เปี๊ยกตายแล้ว เสียงโทรศัพท์จากพี่สาวเปี๊ยก
ที่โทรมาจากหมู่บ้านตัวอย่างสะเดา
ภาพเก่า ๆ ย้อนหลังไปหลายสิบปีที่แล้วมา
ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาจากความทรงจำ
เหมือนการหยิบภาพถ่ายในลิ้นชักที่เก็บไว้นาน
นานจนหลงลืมไปแล้วขึ้นมาดูใหม่อีกครั้ง
ตอนเจอเปี๊ยกครั้งแรก เปี๊ยกตัวอ้วนดำ กลมป้อม
จัดว่าเป็นพนักงานขับรถยนต์ของธนาคารไทยแห่งแรก
ที่มีรูปร่างอ้วนที่สุดในเขตภาคใต้ทั้งหมด
ที่จำได้ดีเพราะช่วงหลังย้ายไปอยู่สำนักงานเขต
มีภารกิจหลักอีกอย่างหนึ่งคือไปตรวจเยี่ยมสาขาต่าง ๆ ในเขต
เดินทางร่วมกับผู้จัดการเขตและพนักงานขับรถยนต์
รวมทั้งมีการประชุม/สังสันท์พบปะระหว่างสาขาในเขตภาคใต้
มักจะเจอคนขับรถยนต์ของสาขาและสำนักงานเขต
เปรียบเทียบรูปร่างแล้วของเปี๊ยกกินขาดทีเดียว
หลังจากร่วมงานกันสักพักในช่วงเดินตลาดที่ปาดังเบซาร์
เพื่อเชิญชวนให้ลูกค้ามาเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคาร
ตอนช่วงเย็นที่มีการเก็บรายการ/จดบันทึกเรื่องการเดินตลาด
พนักงานในสาขาเริ่มจับกลุ่มพูดคุยกันมากขึ้น
ส่วนเปี๊ยกจะค่อนข้างเงียบ ๆ มานั่งอยู่ในสาขา
แต่ไม่ค่อยพูดคุยเท่าไรมากนัก
ส่วนมากมักไปกับผู้จัดการสาขา
เพื่อไปหาลูกค้ารายใหญ่และขับรถยนต์ให้กับผู้จัดการเป็นหลัก
ต่อมาเมื่ออยู่กันนาน ๆ เข้า
เริ่มรับทราบประวัติของเปี๊ยกจากสมุหบัญชีสาขา
เล่าให้ฟังว่า ตอนที่เจอเปี๊ยกครั้งแรกที่บ้านพักสันติบาลสะเดา
พี่เขยเปี๊ยกตอนนั้นเป็นตำรวจระดับจ่าอยู่ที่นั่น
เป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนมหาวชิราวุธกับผู้จัดการสาขา
เป็นคนแนะนำเปี๊ยกให้มาสมัครเป็นคนขับรถยนต์ธนาคาร
ผู้จัดการสาขาสอบถามเปี๊ยกว่า กินเหล้าไหม สูบบุหรี่ไหม
เปี๊ยกเอาแต่นั่งอมยิ้มไม่พูดไม่จามากนัก
บอกแต่ว่า ไม่ครับ
เพราะกลัวไม่ได้งานทำที่ธนาคาร
การที่พี่เขยเปี๊ยกแนะนำให้มาทำงานกับธนาคารนั้น
กับการที่สาขาตกลงรับเปี๊ยกเข้าทำงาน
เพราะระบบเส้นสายพรรคพวกอย่างหนึ่ง
กับในช่วงนั้นที่สะเดา ปาดังเบซาร์
ยังมีอิทธิพลของโจรจีนมาลายาครอบงำอยู่
ขอใช้คำว่า โจรจีนมาลายา
ในการเขียนเรื่องนี้เพราะเป็นคำเรียกทั่วไป
ไม่ใช่เป็นคำเรียกที่ไม่ให้เกียรติหรือดูถูกแต่อย่างใด
กับเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษมีการค้าขายสินค้าชายแดนกันอย่างคึกคัก
คนพื้นที่เกลียดมากกับคำเรียกว่า ของเถื่อนหรือของหนีภาษี
