302 วัน รักเธอไม่มีวันพอ...

วันนี้วันที่ 13 เดือนมกราคม ปี 2558
เป็นวันครบรอบที่เราสองคนได้รู้จักกันในฐานะที่มากกว่าคำว่า “เพื่อน” แต่ไม่ใช่แฟน เป็นเดือนที่ 11 ...ถ้าหากเราสองคนไม่เลิกรากันไปซะก่อน
หลายคนอาจจะคิดว่าคุยๆกันยังไม่ถึงปีเลย ทำไมถึงต้องมีเรื่องราวมากมายขนาดนั้น ไม่ครับ เราอยู่ใกล้ชิดกันเฉลี่ยแทบจะมากกว่า
13 ชั่วโมงต่อวัน เอาเป็นว่าผมจะเริ่มเล่าตั้งแต่ต้นว่า เราสองคนรู้จักกันได้ยังไงก่อน

เราสองคนรู้จักกันผ่าน instagram ครับ จริงๆผมจำไม่ได้นะว่าใคร follow ใครก่อน แต่ผมก็รู้สึกชอบสไตล์การถ่ายภาพเค้านะ ถึงไม่ได้สวยมากแต่มันก็ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ผมก็คิดว่าเค้าเองก็น่าจะชอบรูปถ่ายของผมใน ig เหมือนกัน ไม่งั้นเค้าคงไม่ฟอลผม จิงป้าว ฮ่าๆ แรกๆเราสองคนไม่ได้คุยอะไร หรือคอมเม้นอะไรใน ig เลยนะ แค่กดไลค์กันปกติ แต่มีอยู่วันนึง ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงปลายปี 56 ละ ไม่แน่ใจว่าช่วงต้นธันวาหรือป่าว ผมเดินเล่นอยู่ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านสยามแสควร์ ละบังเอินเดินสวนกับเค้า ผมมั่นใจแน่ว่าเค้าคือคนใน ig คนนั้นแน่นอน ผมคิดว่าเค้าก็คงเห็นผมเหมือนกัน นั้นดินะ เป็นครั้งแรกที่เจอกันในสภาพที่ผมไม่พร้อม อย่างหนัก ทั้งกางเกง เสื้อผ้าและรองเท้า แต่ผิดกับเค้าซึ่งแต่งตัวดูดีมาก กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าผ้าใบ ใส่เสื้อแจ็คเก็ต เห้ย คือแบบชอบเลยอะ หลังจากนั้นก็เก็บไปเพ้อ ละเมออยู่คนเดียว เพ้อไม่พอเปิดไปดูรูปใน ig เค้า ละก็ยังไม่พออีก พยายามหา line id เอ๊ะ ไม่มีวะ ก็เลยลองสุ่มเดาจากข้อมูลของเค้าปรากฎว่าแอด id ที่สุ่มมาได้ด้วย โหย โคตดีใจ รออยู่ใยก็ทักเลยครับ
“ หวัดดีคับ ^^” ผมตั้งใจรอการตอบกลับของเค้ามาก    
......................นานไปละ
“คับ” คือ คับเนี้ย กว่าจะตอบคือเป็นชั่วโมง นานมาก เค้าคงติดงานหรืออะไรอยู่แน่นอนแหละ เค้าก็ถามนะว่าเอา id เค้ามาจากไหน ผมก็บอกว่าผมสุ่มดู ผมคิดว่าเค้าคงอเมซิ่งกับผมแหละ ฮ่าๆ เชื่อไม๊ว่าเค้าไม่ค่อยตอบกลับผมหรอก ไม่ว่าจะพิมถามยังไงบ้าง ถึงตอบก็นานมากครับ ผมไม่แน่ใจว่าผมถามอะไรไปบ้างนะจนรู้ว่า อ๋อ เค้ามีแฟนแล้ว ...เห้อ เส้าเลยจิง (T T’ ) ผมคงต้องยอมแล้วหละ การไปคุยกับคนที่เค้ามีแฟนแล้ว มันไม่ดีครับ ทั้งเราและเค้าก็จะดูไม่ดีด้วย ก็เลยตัดสินใจ ห่างออกมาดีกว่า แต่ก็ยังไม่ได้บล๊อก line เค้าไปนะ

