.....86400 วินาที หรือ 1440 นาที คือเวลาที่โลกใช้หมุนรอบตัวเองต่อครั้ง สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ จขกท. รู้จัก ต่างก็ใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศจากการหมุนรอบตัวเองของโลก มาเป็นตัวกำหนดระยะเวลาการทำกิจกรรมดำรงชีวิตของพวกมันเอง สัตว์บางชนิดออกหารกินในช่วงเวลากลางวัน กลางคืนนอนหลับพักผ่อน และบางชนิดก็ออกหากินในเวลากลางคืน กลางวันอยู่ที่รังเพื่อพักผ่อน
มนุษย์ แม้จะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียว ที่แพร่กระจายขยายสายพันธุ์อยู่แทบทุกแผ่นดินของโลก แต่ก็เป็นสายพันธ์เดียวที่เจริญก้าวหน้า พัฒนาอารยธรรมของตัวเองขึ้นมาได้ แตกต่างจากสัตว์สิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ที่อาศัยอยู่บนโลก
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่พัฒนาอารยะธรรมของตัวเองอย่างต่อเนื่องไม่หยุดมากว่า 5000 ปี จากเริ่มแรกที่เน้นพัฒนากันในเฉพาะกลุ่ม อย่าง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรมอียิป อารยธรรมจีน อารยธรรมอินคา ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน รูปแบบสถาปัตยกรรม รูปแบบความเชื่อ ล้วนแตกต่างกัน แต่ก็มีบางสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกอารยธรรมเหมือนกัน นั้นคือการซื้อขายแลกเปลี่ยน ซึ่งนั้น เป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของสัตว์สังคมเช่นมนุษย์
และเมื่อเวลาผ่านไปโลกเริ่มแคบขึ้น จะด้วยการเพิ่มมากขึ้นของจำนวนประชากร หรือความล้ำสมัยของเทคโนยีที่พัฒนาขึ้นตลอดเวลา การหลอมกลืนอารยธรรมต่างๆเข้าด้วยกัน ของมนุษย์ในแต่ล่ะพื้นที่บนพื้นผิวโลก ก็เกิดลักษณะการรวมตัวกันขึ้นเป็น อาณาจักร หรือประเทศ สยามประเทศของเรา ก็ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่า ก่อตั้งเป็นชาติเมื่อ 800 ปีก่อนในสมัยราชวงสุโขทัย
และตลอด 800 ปีที่ผ่านมาล้วนแต่มีบันทึกหลักฐานเรื่องการซื้อขายแลกเปลี่ยนตลอดมา ไม่ว่าจะซื้อขายแลกเปลี่ยนกันเองภายในชาติ หรือการซื้อขายแลกเปลี่ยนกับต่างชาติ (มีบันทึกว่า สมัยสุโขทัย ทำการค้ากับ จีน ญี่ปุ่น มลายู และอินโดนีเซีย ผ่านเส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนใช้เส้นทางเดินทะเลในอ่าวไทย)
และทุกชาติ ทุกเผ่าพันธุ์มนุษย์ ก็ใช้การซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นแรงขับเคลื่อนนำพาสังคมหรืออาณาจักรของตนเองให้เจริญก้าวหน้ามาตั้งแต่ยุคโบราณ จนมาถึงปัจจุบัน ชาติใดที่มีขนาดเศรษฐกิจ หรือการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่มากกว่า ก็ย่อมได้เปรียบและเหนือกว่าชาติที่มีขนาดเศรษฐกิจที่เล็กกว่า
มนุษย์ไม่ได้พึ่งพิงการหนุมรอบตัวเองของโลกเพียงอย่างเดียวแล้ว เพราะเมื่ออาศัยอยู่รวมกันเป็นสังคม ก่อตั้งเป็นประเทศชาติ มนุษย์ก็ยังต้องพึ่งแรงขับเคลื่อนของการซื้อขายแลกเปลี่ยนเพื่อให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย ซื้อขายแลกเปลี่ยนรูปแบบต่างๆ มากมายหลายรูปแบบ เช่น รูปแบบสินค้า แรงงาน บริการ
ทุกวันนี้ ทุกสังคมในโลกก็ยังขับเคลื่อนแบบนี้
