักก้านไม้รัก เอาเปลือกพัน (กาย) ทำเป็นเครื่องนุ่งห่มปกปิดไว้. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เจาะแผ่นกระดานเอาเปลือกไม้ร้อยทำเป็นเครื่องนุ่งห่มปกปิดไว้.
               ท่านปรากฏว่า ทารุจีริยะ เพราะทรงผ้าคากรองทำด้วยไม้ และว่า พาหิยะ ตามชื่อเดิมแม้โดยประการทั้งปวง ด้วยประการฉะนี้.
               ท่านถือกระเบื้องอันหนึ่ง เที่ยวขอก้อนข้าวที่ท่าสุปปารกะ โดยทำนองดังกล่าวแล้ว พวกมนุษย์เห็นเข้าจึงคิดว่า ถ้าชื่อว่าพระอรหันต์ยังมีในโลกไซร้ ท่านพึงเป็นอย่างนี้ พระผู้เป็นเจ้าองค์นี้ จะถือเอาผ้าที่เขาให้ หรือไม่ถือเอาเพราะความมักน้อย ดังนี้
               เมื่อจะทดลอง จึงน้อมนำผ้าจากที่ต่างๆ เข้าไป.
               เขาคิดว่า ถ้าเราจักไม่มาโดยทำนองนี้ไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเหล่านี้พึงไม่เลื่อมใสเรา ไฉนหนอ เราพึงห้ามผ้าเหล่านี้เสีย อยู่โดยทำนองนี้แหละ เมื่อเป็นเช่นนี้ ลาภสักการะก็จักเกิดขึ้นแก่เรา.
               เขาคิดอย่างนี้แล้ว จึงตั้งอยู่ในฐานะเป็นผู้หลอกลวงไม่รับผ้า.
               พวกมนุษย์คิดว่า น่าอัศจรรย์ พระผู้เป็นเจ้านี้มักน้อยแท้ จึงมีจิตเลื่อมใสโดยประมาณยิ่ง กระทำสักการะและสัมมานะเป็นอันมาก. ฝ่ายท่านรับประทานอาหารแล้ว ได้ไปยังเทวสถานแห่งหนึ่งในที่ไม่ไกล. มหาชนก็ไปกับท่านเหมือนกัน ได้ซ่อมแซมเทวสถานนั้นให้.
               ท่านคิดว่า คนเหล่านี้เลื่อมใสในฐานะเพียงที่เราทรงผ้าคากรอง จึงพากันทำสักการะและสัมมานะอย่างนี้ เราควรจะมีความประพฤติอย่างสูงสำหรับคนเหล่านี้ จึงเป็นผู้มีบริขารเบาๆ เป็นผู้มักน้อยอยู่. ฝ่ายท่าน เมื่อถูกคนเหล่านั้นยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ ก็สำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ อนึ่ง การทำสักการะและทำความเคารพ ก็เจริญยิ่งๆ ขึ้น และท่านก็ได้มีปัจจัยมากมาย.
               เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า
               ก็สมัยนั้นแล ท่านพาหิยะ ทารุจีริยะ อาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะใกล้ฝั่งสมุทร เป็นผู้อันมหาชนสักการะเคารพ.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สกฺกโต ความว่า เป็นผู้อันมหาชนสักการะโดยการบำรุงด้วยความเคารพ คือเอื้อเฟื้อ.
               บทว่า ครุกโต ความว่า ผู้อันมหาชนกระทำให้หนัก ด้วยการกระทำให้หนักดุจฉัตรหิน โดยความประสงค์ว่า เป็นผู้ประกอบด้วยคุณวิเศษ.
               บทว่า มานิโต ความว่า ผู้อันมหาชนนับถือด้วยการยกย่องด้วยน้ำใจ.
               บทว่า ปูชิโต ความว่า ผู้อันมหาชนบูชาแล้วด้วยการบูชา ด้วยการสักการะ มีดอกไม้และของหอมเป็นต้น.
               บทว่า อปจิโต ได้แก่ ผู้อันมหาชนยำเกรงแล้วด้วยการให้หนทาง และการนำอาสนะมาเป็นต้น ด้วยจิตเลื่อมใสอย่างยิ่ง.
               บทว่า ลาภี จีวร ฯ เป ฯ ปริกฺขารานํ ความว่า เป็นผู้ได้ด้วยการได้ปัจจัย ๔ มีจีวรเป็นต้น อันแสนจะประณีตที่มหาชนนำเข้าไปยิ่งๆ. อีกนัยหนึ่ง บทว่า สกฺกโต ได้แก่ ได้รับสักการะ.
               บทว่า ครุกโต ได้แก่ ได้รับความเคารพ.
               บทว่า มานิโต ได้แก่ อันมหาชนนับถือมาก และมีใจรักมาก.
               บทว่า ปูชิโต ได้แก่ อันมหาชนบูชาแล้วด้วยการบูชาอย่างยิ่ง ด้วยปัจจัย ๔.
               บทว่า อปจิโต ได้แก่ ได้รับความอ่อนน้อมถ่อมตน................ฯลฯ