เวลาผ่านไปซักพัก น่าจะเป็นช่วงปีใหม่ละ เค้ามาคอมเม้นใน ig ผมเว้ย “ใช้กล้องอะไรหรอคับ ถ่ายสวยมาก” เอาจิงๆว่าผมไม่ลังเลที่จะตอบกลับเลยจิงๆนะ ก็บอกไปว่าใช้กล้องรุ่นนี้นะ ละก็ทักไปในไลนเค้าอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นการสนทนาที่ดีขึ้นกว่าเดิม ผมรู้สึกว่าเค้าคุยเป็นมิตรกว่าครั้งแรกๆมาก ถามปุ๊ปตอบปั๊บ เอาจริงๆก็คุยกันเรื่องถ่ายภาพนั้นแหละครับ จริงๆผมก็ดูเป็นคนใจร้อนมากเลยนะ ก็ชอบเค้าจริงๆอะ เราพิมพ์ถามว่า “ว่างบ้างป่าว ไปหาไรทานกันไม๊” ผมก็คงคิดหละว่าเค้าคงบ่ายเบี่ยง ไม่ก็ปฎิเสธ ...ถูกต้องครับ เป็นไปตามที่ผมคิด เห้อ แห้วตลอดกาล ผมเลยถามไปทำนองว่า กลัวแฟนคิดมากหรอ? เค้าก็ตอบกลับมาปะมาณว่า ป่าวหรอกครับ เลิกกับแฟนแล้ว เอ้ออออ!!! ผมรู้สึกดีใจนะจังหวะนั้น แต่ไม่สามารถแสดงอาการประเจิดประเจ้อให้เค้ารู้ ก็เลยปลอบเค้า ในทำนองที่คนทั่วไปเค้าปลอบคนที่อกหักกันมา นอกจากจะปลอบใจแล้ว ผมก็ต้องถามเรื่องราวส่วนตัวของเค้าบ้าง เช่น เค้าเรียนจบจากที่ไหน บ้านอยู่แถวไหน ทำงานอะไร จนได้คำตอบที่ผมต้องการมาแทบทุกคำตอบจากเค้า เอาหล่ะ ตอนนี้ผมได้ที่อยู่ที่ทำงาน และช่วงเวลาเบรคของเค้ามาละ ฮ่าๆ โชคดีมากๆที่ที่ทำงานของเค้าอยู่ในห้าง ซึ่งสะดวกกับการเดินทางของผมมาก บ้านผมอยู่ศรีนครินทร์ นั่งแท็กซี่มา bts อ่อนนุช และต่อ bts มาลงสยาม ก็ไกลอยู่นะครับกว่าจะมาถึง แต่เรื่องนั้นผมไม่คิดหรอกครับ ผมคิดอยู่แค่ วันนี้จะซื้ออะไรให้เค้ากินระหว่างเบรคทำงานของเค้าดี เอาจริงๆว่าช่วงแรกๆที่ซื้อของกินให้เค้า ผมไม่ได้เอาไปให้เค้าเองถึงที่ทำงานเค้าหรอกครับ ผมใช้วิธีซื้อ แล้วฝากไว้ที่ร้าน ละ line ให้เค้ามาเอาในเวลาที่เค้าเบรค ซึ้งของกินที่ผมซื้อให้เค้าทานส่วนใหญ่จะเป็นขนม และก็เค้ก ผมก็คิดว่าเค้าคงชอบนะ เพราะร้านที่ผมซื้อ ผมเป็นลูกค้าประจำและมั่นใจในรสชาติของร้านนี้เลย เวลาซื้อเสร็จทุกครั้ง ผมจะพูดกับพนักงานของร้านว่า “รบกวนฝากไว้หน่อยนะครับ เดี๋ยวจะมีอีกคนมารับแทน ชื่อ S (นามสมมุติ) ยังไงรบกวนหน่อยนะครับ” ผมทำแบบนี้ให้เค้ามาเป็นระยะเวลานึงแทบทุกวัน และกลับไปที่บ้านก่อนนอนทุกครั้งที่ผมรู้ว่าเป็นช่วงเวลาเลิกงานของเค้า ผมจะถามถึงรสชาติของขนมที่ผมฝากให้เค้าทุกครั้งว่าเค้าชอบอันไหนมากที่สุด ซึ่งในแต่ละวันผมจะพยายามไม่ซื้อซ้ำแบบเดิม จะซ้ำก็ต่อเมื่อเค้าชอบอันนั้นจริงๆ เค้าก็คอยบอกนะครับ ว่าไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องซื้อให้ทุกวันขนาดนี้ก็ได้ เค้ากินจนอ้วนแล้ว และนั้นไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะต้องหยุดทำครับ ผมก็ยังทำต่อไป