ประเทศไทยเคยหวังที่จะใช้แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ผลักดันตัวเองไปยืนอยู่แถวหน้าของประเทศในภูมิภาค เคยหวังจะเป็น "
เสือตัวที่ 5" ของเอเชีย (Fifth Asian Tiger) ต่อจาก "4 เสือเศรษฐกิจของเอเชีย" คือ เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวันในยุคของพลเอก ชาติชาย เคยหวังจะเป็นชาติผู้นำเศรษฐกิจอาเซียนในยุคของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร แต่ด้วยเหตุผลทางการเมือง ทำให้ความหวังดังกล่าว ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย
ขนาดมูลค่าเศรษฐกิจประเทศไทย ใหญ่เป็นอันดับที่ 30 ของโลก(ข้อมูลปี 2553) แต่ GDP ต่อหัวกลับอยู่อันดับที่ 84 ตามหลังชาติในอาเซียนที่เราเคยคิดจะแข่งขันด้วย อย่าง สิงค์โปร บูรไน มาเลเซีย อยู่ค่อนข้างมาก และถูกไล่จี้จากชาติที่เราไม่เคยคิดว่าเป็นคู่แข่งเลยอย่างเวียดนาม
โลกยังคงเคลื่อนไหวด้วยการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ แต่ประเทศไทยเลือกที่จะหยุดนิ่งและแช่แข็งตัวเองด้วยเหตุการณ์ทางการเมืองบ่อยครั้ง ชาติคู่แข่งที่เราหวังแข่งด้วย ทิ้งห่างเราไปทุกที ชาติที่เราไม่เคยมองก็ไล่จี้มาหายใจรดต้นคอ นี้ไม่ใช่เรื่องศักดิ์ศรีประเทศชาติ แต่มันเป็นเรื่องที่แสดงถึงศักยภาพและสติปัญญาของคนในชาติ
เราเคยบอก คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่ในความเป็นจริง เราไม่สามารถไปแข่งขันกับชาติใดในโลกได้เลย เพราะเราแพ้ภัยตัวเองตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ ทุกชาติในโลกต่างก็รู้
และหากยังปล่อยให้โลกใช้สายตาเยี่ยงทุกวันนี้ จับจ้องมาที่ไทย ความศิวิไลซ์ก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจ ก็อย่าหวังได้บังเกิดขึ้นมาเลย
เหตุการณ์ทางการเมืองส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ ?
ก็คงต้องตอบว่า ด้วยความที่เราเป็นชาติที่มีอำนาจต่อรองต่ำกว่าชาติคู่ค้า และชาติคู่ค้าสำคัญๆของเราก็อ่อนไหวง่ายกับเรื่องทางการเมืองในบ้านเรา อาจจะใช้อำนาจต่อรองที่เหนือกว่า สร้างเงื่อนไขให้เราต้องยอมปฏิบัติตาม หรือสร้างเงื่อนไขเพื่อมากีดกันการค้าของเรา จนกว่าภาวะเหตุการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะเป็นที่พึงพอใจของชาติคู่ค้า
หากคิดแบบพวกอนุรักษ์สุดโต่งที่ชอบแสดงความคิดเห็นว่า
“ก็ไม่เห็นเป็นไร ปิดประเทศไปเลยยิ่งดี เราอยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียงได้ ไม่เห็นต้องไปแคร์พวกต่างชาติเลย” นั้นคือความคิดที่แคบสั้น เพราะเอาเข้าจริงเราทำอย่างนั้นได้ทุกคนหรือ รายได้น้อยลง ความสะดวกสบายน้อยลง ปลูกผักเลี้ยงสัตว์ไว้กินกันตามประสา ทำแบบนั้นได้แน่หรือ
เพราะอย่าลืมว่า รายได้หลักของเรา คือการส่งออก ซึ่งแสดงว่าผลผลิตของเรามีมากเกินความต้องการบริโภคภายในประเทศ ถ้าปิดประเทศนั้นแปลว่า ผลผลิตทั้งหมดของเราที่ผลิตได้ทั้งหมด ก็จะมีส่วนที่เหลือเกินความต้องการมากมาย ผลิตออกมาแล้วขายไม่ได้ จะเอารายได้ที่ไหนเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