http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=47

และถ้าอรรถกถาเกิดหลังจากปฐมสังคายนาร่วมหลายร้อยปี
เหตุใดอรรถกถาจารย์จึงสามารถบรรยายความในตอนพุทธกาลได้ละเอียดกว่าบาลี

(สำหรับคำตอบที่ว่า อรรถกถาจารย์คิดเอาเอง จิ้นเอาเอง มั่วเอาเอง ไม่ต้องตอบนะครับ)
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
คุณชาวมหาวิหาร อธิบายไว้ในกระทู้เก่าๆไว้ดีแล้ว ผมยกมาแสดง จะได้ไม่ต้องเหนื่อย



คำว่า "การเรียนบาลี" ในบทนี้ มาจากคำว่า "อุเทศ" ได้แก่ พระพุทธพจน์
คำว่า "การเรียนอรรถกถา" นี้ มาจากคำว่า "ปริปุจฉา" เช่น การให้อรรถธิบายต่างๆ
เพื่ออธิบายขยายความ พระบาลีหรือพระพุทธพจน์ ที่มี อรรถะอันลึก

ปริปุจฉา หรือ อรรถกถา ในที่นี้อาจจะแบ่งออกเป็น ๔ อย่าง ได้แก่


1. "ปริปุจฉา" ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเอง (เรียก "พุทฺธสํวณฺณิตอฏฺฐกถา")
ตัวอย่าง http://84000.org/tipitaka/read/?1/32-37
ดูที่ข้อ ๓๓ ถึง ๓๗ ซึ่งเป็นการให้ อรรถาธิบาย ด้วยพระองค์เอง
เป็นการอธิบายถึง "อุเทศ" ที่พระองค์ทรงตรัสไว้ในบทก่อน


2. "ปริปุจฉา" ที่พระมหาเถระทั้งหลาย มีพระสารีบุตร พระมหากัสสปปะ พระกัจจายนะเป็นต้น
อธิบายไว้ (เรียก "อนุพุทฺธสํวณฺณิตอฏฺฐกถา")
เช่น ในขุททกนิกาย มหานิทเทส, จูฬนิทเทส
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=29&A=0&Z=486
พระสารีบุตรได้ยกพระพุทธพจน์ขึ้นตั้งแล้ว ได้ให้อรรถาธิบายต่อไปเป็นลำดับ

นอกจากนี้ พระมหากัสสัปปะ พระอุบาลี พระอานนท์ ภายหลังจากปฐมสังคายนาเสร็จสิ้น
ท่านก็ได้สังคายนาปกิณกเทศนา อันเป็นคำอธิบายขยายความพระไตรปิฎกนั้น ต่อ
โดยเรียกว่า “มหาอรรถกถา” ซึ่งสืบทอดกันมาด้วย "มุขปาฐะ" คือ การทรงจำด้วยปากเปล่า
จากเหล่าพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาทั้งหลาย
ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ อัฏฐสาลินีอรรถกถา ที่อธิบายขยายความ พระอภิธรรมปิฎก
คัมภีร์แรกนี้ พระมหากัสสปะ ได้เป็นผู้ร้อยกรองก่อนแต่ครั้งนั้น พระอรรถกถาจารย์
ในภายหลังก็ได้ใช้เป็นแนวในการร้อยกรองสืบต่อมา


3. อรรถกถาที่พระสาวกทั้งหลายทรงจำจาก ข้อ1 และ ข้อ2
และสั่งสอนสืบต่อกันและได้รับการรวบรวมผ่านการสังคายนา 3 ครั้ง
แล้วพระมหินทเถระนำพระไตรปิฎกรวมทั้งอรรถกถา
ไปสั่งสอนที่เกาะสิงหล (เรียก "โปราณอรรถกถา")


4. อรรถกถาที่พระพุทธโฆสาจารย์ลงไปแปลจากอรรถกถา
ภาษาสิงหลกลับเป็นภาษามคธ ซึ่งได้รับนำสืบต่อมาถึงปัจจุบัน
และเป็นอรรถกถาส่วนใหญ่ที่เราได้ศึกษากันอยู่ (เรียก "อภินวอรรถกถา")
(หรือ เรียก “สังคหัฏฐกถา” อรรถาธิบายประมวลความ)