แต่ให้เรียกว่าสินค้าชายแดนแทนคำเหล่านี้
เพราะสินค้าบางครั้งมีการจ่ายภาษีนำเข้าถูกต้องตามกฎหมาย
หรือมีการประมูลสินค้าที่จับกุมยึดมาได้จากศุลกากร (นาน ๆ ครั้ง)
สินค้าที่ได้จากการประมูลของด่านศุลกากร
พ่อค้าแม่ขายจะสามารถนำสินค้าเหล่านั้น
ไปขายได้ทั่วราชอาณาจักรไทย
ตราบเท่าที่ยังไม่มีการขีดฆ่าหรือยกเลิกเอกสารฉบับนั้น
เลยมีการหมุนรอบสินค้ากันหลาย ๆ ครั้งกับเอกสารราชการที่ได้มา
สินค้าหลักในยุคนั้นคือเครื่องเสียง เครื่องเล่นวิดีโอ
ขนมขบเคี้ยว แอปเปิ้ล บุหรี่ สุราต่างประเทศ
มีเรื่องเล่ากันขำ ๆ ว่ากว่าจะยกเลิกเอกสารราชการ
แอปเปิ้ลในลังมีอายุมากกว่าหกเดือนแล้ว
แต่สินค้ายังสดใหม่มีไอเย็นจับเหมือนออกจากห้องเย็นฝั่งมาเลย์
เปี๊ยกเป็นคนในพื้นที่สะเดาตั้งแต่เกิด
ทำให้ทราบสายสนกลในและเครือข่ายบุคคลในท้องที่เป็นอย่างดี
ส่วนพ่อเปี๊ยกตอนนั้นเป็นจ่าตำรวจที่สะเดาหลายสิบปีแล้ว
หลังเกษียณอายุราชการได้ติดยศเป็นนายร้อยตรี
แต่เดิมเป็นพลตำรวจที่เกณฑ์มาจากโพธารามตอนอายุ 20 ปี
(คนสวยโพธาราม คนงามบ้านโป่ง)
สมัยพ่อของเปี๊ยกการเป็นตำรวจยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
ต้องเกณฑ์เอาไม่มีใครอยากเป็นมากนัก
ไม่มีการแย่งชิงกันสมัครเหมือนสมัยปัจจุบัน
เมื่อพ่อเปี๊ยกถูกย้ายลงมาอยู่ที่สะเดา
จึงพาแม่เปี๊ยกลงมาอยู่ด้วยที่สะเดา
แล้วให้กำเหนิดพี่น้องเปี๊ยกที่สะเดาสี่คน
เป็นหญิงสองคน ชายสองคน
ขอแอบนินทาครอบครัวเปี๊ยกไม่งามจริง
เหมือนคำพังเพย คนสวยโพธาราม คนงามบ้านโป่ง
เพราะลึก ๆ แล้วเปี๊ยกเองยอมรับว่า
ดั้งเดิมบรรพบุรุษเป็นพวกลาวพุงดำ
ที่ครัวเรือนถูกกวาดต้อนอพยพโยกย้ายมาสมัยรัชกาลที่ 3
เปี๊ยกตัวเลยดำเหมือนพ่อกับแม่
เคยไปบ้านเก่าพ่อแม่/ญาติของเปี๊ยกในหมู่บ้านที่โพธาราม
ตอนไปรับรถยนต์มือสองลงมาจากกรุงเทพฯ
ขับลงมาหาดใหญ่ให้เปี๊ยกขับมือเดียวตลอด
เพราะตอนนั้นยังขับรถยนต์ไม่คล่องมากนัก
เปี๊ยกเล่าให้ฟังเองว่า
ก่อนจะลงมาทำงานขับรถยนต์ให้ที่ธนาคาร
ได้ทำงานเป็นหมอที่โพธารามแล้ว
เพราะไปได้วิชาเสนารักษ์จากการเป็นทหารเกณฑ์สองปี
สมัยนั้นแพทย์แผนปัจจุบันก็หายากมาก
เมื่อเปี๊ยกกลับไปหาญาติพี่น้องที่โพธาราม
เลยได้เป็นหมอตำบลเพราะหาแพทย์แผนปัจจุบันไม่ได้
พร้อมกับมีรายได้จากการฉีดยาพวกวิตามิน รักษาโรคเล็ก ๆ น้อย ๆ
ให้กับชาวบ้านในเขตตำบลกับละแวกนั้น
แม้ว่าเปี๊ยกจะมีรายได้ค่อนข้างดีในตอนนั้น
