4 สิ่งสำคัญที่ต้องเสีย หากไม่เคารพกติกาบ้านเมือง

กระทู้ข่าว
4 สิ่งสำคัญที่ต้องเสีย หากไม่เคารพกติกาบ้านเมือง



เป็นเวลากว่า 7-8 ปี แล้ว ที่สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองยังคงดำเนินอยู่  โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงในเร็ววัน แต่กลับรอวันที่จะประทุขึ้น และยังได้แยกคนออกเป็นสองฝ่าย ตามความเชื่อและอุดมการณ์ตัวเอง บางกลุ่มเชื่อว่าระบอบทักษิณคือต้นตอของปัญหาที่ต้องกำจัดเพื่อนำความสงบมาสู่บ้านเมือง แต่บางกลุ่มก็เชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะนำพาประเทศไปสู่ความศิวิไลซ์ได้ ด้วยความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตามความเชื่อและอุดมการณ์ของแต่ละกลุ่ม ที่ขับเคลื่อนมาตลอด 8 ปี นั้น ย่อมมีต้นทุนค่าเสียโอกาส หรือค่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างมหาศาลต่อประเทศ วันนี้ เว็บไซต์ ispacethailand.com จะพาท่านมาประเมินสิ่งที่ต้องเสีย หากความขัดแย้งทางการเมืองยังดำรงอยู่

1.ชีวิตของประชาชน
ประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย ได้สอนเราว่าตั้งแต่ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย ศพประชาชนเท่านั้นคือเครื่องเซ่นสังเวยต่อความอยุติธรรม ด้วยความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนนั้นมีมาตลอด ซึ่งตัวรัฐในอดีตมักถูกควบคุมโดยเหล่าทหาร ทำให้การใช้ความรุนแรงกับประชาชนเป็นเรื่องปกติ อันนำมาสู่การตายของประชาชนที่ต่อสู้ทางการเมืองตามครรลองประชาธิปไตยมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 ที่ประชาชน นักศึกษาออกมาต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหาร ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 77 คน และบาดเจ็บอีก 857 คน[1] หรือเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 39 คน และบาดเจ็บ 145 คน[2] และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี  พ.ศ.2535 ที่การเสียชีวิตของประชาชนยังไม่แน่ชัด โดยพลเอกสุจินดา คราประยูร แถลงว่ามีผู้เสียชีวิต 40 คน บาดเจ็บ 600 คน[3]

แม้กระทั่งตัวรัฐบาลที่เป็นพลเรือนเอง ที่อยู่ในห้วงความขัดแย้งในปัจจุบัน อย่างรัฐบาลปี 2553 ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีคำสั่งผ่าน ศอฉ.ให้ติดอาวุธ พร้อมใช้กระสุนจริง เข้าสลายการชุมนุมของประชาชนที่ออกมาต่อต้าน จนทำให้ประชาชนต้องเสีย เสียชีวิตกว่า 99 ศพ และบาดเจ็บกว่า 2,000 คน[4] ซึ่งเหตุการณ์ทางการเมือง ทั้ง 4 เหตการณ์ใหญ่ ล้วนมีศพประชาชนเข้าไปเกี่ยวข้อง เหล่านี้ยังไม่นับรวมศพที่สูญหาย และรัฐภายใต้การนำของทหาร พยายามที่จะปกปิดข้อมูลอีกไม่รู้อีกกี่ศพ แต่ที่เปิดเผยออกมาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าความตายของประชาชนเป็นเรื่องธรรมดาของรัฐ หลังจากทั้ง 3 เหตุการณ์แรก ก็เข้าสู่กระบวนการนิรโทษกรรมหมด ซึ่งคนสั่งฆ่ายังไม่ได้รับผิดตามกระบวนการกฏหมายเลยแม้แต่น้อยและเหตุการณ์สั่งสลายการชุมนุมของนายอภิสิทธิ์ ยังอยู่ในขบวนการของศาล ส่วนกรณีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น ได้ใช้ตำรวจในการควบคุมม็อบ ซึ่งแตกต่างจาก 4 เหตุการณ์ใหญ่ ที่กล่าวมาข้างต้น และสาเหตุการตายนั้น ยังอยู่ในกระบวนการพิสูจน์ตามกฏหมาย ว่าใครเป็นผู้กระทำผิ