จนกระทั่งถึงช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปี 57
เดือนนี้ สำหรับคนที่ยังโสด คนที่มีแฟนแล้ว หรือคนที่กะลังคุยกันอยู่ ก็ต้องเห็นความสำคัญของเดือนนี้แน่นอน ผมก็เป็นนึงในนั้นครับ ผมตัดสินใจชวนเค้าทานข้าวอย่างจริงจัง แต่ไม่ใช่วันวาเลนไทน์นะ วันนั้นผมมีนัดกับเพื่อนสนิทไปทริปเขาใหญ่ละครับ ซึ่งนัดกับเพื่อนมานานมากตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว อารมสมาคมคนโสดเป็นต้น เอาจริงๆว่าช่วงนั้นเราคุยกันดีมากเลยนะ ออกแนวสวีทขึ้นด้วยซ้ำ แบบมีการบอกฝันดี ตั้งใจทำงาน ดูแลตัวเองนะครับ เป็นต้น ซึ่งจริงๆก็มีมากกว่านี้แหละ แต่ยังเป็นช่วงที่เราคุยกันช่วงแรก จะให้สวีทกว่านี้ก็คงดูไวเกินไป ในที่สุดเราก็ตกลงกันแน่นอนว่า เราจะไปทานข้าวกันวันที่ 13 ผมจำได้ว่า วันนั้นเป็นวันพฤหัสครับ ก่อนวันนัดครั้งแรกอย่างเป็นทางการของเราทั้งสอง ผมก็เตรียมเสื้อไว้ให้เค้าตัวนึงเป็นเสื้อยืดลายโดนัลดั๊กสีขาว ผมใส่รวมไปในถุงขนมที่ฝากเค้าก่อนวันนัดสองวัน ผมก็ไม่ได้ตั้งใจให้เค้าใส่มาวันไหนนะ แค่อยากซื้อให้เค้าเฉยๆ ผมแค่รู้สึกว่า ผมมีความสุขเวลาทำอะไรๆให้เค้าก็เท่านั้นครับ (^^- )

ในคืนวันอังคารผมตั้งใจเปิดไปดู instagram ของเค้าอย่างตั้งใจมาก เพื่อดูว่าเค้าชอบอะไรเป็นพิเศษ ดูๆแล้วเค้าชอบต้นกระบองเพชร ต้นไม้ เขียวๆ พืชพันธ์ไม้ไรงี้ ก็เลยมั่นใจแน่นอนว่าเค้าต้องชอบต้นกระบองเพชรแน่นอน เพราะมีอยู่รูปนึงแสดงให้เห็นว่าเค้าชอบต้นกระบองเพชรมากจิงๆ ผมก็เลยตั้งใจแน่วแน่เลยว่าผมจะต้องไปหาซื้อต้นกระบองเพชรสวยๆน่ารักๆให้เค้าแน่นอน พร้อมดูรีวิว และช่วงเวลาเปิดปิดของตลาดต้นไม้ที่สวนจตุจักร แต่ปรากฎว่าช่วงที่มีต้นไม้มาลงขายเยอะๆนั้นต้องเป็นช่วงตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า โหหหห ถึงกับเงิบครับ แต่!! ผมไม่ยอมลดละหรอกนะ ตั้งนาฬิกาปลุกไว้เลยตีห้า กะจาไปให้ทันหกโมงเช้า ปรากฎว่าเช้าวันต่อมานาฬิกาปลุกผิดเวลา ผมดันไปตั้ง 5pm ซึ่งมันจะปลุกตอนห้าโมงเย็นครับ เห้อ สรุปตื่นสิบโมง แต่ตลาดต้นไม้เค้ามีถึง บ่ายสองแหนะ มีเวลาอยู่ครับ ก็เลยแต่งตัวชุดสบายออกจากบ้านไปจตุจักร ถึงจตุจักรก็ประมาณ 11โมง คือ แดดร้อนมาก พูดเลย! เดินไปเนียเหงื่อใหลถึงร่อง_ เลยครับ (ขอเซ็นเซอร์ ฮ่าๆ) เดินไปเดินมา ได้ต้นกระบองเพชรมาประมาณ 6 ต้นเล็กๆ แต่ละต้นก็ไม่แพงมาก ประมานต้นละ 100-250 บาท ผมจะเลือกต้นที่น่ารักและราคาสูงให้เค้า เพราะราคายิ่งสูง มันก็ยิ่งสวย จิงไม๊ละ ผมเก็บไว้เอง 1ต้น เล็กๆ และแยกเก็บไว้ให้เค้าอีก 5ต้น แต่จะให้แค่ต้นกระบองเพชรตั้งไว้เฉยๆมันคงไม่งาม ผมก็เลยเดินต่อไปในโซนของตกแต่ง เดินไปจนเจอเก้าอี้เปลอันเล็กน่ารักมาก จริงๆตอนแรกตั้งใจจะซื้อขวดโหลแก้วใส่ด้วย แต่ตอนนั้นโหลแก้วมันไม่มีรูระบายน้ำ ระบายอากาดไง เลยเปลี่ยนมาซื้อเก้าอี้เปลนี้แทน ผมว่ามันก็น่ารักมากละนะ กว่าจะเลือกของเตรียมไว้ให้เค้าเสร็จก็ประมาณบ่ายสองละ ตลาดต้นไม้เริ่มวาย ปัญหาคือของมันเยอะ และพะรุงพะรังมาก ต้องยอมขึ้นแท็กซี่จากหมอชิตไปศรีนคริน โดนไปหลายร้อยเลยครับ แต่เอาจริงๆตอนนั้นไม่ได้นึกถึงอะไรเลยนะ ไม่ได้นึกถึงว่าตัวเองเหนื่อยร้อนขนาดไหนด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่นึกถึงเลยก็มีแต่เค้าคนเดียวครับ