แต่ที่แกยอมลงมาเพราะพี่สาวพี่เขยขอร้องอย่างหนึ่ง
กับได้มาดูแลพ่อกับแม่ที่ยังอยู่สะเดา
พร้อมกับพ่อแม่ตั้งความหวังไว้ว่า
เมื่อเกษียณอายุแล้วจะกลับไปอยู่ที่โพธาราม
แต่สุดท้ายแม่ได้กลับพร้อมกับน้องชายอีกคน
ส่วนพ่อเสียชีวิตและเผาที่สะเดาเหมือนกับเปี๊ยก
(ไว้จะค่อย ๆ ลำดับเหตุการณ์จากความทรงจำ)
สมัยที่เปี๊ยกเป็นทหารเกณฑ์อยู่นั้น
พลพรรคทหารจะเดินลาดตระเวณแถวสะเดา
เทือกเขาน้ำค้าง เขารูปช้าง แนวเทือกเขาสันกาลาคีรี
เคยสอบถามว่าเปี๊ยกว่าเคยปะทะกับโจรจีนมาลายาหรือไม่
แกบอกจริง ๆ แล้วต่างฝ่ายต่างหลบหลีกกัน
เลยไม่ค่อยมีการปะทะกับโจรจีนมาลายา
รวมทั้งผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ไทยด้วย
เพราะลึก ๆ ต่างฝ่ายต่างกลัวตายเหมือนกัน
การเคยเป็นทหารเกณฑ์ของเปี๊ยกจึงมีข้อดี
คือ ทำให้เข้าใจและทราบพื้นที่แถบนี้ดี
ว่าบริเวณไหนเป็นเขตอิทธิพลหรือที่ตั้งฐานที่มั่นโจรจีน
(ลูกค้าธนาคารเคยพาผมไปดูบังเกอร์โจรจีนมาลายา
ที่ตั้งอยู่ในป่ายางครั้งหนึ่งซึ่งตอนนี้หมดสภาพไปแล้ว)
เปี๊ยกเคยหายไปร่วมชั่วโมงทีเดียว
ตอนขับรถยนต์พาพวกผมไปเที่ยวที่เขื่อนบางลางยะลา
เพราะมีแฟนของเพื่อนที่ทำงานเป็นวิศวกรที่นั่น
เลยได้พลอยสิทธิ์ได้ที่พักฟรี เป็นสถานที่พักผ่อนวัยหยุดยาว
และเปิดไฟฟ้าทิ้งกันทั้งวันทั้งคืนเพราะมีการผลิตไฟฟ้าที่นั่น
สอบถามได้ความว่าแกไปเยี่ยมเพื่อนมุสลิมที่เป็นยามที่เขื่อน
ถามว่าทำไมจำได้หรือหลายปีแล้วนะ
แกบอกเดินตามหลังมันตอนเป็นทหารเกณฑ์ตั้งสองปี
ทำไมจะจำมันไม่ได้หละ
คล้าย ๆ กับหนังสือรีดเดอร์ไดแจสที่เคยอ่านพบขำขำว่า
ตอนที่สามีเธอขับรถยนต์อยู่นั้น
มีรถยนต์คันหน้าขับอยู่ สามีขับตามหลังพยายามเปิดไฟกระพริบใส่
แล้วค่อย ๆ เทียบข้างส่งสัญญาณให้จอดข้างทาง
ปรากฎว่าพอผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมา
สามีกับผู้ชายคนนั้นกอดกันและทักทายกันอย่างสนิทสนมมาก
เธอเลยถามว่าจำได้อย่างไรว่าเป็นเพื่อนสนิท
สามีตอบว่า ผมเดินตามหลังมันตอนเรียนนายร้อยนานถึงสี่ปี
เลยจำศีรษะของมันได้เป็นอย่างดีว่ารูปทรงนี้ใช่เลย
แม้ว่าจะไม่เจอกันนานหลายสิบปีแล้วก็ตาม
เพราะโยกย้ายไปอยู่ฐานทัพคนละแห่ง
ขอย้อนกลับมาที่สาขาธนาคารที่ทำงาน
ทางโจรจีนมาลายามาเรียกให้จ่ายค่าคุ้มครองด้วย
ที่ทราบดีเพราะผู้จัดการสาขาเล่าให้ฟังเองหลังเออรี่รีไทร์แล้วว่า
หลังจากเปิดสาขาเพียงไม่กี่เดือน
หัวหน้าโจรจีนในเขตปาดังเบซาร์มากับเพื่อนอีกคน