2.เศรษฐกิจ
หากกล่าวถึงเศรษฐกิจแล้ว ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่บอบช้ำของประเทศไทย เพราะเมื่อมองภาพใหญ่ของประเทศแล้ว จะพบว่าตั้งแต่ความขัดแย้งทางการเมืองเพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน ที่นำมาสู่ความไม่มีเสถียรภาพในการบริหารจัดการของรัฐ ส่งผลให้เกิดการหดตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ต่างชาติถอนทุนไปลงทุนในประเทศที่มีเสถียรภาพน่าลงทุนมากกว่าประเทศไทย[5] ส่วนภาพรองลงมาในระดับเศรษฐกิจของประเทศ หลังมีม็อบชุมนุมปิดถนน ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คงหนีไม่พ้นธุรกิจห้างร้าน และโรงแรม โดยในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ รายงานออกมาว่าธุรกิจโรงแรม  ร้านอาหารโซน สุขุมวิท อโศก ราชประสงค์ ทองหล่อ ยอดร่วงหนักเผยอัตราเข้าพักลดต่อเนื่องเหลือ 10-20 % จนต้องงัดมาตรการรัดเข็มขัดเพิ่มเติม ทั้งปิดฟลอร์ ปิดห้องอาหาร  ลดวันทำงาน  ลาหยุดโดยไม่รับเงินเดือน บางแห่งเริ่มปลดคน ด้าน สมาคมภัตตาคารไทย แจงยอดขายวูบไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาทต่อเดือน สะเทือนสมาชิก 3 หมื่นราย คาดลากยาวถึงมีนาคมส่อเค้าลดพนักงาน[6] ต่อเนื่องไปถึงระบบเศรษฐกิจระดับล่างในต่างจังหวัด เช่น การจ่ายเงินให้กับชาวนาในโครงการจำนำข้าว ที่มีปัญหาเพราะติดขัดเรื่องบริหารจัดการ เพราะรัฐบาลยุบสภาก่อน ทำให้ไม่สามารถนำงบประมาณประจำปีออกมาจ่ายได้ ยังไม่นำรวมถึงระบบเศรษฐกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ราคาสินค้าเกษตรต่างๆ เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย เป็นต้น ที่อยู่ในช่วงราคาตกต่ำ ที่กล่าวมาข้างต้น ก็เกิดขึ้น จากการที่ม็อบ กปปส.ที่ต้องการการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ผนวกกับต้องรอ กกต.ประกาศวันเลือกตั้งใหม่ หลังศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทำให้ยังไม่ได้รัฐบาลที่มาจัดการกับระบบเศรษฐกิจของประเทศในองค์รวม