ป.ล.อาจจะยาวไปหน่อยแต่ก็เขียนมาด้วยความตั้งใจจริง และก็อยากอ่านบทวิพากษ์จากท่านอื่นๆบ้าง จะเรื่องใดก็ได้ หลายๆล็อคอินคุณภาพ ที่ยังพอหลงเหลืออยู่ ช่วยกันเขียนเยอะๆนะครับ ราชดำเนินแห่งนี้ จะได้มีบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างสร้างสรรค์ มากกว่าเป็นที่ระบายความใคร่ทางอารมณ์การเมือง เหมือนทุกวันนี้
เมื่อโลกยังเคลื่อนไหว แต่เมืองไทยเริ่มหยุดนิ่ง
มนุษย์ แม้จะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียว ที่แพร่กระจายขยายสายพันธุ์อยู่แทบทุกแผ่นดินของโลก แต่ก็เป็นสายพันธ์เดียวที่เจริญก้าวหน้า พัฒนาอารยธรรมของตัวเองขึ้นมาได้ แตกต่างจากสัตว์สิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ที่อาศัยอยู่บนโลก
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่พัฒนาอารยะธรรมของตัวเองอย่างต่อเนื่องไม่หยุดมากว่า 5000 ปี จากเริ่มแรกที่เน้นพัฒนากันในเฉพาะกลุ่ม อย่าง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรมอียิป อารยธรรมจีน อารยธรรมอินคา ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน รูปแบบสถาปัตยกรรม รูปแบบความเชื่อ ล้วนแตกต่างกัน แต่ก็มีบางสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกอารยธรรมเหมือนกัน นั้นคือการซื้อขายแลกเปลี่ยน ซึ่งนั้น เป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของสัตว์สังคมเช่นมนุษย์
และเมื่อเวลาผ่านไปโลกเริ่มแคบขึ้น จะด้วยการเพิ่มมากขึ้นของจำนวนประชากร หรือความล้ำสมัยของเทคโนยีที่พัฒนาขึ้นตลอดเวลา การหลอมกลืนอารยธรรมต่างๆเข้าด้วยกัน ของมนุษย์ในแต่ล่ะพื้นที่บนพื้นผิวโลก ก็เกิดลักษณะการรวมตัวกันขึ้นเป็น อาณาจักร หรือประเทศ สยามประเทศของเรา ก็ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่า ก่อตั้งเป็นชาติเมื่อ 800 ปีก่อนในสมัยราชวงสุโขทัย
และตลอด 800 ปีที่ผ่านมาล้วนแต่มีบันทึกหลักฐานเรื่องการซื้อขายแลกเปลี่ยนตลอดมา ไม่ว่าจะซื้อขายแลกเปลี่ยนกันเองภายในชาติ หรือการซื้อขายแลกเปลี่ยนกับต่างชาติ (มีบันทึกว่า สมัยสุโขทัย ทำการค้ากับ จีน ญี่ปุ่น มลายู และอินโดนีเซีย ผ่านเส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนใช้เส้นทางเดินทะเลในอ่าวไทย)
และทุกชาติ ทุกเผ่าพันธุ์มนุษย์ ก็ใช้การซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นแรงขับเคลื่อนนำพาสังคมหรืออาณาจักรของตนเองให้เจริญก้าวหน้ามาตั้งแต่ยุคโบราณ จนมาถึงปัจจุบัน ชาติใดที่มีขนาดเศรษฐกิจ หรือการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่มากกว่า ก็ย่อมได้เปรียบและเหนือกว่าชาติที่มีขนาดเศรษฐกิจที่เล็กกว่า
มนุษย์ไม่ได้พึ่งพิงการหนุมรอบตัวเองของโลกเพียงอย่างเดียวแล้ว เพราะเมื่ออาศัยอยู่รวมกันเป็นสังคม ก่อตั้งเป็นประเทศชาติ มนุษย์ก็ยังต้องพึ่งแรงขับเคลื่อนของการซื้อขายแลกเปลี่ยนเพื่อให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย ซื้อขายแลกเปลี่ยนรูปแบบต่างๆ มากมายหลายรูปแบบ เช่น รูปแบบสินค้า แรงงาน บริการ
ทุกวันนี้ ทุกสังคมในโลกก็ยังขับเคลื่อนแบบนี้