ขึ้นไปคุยที่ชั้นลอยของสาขาที่เป็นที่ทำงานผู้จัดการสาขา
ขอค่าตะเกียง(ค่าคุ้มครอง)จากพนักงานทุกคน
ในสมัยนั้นคนที่กรีดยางหรือมีสวนยางพารา
จะต้องจ่ายค่าตะเกียง(ใช้ติดศีรษะเวลากรีดยางตอนกลางคืน)
เป็นรายเดือน ๆ ละ 5-20 บาทแล้วแต่แปลงเล็กแปลงใหญ่
ส่วนเจ้าของก็ต้องจ่ายเป็นรายปีช่วงตรุษจีน
หรือช่วงวาระพิเศษของพรรคคอมมิวนิสต์
เจ้าของสวนยางพาราแปลงใหญ่มากก็หลักหมื่นเป็นอย่างต่ำ
การจ่ายค่าคุ้มครองในพื้นที่อิทธิพลให้โจรจีนมาลายา
มีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ยางที่กรีดทิ้งไว้ ข้าวของในบ้านพัก
ไม่มีการสูญหายอย่างแน่นอนรับประกันเกือบ 100%
ถ้าสูญหายเพราะถูกลักขโมยจะมีการติดตามเอาคืนได้เป็นส่วนใหญ่
แล้วจะมีการตักเตือนขโมยด้วยบาทาทัณฑ์ก่อน
มีการเตือนขโมยไม่เกินสามครั้ง
ถ้าไม่เชื่ออีกในครั้งที่สามก็ยิงทิ้งประจาน
โดยทิ้งศพไว้ในสวนยางพาราหรือบนถนนหลวงสมัยก่อน
แต่มีข้อเสียคือ คนที่จ่ายค่าคุ้มครองให้โจรจีนมาลายา
อาจจะถูกทางการกล่าวหาว่าเป็นสายให้หรือ
ให้ความร่วมมือกับโจรก่อการร้าย
โทษทัณฑ์เบา ๆ ก็ติดคุกฟรีสองปีข้อหาคอมมิวนิสต์
หนักหนาสาหัสก็ถูกยิงทิ้งตามระเบียบ
การเป็นชาวบ้านในสมัยนั้นหรือสมัยไหนก็ตามแต่
ถ้าพื้นที่มีความแปลกแยกหรือความขัดแย้งทางการเมืองสูง
ชาวบ้านก็เหมือนคนตกอยู่ท่ามกลางควายเปลี่ยวสองตัวกำลังจะชนกัน
หลบหลีกไม่ดีอาจจะถูกควายตัวใดตัวหนึ่งขวิดตาย
หรือเหมือนอดีตนายกรัฐมนตรีสตรีอังกฤษ
เจ้าของฉายาหญิงเหล็กที่พูดว่า
คุณอยู่กึ่งกลางถนนไม่ได้หรอก
เพราะคุณมีสิทธิ์ถูกรถยนต์ชนตายทั้งสองข้าง
(แต่ชาวบ้านต้องฉลาดเลือกที่หลบอยู่ข้างทาง
หรือรอให้ถนนโล่งเสียก่อนจึงจะข้ามถนน)
ในการเรียกค่าคุ้มครองคราวนั้น
ทางหัวหน้าโจรจีนที่มาติดต่อเรียกเก็บจากพนักงานหลักพันต่อเดือน
เพราะประมาณการเอาว่าพนักงานน่าจะเงินเดือนดีมาก
หรืออาจจะเป็นยุทธศาสตร์ในการเจรจาต่อรอง
ประเภทที่พรรคคอมมิวนิสต์ชอบพูดกันว่า
ยุทธวิธีคือสิบรบหนึ่ง ยุทธศาตร์คือหนึ่งรบสิบ
สุดท้ายมีการจ่ายเงินเป็นรายปีทั้งสาขาให้ในวงเงินสามหมื่นบาท
โดยทำเบิกเงินสดจ่ายให้จากค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินไปต่างประเทศ
ของกรรมการผู้จัดการใหญ่ที่เคยไปดำรงตำแหน่งเป็นพระยาคลังสมัยหนึ่ง
ดูแลและกำกับการคลังทั่วราชอาณาจักรไทย
ทั้งนี้เพื่อให้มีหลักฐานทางบัญชีการจ่ายเงินที่ถูกต้องตามระเบียบธนาคาร