ในที่สุดก็มาถึงวันนัดครั้งแรกของเรา เรานัดเจอกันในช่วงเย็นของวันพฤหัสที่ 13 เวลาประมาณ 19.30น. ที่สยาม
ช่วงเช้าของวันเดียวกัน ผมเข้าไปจองโต๊ะ และเตรียมรายชื่ออาหารสำหรับดินเนอบางส่วนที่โรงแรมชื่อดังแห่งนึงริมแม่น้ำเจ้าพระยา จากนั้นในช่วงบ่ายผมเดินทางไปซื้อดอกกุหลาบที่ปากคลองตลาด จริงๆแล้วก็สั่งที่โรงแรมก็ได้ แต่ผมว่ามันคงแพงมาก ก็เลยตัดสินใจมาเลือกดูเองกับมือเลยดีกว่า ก็ได้กุหลาบสีชมพูช่อใหญ่เลยละ น่าจะปะมาณร้อยดอกมั้ง ถ้าผมจำไม่ผิด ก็เลยถือมาให้ร้านร้านนึงในปากคลองตลาดช่วยจัดห่อเป็นช่อให้สวยงาม เอาจริงๆว่าผมรู้สึกภูมิใจมากนะ กับสิ่งที่ผมทำ รู้สึกผมพยายามทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด เท่าที่ผมจะทำได้ และผมก็เชื่อว่าคืนนี้ จะเป็นดินเนอร์มื้อแรกของเราที่แสนจะเพอเฟคเลยหละ  หลังจากผมจัดแจงของทุกอย่างและเตรียมคิวเซอไพร้สกับทางโรงแรมเรียบร้อยแล้ว ผมก็กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่บ้านประมาณ ห้าโมง คราวนี้ผมเตรียมชุดที่ดีพอสมควรเลย เสื้อยืดสีน้ำเงิน สูทสี่น้ำเงิน กางเกงขายาว รองเท้าหนัง รับรองไม่โทรมเหมือนครั้งแรกที่แอบเจอกันแน่นอน ฮ่าๆ ระหว่างนั้นผมก็คอยไลนถามเค้าตลอดนะ ว่าเป็นยังไงบ้าง ก็ทำหน้าที่ที่ผมควรทำให้ดีที่สุดแหละ หลังจากนั้นผมก็ขับรถไปรับเค้าที่สยาม เอ้อ และเป็นวันแรกด้วยนะที่เราสองคนแลกเบอร์มือถือกัน แต่จริงๆคือต้องแลกแหละ เพราะไม่งั้นผมขับรถไลนไปด้วยคงเสี่ยงตายน่าดู ถึงสยามผมก็โทรหาเค้าว่าเค้าอยู่ตรงไหน ผมจะไปรับตรงนั้นๆนะ และแล้วผมก็เจอเค้าครับ.........


ขอจบตอนแรกแต่เพียงเท่านี้ก่อน ยังไงรอติดตามอ่านตอนต่อไปนะครับ
ยังอีกมากมายเลยทีเดียว ถ้ามีคำพูดอะไรที่ไม่สุภาพ และดูอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง
ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ ก็เป็นกระทู้แรกที่ผมลงในพันทิปอะนะ ต้องเข้าใจ ฮ่าๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่