ประเทศไทยเคยหวังที่จะใช้แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ผลักดันตัวเองไปยืนอยู่แถวหน้าของประเทศในภูมิภาค เคยหวังจะเป็น "เสือตัวที่ 5" ของเอเชีย (Fifth Asian Tiger) ต่อจาก "4 เสือเศรษฐกิจของเอเชีย" คือ เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวันในยุคของพลเอก ชาติชาย เคยหวังจะเป็นชาติผู้นำเศรษฐกิจอาเซียนในยุคของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร แต่ด้วยเหตุผลทางการเมือง ทำให้ความหวังดังกล่าว ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย
ขนาดมูลค่าเศรษฐกิจประเทศไทย ใหญ่เป็นอันดับที่ 30 ของโลก(ข้อมูลปี 2553) แต่ GDP ต่อหัวกลับอยู่อันดับที่ 84 ตามหลังชาติในอาเซียนที่เราเคยคิดจะแข่งขันด้วย อย่าง สิงค์โปร บูรไน มาเลเซีย อยู่ค่อนข้างมาก และถูกไล่จี้จากชาติที่เราไม่เคยคิดว่าเป็นคู่แข่งเลยอย่างเวียดนาม
โลกยังคงเคลื่อนไหวด้วยการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ แต่ประเทศไทยเลือกที่จะหยุดนิ่งและแช่แข็งตัวเองด้วยเหตุการณ์ทางการเมืองบ่อยครั้ง ชาติคู่แข่งที่เราหวังแข่งด้วย ทิ้งห่างเราไปทุกที ชาติที่เราไม่เคยมองก็ไล่จี้มาหายใจรดต้นคอ นี้ไม่ใช่เรื่องศักดิ์ศรีประเทศชาติ แต่มันเป็นเรื่องที่แสดงถึงศักยภาพและสติปัญญาของคนในชาติ
เราเคยบอก คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่ในความเป็นจริง เราไม่สามารถไปแข่งขันกับชาติใดในโลกได้เลย เพราะเราแพ้ภัยตัวเองตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ ทุกชาติในโลกต่างก็รู้
และหากยังปล่อยให้โลกใช้สายตาเยี่ยงทุกวันนี้ จับจ้องมาที่ไทย ความศิวิไลซ์ก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจ ก็อย่าหวังได้บังเกิดขึ้นมาเลย
เหตุการณ์ทางการเมืองส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ ?
ก็คงต้องตอบว่า ด้วยความที่เราเป็นชาติที่มีอำนาจต่อรองต่ำกว่าชาติคู่ค้า และชาติคู่ค้าสำคัญๆของเราก็อ่อนไหวง่ายกับเรื่องทางการเมืองในบ้านเรา อาจจะใช้อำนาจต่อรองที่เหนือกว่า สร้างเงื่อนไขให้เราต้องยอมปฏิบัติตาม หรือสร้างเงื่อนไขเพื่อมากีดกันการค้าของเรา จนกว่าภาวะเหตุการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะเป็นที่พึงพอใจของชาติคู่ค้า
หากคิดแบบพวกอนุรักษ์สุดโต่งที่ชอบแสดงความคิดเห็นว่า “ก็ไม่เห็นเป็นไร ปิดประเทศไปเลยยิ่งดี เราอยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียงได้ ไม่เห็นต้องไปแคร์พวกต่างชาติเลย” นั้นคือความคิดที่แคบสั้น เพราะเอาเข้าจริงเราทำอย่างนั้นได้ทุกคนหรือ รายได้น้อยลง ความสะดวกสบายน้อยลง ปลูกผักเลี้ยงสัตว์ไว้กินกันตามประสา ทำแบบนั้นได้แน่หรือ
เพราะอย่าลืมว่า รายได้หลักของเรา คือการส่งออก ซึ่งแสดงว่าผลผลิตของเรามีมากเกินความต้องการบริโภคภายในประเทศ ถ้าปิดประเทศนั้นแปลว่า ผลผลิตทั้งหมดของเราที่ผลิตได้ทั้งหมด ก็จะมีส่วนที่เหลือเกินความต้องการมากมาย ผลิตออกมาแล้วขายไม่ได้ จะเอารายได้ที่ไหนเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
ป.ล.อาจจะยาวไปหน่อยแต่ก็เขียนมาด้วยความตั้งใจจริง และก็อยากอ่านบทวิพากษ์จากท่านอื่นๆบ้าง จะเรื่องใดก็ได้ หลายๆล็อคอินคุณภาพ ที่ยังพอหลงเหลืออยู่ ช่วยกันเขียนเยอะๆนะครับ ราชดำเนินแห่งนี้ จะได้มีบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างสร้างสรรค์ มากกว่าเป็นที่ระบายความใคร่ทางอารมณ์การเมือง เหมือนทุกวันนี้