ชีวิตชายแดนปาดังเบซาร์-เปี๊ยกคนขับรถยนต์
ที่โทรมาจากหมู่บ้านตัวอย่างสะเดา
ภาพเก่า ๆ ย้อนหลังไปหลายสิบปีที่แล้วมา
ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาจากความทรงจำ
เหมือนการหยิบภาพถ่ายในลิ้นชักที่เก็บไว้นาน
นานจนหลงลืมไปแล้วขึ้นมาดูใหม่อีกครั้ง
ตอนเจอเปี๊ยกครั้งแรก เปี๊ยกตัวอ้วนดำ กลมป้อม
จัดว่าเป็นพนักงานขับรถยนต์ของธนาคารไทยแห่งแรก
ที่มีรูปร่างอ้วนที่สุดในเขตภาคใต้ทั้งหมด
ที่จำได้ดีเพราะช่วงหลังย้ายไปอยู่สำนักงานเขต
มีภารกิจหลักอีกอย่างหนึ่งคือไปตรวจเยี่ยมสาขาต่าง ๆ ในเขต
เดินทางร่วมกับผู้จัดการเขตและพนักงานขับรถยนต์
รวมทั้งมีการประชุม/สังสันท์พบปะระหว่างสาขาในเขตภาคใต้
มักจะเจอคนขับรถยนต์ของสาขาและสำนักงานเขต
เปรียบเทียบรูปร่างแล้วของเปี๊ยกกินขาดทีเดียว
หลังจากร่วมงานกันสักพักในช่วงเดินตลาดที่ปาดังเบซาร์
เพื่อเชิญชวนให้ลูกค้ามาเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคาร
ตอนช่วงเย็นที่มีการเก็บรายการ/จดบันทึกเรื่องการเดินตลาด
พนักงานในสาขาเริ่มจับกลุ่มพูดคุยกันมากขึ้น
ส่วนเปี๊ยกจะค่อนข้างเงียบ ๆ มานั่งอยู่ในสาขา
แต่ไม่ค่อยพูดคุยเท่าไรมากนัก
ส่วนมากมักไปกับผู้จัดการสาขา
เพื่อไปหาลูกค้ารายใหญ่และขับรถยนต์ให้กับผู้จัดการเป็นหลัก
ต่อมาเมื่ออยู่กันนาน ๆ เข้า
เริ่มรับทราบประวัติของเปี๊ยกจากสมุหบัญชีสาขา
เล่าให้ฟังว่า ตอนที่เจอเปี๊ยกครั้งแรกที่บ้านพักสันติบาลสะเดา
พี่เขยเปี๊ยกตอนนั้นเป็นตำรวจระดับจ่าอยู่ที่นั่น
เป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนมหาวชิราวุธกับผู้จัดการสาขา
เป็นคนแนะนำเปี๊ยกให้มาสมัครเป็นคนขับรถยนต์ธนาคาร
ผู้จัดการสาขาสอบถามเปี๊ยกว่า กินเหล้าไหม สูบบุหรี่ไหม
เปี๊ยกเอาแต่นั่งอมยิ้มไม่พูดไม่จามากนัก
บอกแต่ว่า ไม่ครับ
เพราะกลัวไม่ได้งานทำที่ธนาคาร
การที่พี่เขยเปี๊ยกแนะนำให้มาทำงานกับธนาคารนั้น
กับการที่สาขาตกลงรับเปี๊ยกเข้าทำงาน
เพราะระบบเส้นสายพรรคพวกอย่างหนึ่ง
กับในช่วงนั้นที่สะเดา ปาดังเบซาร์
ยังมีอิทธิพลของโจรจีนมาลายาครอบงำอยู่
ขอใช้คำว่า โจรจีนมาลายา
ในการเขียนเรื่องนี้เพราะเป็นคำเรียกทั่วไป
ไม่ใช่เป็นคำเรียกที่ไม่ให้เกียรติหรือดูถูกแต่อย่างใด
กับเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษมีการค้าขายสินค้าชายแดนกันอย่างคึกคัก
คนพื้นที่เกลียดมากกับคำเรียกว่า ของเถื่อนหรือของหนีภาษี