--------------------------------------------------------
ตัวอย่างนึงที่เห็นได้ง่ายที่สุดของความสำคัญของอรรถกถาก็ได้แก่

ชาดกต่างๆ เช่น
ชาดก พระเวสสันดร
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=28&A=6511
อรรถกถา ชาดก พระเวสสันดร
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28&i=1045

ถ้าเราตัดอรรถกถาทิ้งแล้ว ผู้ที่อ่านครั้งแรก จะไม่มีทางรู้เรื่องเลย
ว่าแต่ละคาถานี้ใครเป็นผู้กล่าว

--------------------------------------------------------

อีกอย่าง อรรถกถา คือ คำอธิบายขยายความนั้นจะมีขึ้นก็แต่ในช่วง พันปีแรก
ซึ่งศาสนายังตั้งมั่นอยู่ด้วยอำนาจของพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาทั้งหลาย

--------------------------------------------------------

พระสัทธัมโชติกะ ผู้ก่อตั้ง อภิธรรมโชติกวิทยาลัย
อันเป็นศูนย์กลางการศึกษาพระอภิธรรมในประเทศไทยขณะนี้
ท่านได้เคยอธิบายไว้ว่า

เมื่อจะทำการค้นคว้าหาความรู้ธรรมะในพระพุทธศาสนาให้กว้างขวางอย่างถูกต้องได้นั้น
จะศึกษาความรู้เฉพาะแต่ในบาลี(อุเทศ)อย่างเดียวนั้น ไม่มีทางที่จะได้รับความรู้อย่างกว้างขวางถูกต้องได้
จำเป็นจะต้องทำการศึกษาพระไตรปิฎกที่เป็นอรรถกถาและฎีกา
พร้อมกับได้ฟังคำอธิบายจากอาจารย์ที่มีวิทยฐานะโดยถูกต้อง
จึงจะช่วยทำให้มีความรู้ที่ถูกต้องอย่างกว้างขวางได้

ที่เป็นดังนี้ก็เพราะว่าพระบาลีนั้นแสดงแต่หลักสำคัญๆ
ท่านอรรถกถาจารย์ก็ช่วยแสดงข้อธรรมที่ลึกซึ้งที่ยังมิได้ขยายนั้น
ทำให้แจ่มกระจ่างพร้อมกับชี้แจงแนะนำอีกด้วย
ท่านฎีกาจารย์ก็อธิบายขยายความในพระอรรถกถาที่ยังไม่แจ่มแจ้ง
ให้แจ่มแจ้งชัดเจนกว้างขวางยิ่งต่อไปอีก

อนึ่งท่านอรรถกถาจารย์และฎีกาจารย์ทั้งสองพวกนี้
เมื่อจะว่ากันในด้านวิทยฐานะก็ดี
ในด้านความประพฤติและนิสัยใจคอก็ดี
หาใช่เหมือนกันกับพวกเราในทุกวันนี้ไม่
กล่าวคือ เป็นผู้มีความรู้อย่างแตกฉานใน
พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม และบาลีไวยากรณ์
ความประพฤติทางกาย วาจา ก็ตั้งอยู่ในสิกขาบทอย่างเคร่งครัด
เป็นสุปปฏิปันนะ อุชุปฎิปันนะ ญายปฎิปันนะ สามีจิปปฎิปันนะ
เป็นที่น่าเคารพ น่านับถือ น่าเลื่อมใส น่าเชื่อถือในพุทธศาสนิกชนทั้งหลายทั่วไป
จิตใจก็สูงไม่อยู่ใต้อำนาจ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะแต่ประการใด
ทั้งนี้ก็เพราะว่าบางท่านก็เป็นพระอริยะบางท่านก็เป็นทั้งพระอริยะและฌานลาภี อภิญญาลาภี
สำหรับบางท่านแม้ว่าจะมิใช่เป็นพระอริยะและมิใช่เป็นฌานลาภี อภิญญาลาภีก็จริง
แต่จิตใจนั้นคงตั้งอยู่ในเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ที่เป็นฝ่ายปริยัติอย่างเดียว มิได้แลเหลียว
ถึงเรื่องทางโลกและกามคุณอารมณ์แต่ประการใด ดังนั้น ปกรณ์พระอรรถกถาและฎีกา
จึงมีเนื้อความที่ประกอบไปด้วยสิ่งที่น่าเชื่อ น่าเลื่อมใส ความรู้ควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
ไม่มีข้อความที่จะต้องแก้ไขเท่าใดนัก คล้ายๆกับจะไม่มีเสียเลยก็ว่าได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่