3.เวลา
“ปัญหาจริงๆ แล้วของเรา คือ เราไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องเวลา เพราะเราคิดว่าเวลา คือ “ของฟรี” แต่ระยะเวลา “ไม่ฟรี” เวลาเป็นสิ่งที่แพงที่สุด” นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวไว้ในการบรรยายพิเศษ เมื่อวันที่ 30 กรกฏาคม พ.ศ.2556 โดยบรรยายถึงโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะรถไฟฟ้าความเร็วสูง กับพระราชบัญญัติกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ว่ามีความจำเป็นอย่างไรกับประเทศไทย ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลให้สิ่งหนึ่งเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ คือ “เวลา” ทุกอย่างต้องหยุดชะงักไปกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เศรษฐกิจเดินหน้าไม่ได้ รัฐบาลบริหารจัดการประเทศไม่มีเสถียรภาพ เป็นต้น ส่งผลให้ประเทศไทยติดหล่มของการไม่พัฒนา ครั้งหนึ่งในอดีต ประเทศไทยเคยถูกเรียกว่า เสือตัวที่ห้าแห่งเอเชีย หรือ ประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ที่คนไทยรู้ในนาม นิกส์ ( NICs: new industrialized countries) [7] ที่ขับเคี้ยวอย่างสูสีแข่งกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แต่วันนี้ไทยเรายังพัฒนาไปไม่ถึงไหน เพราะติดหล่มความขัดแย้งทางการเมือง พระราชบัญญัติกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ประจักษ์ ที่ถูกตีตกโดยศาลรัฐธรรมนูญ ว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวขัดกับรัฐธรรมนูญ อันส่งผลให้ประเทศไทยยังต่อรออีกต่อไปสำหรับสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่สร้างความสะดวกสบายให้กับประชาชน และสิ่งที่เสียไปคือ เวลา

4.ความรู้สึกของคนในชาติ
หากกล่าวถึงผลกระทบด้านจิตใจ ความรู้สึกของคนในชาติ ด้านภาพใหญ่ ความขัดแย้งของสังคมไทยดำเนินมาถึงจุดที่แทบจะเรียกได้ว่าสูงสุด เพราะการถกเถียง ต่อสู้ทางการเมือง มาถึงจุดที่เรียกกว่าเอาประชาธิปไตยหรือไม่เอาประชาธิปไตย[8] มิใช่ความขัดแย้งทางการเมืองที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เช่น ต้องการรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เหมือนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 หรือต้องการรัฐธรรมนูญเหมือน เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 แต่ความขัดแย้งในปัจจุบัน คือ ความขัดแย้งที่มากไปกว่านั้น และมีหลายคู่ขัดแย้ง ทั้งระหว่างประชาชนกับประชาชน พรรคการเมืองกับพรรคการเมือง ขั้วอำนาจเก่ากับขั้วอำนาจใหม่ เมื่อทั้งสองกลุ่มแยกออกจากกันโดยชัดเจน ทำให้วันนี้เราเห็นภาพที่น่าอนาจใจ แม้กระทั่งครอบครัวเดียวกันยังคุยกันไม่ตกและถกเถียงกัน สามีดูทีวีเครื่องหนึ่ง ภรรยาดูทีวีอีกเครื่องหนึ่ง ที่ตนให้การสนับสนุน แบ่งเป็นเหลือง-แดง
ภาพรองของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เมื่อประชาชนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของประเทศ รู้สึกว่าสิทธิเสียงของตนเองไม่มีในประเทศ รัฐบาลที่กลุ่มตนเลือกขึ้นไปบริหารประเทศ ถูกขัดขวางโดยองค์กรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของตน สิ่งที่พอจะอธิบายคำตอบนี้ได้ กลุ่มนี้เรียกว่า “สองมาตรฐาน” และความรู้สึกนี้เกิดประทุขึ้นผ่านวิธีต่างๆ ถึงขึ้นอยากจะแยกประเทศ[9] กับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านรัฐบาลกลุ่มของพวกเขาเหล่านี้ และภาพเล็ก ที่น่าเห็นใจ คือ คน กรุงเทพมหานคร ที่ต้องรับผลกระทบที่เกิดขึ้นในการชุมนุมเคลื่อนไหวของประชาชนกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะครั้งไหนๆ ผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้ชีวิตของคนกรุงเทพฯ เปรียบได้กับคนกรุงเทพฯ โดนการชุมนุมเคลื่อนไหวข่มขืนตลอดเวลา เหล่านี้สะท้อนภาพความรู้สึกของคนในชาติทุกหมู่เหล่าได้อย่างชัดเจน ถึงอนาคตที่มืดบอดของสังคมไทย

ที่มา http://on.fb.me/1eZ96Im
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่