แต่ให้เรียกว่าสินค้าชายแดนแทนคำเหล่านี้
เพราะสินค้าบางครั้งมีการจ่ายภาษีนำเข้าถูกต้องตามกฎหมาย
หรือมีการประมูลสินค้าที่จับกุมยึดมาได้จากศุลกากร (นาน ๆ ครั้ง)
สินค้าที่ได้จากการประมูลของด่านศุลกากร
พ่อค้าแม่ขายจะสามารถนำสินค้าเหล่านั้น
ไปขายได้ทั่วราชอาณาจักรไทย
ตราบเท่าที่ยังไม่มีการขีดฆ่าหรือยกเลิกเอกสารฉบับนั้น
เลยมีการหมุนรอบสินค้ากันหลาย ๆ ครั้งกับเอกสารราชการที่ได้มา
สินค้าหลักในยุคนั้นคือเครื่องเสียง เครื่องเล่นวิดีโอ
ขนมขบเคี้ยว แอปเปิ้ล บุหรี่ สุราต่างประเทศ
มีเรื่องเล่ากันขำ ๆ ว่ากว่าจะยกเลิกเอกสารราชการ
แอปเปิ้ลในลังมีอายุมากกว่าหกเดือนแล้ว
แต่สินค้ายังสดใหม่มีไอเย็นจับเหมือนออกจากห้องเย็นฝั่งมาเลย์
เปี๊ยกเป็นคนในพื้นที่สะเดาตั้งแต่เกิด
ทำให้ทราบสายสนกลในและเครือข่ายบุคคลในท้องที่เป็นอย่างดี
ส่วนพ่อเปี๊ยกตอนนั้นเป็นจ่าตำรวจที่สะเดาหลายสิบปีแล้ว
หลังเกษียณอายุราชการได้ติดยศเป็นนายร้อยตรี
แต่เดิมเป็นพลตำรวจที่เกณฑ์มาจากโพธารามตอนอายุ 20 ปี
(คนสวยโพธาราม คนงามบ้านโป่ง)
สมัยพ่อของเปี๊ยกการเป็นตำรวจยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
ต้องเกณฑ์เอาไม่มีใครอยากเป็นมากนัก
ไม่มีการแย่งชิงกันสมัครเหมือนสมัยปัจจุบัน
เมื่อพ่อเปี๊ยกถูกย้ายลงมาอยู่ที่สะเดา
จึงพาแม่เปี๊ยกลงมาอยู่ด้วยที่สะเดา
แล้วให้กำเหนิดพี่น้องเปี๊ยกที่สะเดาสี่คน
เป็นหญิงสองคน ชายสองคน
ขอแอบนินทาครอบครัวเปี๊ยกไม่งามจริง
เหมือนคำพังเพย คนสวยโพธาราม คนงามบ้านโป่ง
เพราะลึก ๆ แล้วเปี๊ยกเองยอมรับว่า
ดั้งเดิมบรรพบุรุษเป็นพวกลาวพุงดำ
ที่ครัวเรือนถูกกวาดต้อนอพยพโยกย้ายมาสมัยรัชกาลที่ 3
เปี๊ยกตัวเลยดำเหมือนพ่อกับแม่
เคยไปบ้านเก่าพ่อแม่/ญาติของเปี๊ยกในหมู่บ้านที่โพธาราม
ตอนไปรับรถยนต์มือสองลงมาจากกรุงเทพฯ
ขับลงมาหาดใหญ่ให้เปี๊ยกขับมือเดียวตลอด
เพราะตอนนั้นยังขับรถยนต์ไม่คล่องมากนัก
เปี๊ยกเล่าให้ฟังเองว่า
ก่อนจะลงมาทำงานขับรถยนต์ให้ที่ธนาคาร
ได้ทำงานเป็นหมอที่โพธารามแล้ว
เพราะไปได้วิชาเสนารักษ์จากการเป็นทหารเกณฑ์สองปี
สมัยนั้นแพทย์แผนปัจจุบันก็หายากมาก
เมื่อเปี๊ยกกลับไปหาญาติพี่น้องที่โพธาราม
เลยได้เป็นหมอตำบลเพราะหาแพทย์แผนปัจจุบันไม่ได้
พร้อมกับมีรายได้จากการฉีดยาพวกวิตามิน รักษาโรคเล็ก ๆ น้อย ๆ
ให้กับชาวบ้านในเขตตำบลกับละแวกนั้น
แม้ว่าเปี๊ยกจะมีรายได้ค่อนข้างดีในตอนนั้น
แต่ที่แกยอมลงมาเพราะพี่สาวพี่เขยขอร้องอย่างหนึ่ง
กับได้มาดูแลพ่อกับแม่ที่ยังอยู่สะเดา
พร้อมกับพ่อแม่ตั้งความหวังไว้ว่า
เมื่อเกษียณอายุแล้วจะกลับไปอยู่ที่โพธาราม
แต่สุดท้ายแม่ได้กลับพร้อมกับน้องชายอีกคน
ส่วนพ่อเสียชีวิตและเผาที่สะเดาเหมือนกับเปี๊ยก
(ไว้จะค่อย ๆ ลำดับเหตุการณ์จากความทรงจำ)
สมัยที่เปี๊ยกเป็นทหารเกณฑ์อยู่นั้น
พลพรรคทหารจะเดินลาดตระเวณแถวสะเดา
เทือกเขาน้ำค้าง เขารูปช้าง แนวเทือกเขาสันกาลาคีรี
เคยสอบถามว่าเปี๊ยกว่าเคยปะทะกับโจรจีนมาลายาหรือไม่
แกบอกจริง ๆ แล้วต่างฝ่ายต่างหลบหลีกกัน
เลยไม่ค่อยมีการปะทะกับโจรจีนมาลายา
รวมทั้งผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ไทยด้วย
เพราะลึก ๆ ต่างฝ่ายต่างกลัวตายเหมือนกัน
การเคยเป็นทหารเกณฑ์ของเปี๊ยกจึงมีข้อดี
คือ ทำให้เข้าใจและทราบพื้นที่แถบนี้ดี
ว่าบริเวณไหนเป็นเขตอิทธิพลหรือที่ตั้งฐานที่มั่นโจรจีน
(ลูกค้าธนาคารเคยพาผมไปดูบังเกอร์โจรจีนมาลายา
ที่ตั้งอยู่ในป่ายางครั้งหนึ่งซึ่งตอนนี้หมดสภาพไปแล้ว)
เปี๊ยกเคยหายไปร่วมชั่วโมงทีเดียว
ตอนขับรถยนต์พาพวกผมไปเที่ยวที่เขื่อนบางลางยะลา
เพราะมีแฟนของเพื่อนที่ทำงานเป็นวิศวกรที่นั่น
เลยได้พลอยสิทธิ์ได้ที่พักฟรี เป็นสถานที่พักผ่อนวัยหยุดยาว
และเปิดไฟฟ้าทิ้งกันทั้งวันทั้งคืนเพราะมีการผลิตไฟฟ้าที่นั่น
สอบถามได้ความว่าแกไปเยี่ยมเพื่อนมุสลิมที่เป็นยามที่เขื่อน
ถามว่าทำไมจำได้หรือหลายปีแล้วนะ
แกบอกเดินตามหลังมันตอนเป็นทหารเกณฑ์ตั้งสองปี
ทำไมจะจำมันไม่ได้หละ
คล้าย ๆ กับหนังสือรีดเดอร์ไดแจสที่เคยอ่านพบขำขำว่า
ตอนที่สามีเธอขับรถยนต์อยู่นั้น
มีรถยนต์คันหน้าขับอยู่ สามีขับตามหลังพยายามเปิดไฟกระพริบใส่
แล้วค่อย ๆ เทียบข้างส่งสัญญาณให้จอดข้างทาง
ปรากฎว่าพอผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมา
สามีกับผู้ชายคนนั้นกอดกันและทักทายกันอย่างสนิทสนมมาก
เธอเลยถามว่าจำได้อย่างไรว่าเป็นเพื่อนสนิท
สามีตอบว่า ผมเดินตามหลังมันตอนเรียนนายร้อยนานถึงสี่ปี
เลยจำศีรษะของมันได้เป็นอย่างดีว่ารูปทรงนี้ใช่เลย
แม้ว่าจะไม่เจอกันนานหลายสิบปีแล้วก็ตาม
เพราะโยกย้ายไปอยู่ฐานทัพคนละแห่ง
ขอย้อนกลับมาที่สาขาธนาคารที่ทำงาน
ทางโจรจีนมาลายามาเรียกให้จ่ายค่าคุ้มครองด้วย
ที่ทราบดีเพราะผู้จัดการสาขาเล่าให้ฟังเองหลังเออรี่รีไทร์แล้วว่า
หลังจากเปิดสาขาเพียงไม่กี่เดือน
หัวหน้าโจรจีนในเขตปาดังเบซาร์มากับเพื่อนอีกคน
ขึ้นไปคุยที่ชั้นลอยของสาขาที่เป็นที่ทำงานผู้จัดการสาขา
ขอค่าตะเกียง(ค่าคุ้มครอง)จากพนักงานทุกคน
ในสมัยนั้นคนที่กรีดยางหรือมีสวนยางพารา
จะต้องจ่ายค่าตะเกียง(ใช้ติดศีรษะเวลากรีดยางตอนกลางคืน)
เป็นรายเดือน ๆ ละ 5-20 บาทแล้วแต่แปลงเล็กแปลงใหญ่
ส่วนเจ้าของก็ต้องจ่ายเป็นรายปีช่วงตรุษจีน
หรือช่วงวาระพิเศษของพรรคคอมมิวนิสต์
เจ้าของสวนยางพาราแปลงใหญ่มากก็หลักหมื่นเป็นอย่างต่ำ
การจ่ายค่าคุ้มครองในพื้นที่อิทธิพลให้โจรจีนมาลายา
มีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ยางที่กรีดทิ้งไว้ ข้าวของในบ้านพัก
ไม่มีการสูญหายอย่างแน่นอนรับประกันเกือบ 100%
ถ้าสูญหายเพราะถูกลักขโมยจะมีการติดตามเอาคืนได้เป็นส่วนใหญ่
แล้วจะมีการตักเตือนขโมยด้วยบาทาทัณฑ์ก่อน
มีการเตือนขโมยไม่เกินสามครั้ง
ถ้าไม่เชื่ออีกในครั้งที่สามก็ยิงทิ้งประจาน
โดยทิ้งศพไว้ในสวนยางพาราหรือบนถนนหลวงสมัยก่อน
แต่มีข้อเสียคือ คนที่จ่ายค่าคุ้มครองให้โจรจีนมาลายา
อาจจะถูกทางการกล่าวหาว่าเป็นสายให้หรือ
ให้ความร่วมมือกับโจรก่อการร้าย
โทษทัณฑ์เบา ๆ ก็ติดคุกฟรีสองปีข้อหาคอมมิวนิสต์
หนักหนาสาหัสก็ถูกยิงทิ้งตามระเบียบ
การเป็นชาวบ้านในสมัยนั้นหรือสมัยไหนก็ตามแต่
ถ้าพื้นที่มีความแปลกแยกหรือความขัดแย้งทางการเมืองสูง
ชาวบ้านก็เหมือนคนตกอยู่ท่ามกลางควายเปลี่ยวสองตัวกำลังจะชนกัน
หลบหลีกไม่ดีอาจจะถูกควายตัวใดตัวหนึ่งขวิดตาย
หรือเหมือนอดีตนายกรัฐมนตรีสตรีอังกฤษ
เจ้าของฉายาหญิงเหล็กที่พูดว่า
คุณอยู่กึ่งกลางถนนไม่ได้หรอก
เพราะคุณมีสิทธิ์ถูกรถยนต์ชนตายทั้งสองข้าง
(แต่ชาวบ้านต้องฉลาดเลือกที่หลบอยู่ข้างทาง
หรือรอให้ถนนโล่งเสียก่อนจึงจะข้ามถนน)
ในการเรียกค่าคุ้มครองคราวนั้น
ทางหัวหน้าโจรจีนที่มาติดต่อเรียกเก็บจากพนักงานหลักพันต่อเดือน
เพราะประมาณการเอาว่าพนักงานน่าจะเงินเดือนดีมาก
หรืออาจจะเป็นยุทธศาสตร์ในการเจรจาต่อรอง
ประเภทที่พรรคคอมมิวนิสต์ชอบพูดกันว่า
ยุทธวิธีคือสิบรบหนึ่ง ยุทธศาตร์คือหนึ่งรบสิบ
สุดท้ายมีการจ่ายเงินเป็นรายปีทั้งสาขาให้ในวงเงินสามหมื่นบาท
โดยทำเบิกเงินสดจ่ายให้จากค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินไปต่างประเทศ
ของกรรมการผู้จัดการใหญ่ที่เคยไปดำรงตำแหน่งเป็นพระยาคลังสมัยหนึ่ง
ดูแลและกำกับการคลังทั่วราชอาณาจักรไทย
ทั้งนี้เพื่อให้มีหลักฐานทางบัญชีการจ่ายเงินที่ถูกต้องตามระเบียบธนาคาร