จงมาคุยเรื่อง KILL la KILL กันให้สนุกสนานแล้วมองให้ทะลุถึงตับไตไส้พุงกันเถอะ!!![พิเศษ]

***ระวังโดนสปอย***
***พิมพ์เยอะมาก(ส์) จึงขอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย***
***ถ้าใครมาใหม่ อยากรู้ว่าเจ้าพวกนี้คุยเรื่องอะไรกันกลับไปอ่านกระทู้เก่านี้ได้***

อันนี้เป็นฉบับแถมให้ในวาระที่จขกท.กำลังยุ่งมาก (อ้าว??)
คือถือเป็นบทส่งท้ายก่อนที่ตัวเองจะปลีกวิเวกไปโหมงานซึ่งจะหายไปนานเลยละ แล้วก็ยังเดาอนาคตไม่ถูกด้วย

เรื่องที่อยากจะพูดถึงในคราวนี้ก็เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากตัวละครหลักที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในเรื่อง อีกทั้งยังเป็นคนที่ถูกหมายปอง เอ้ยไม่ใช่ ถูกหมายหัวโดยริวโกะ และก็ยังมี Charisma ระดับเมพที่ดึงดูดให้ทั้งเหล่าจัตุรเทพ ลิ่วล้อดาวเล็ก ดาวน้อยมาสวามิภักดิ์ รวมไปถึงคนดูอีกหลายคนที่จขกท.คิดแน่ ๆ ละว่าต้องมีอวยบ้างละ จะมากจะน้อยไม่เป็นไร แต่ยังไงก็จะดู เพราะตัวละครแบบ “ซัตสึกิ” นี้มันมีความน่าสนใจเอามาก ๆ ยิ่งพอมาถึงตอนที่เพิ่งออกมาเร็ว ๆ นี้ก็ยิ่งยากที่จะปฏิเสธได้ ซึ่งถ้าจะให้ยืนยันว่าองค์ประกอบแต่ละอย่างที่รวมกันขึ้นจนมาเป็นซัตสึกินี้มันน่าสนใจยังไง จขกท.ก็คงจะพูดได้อย่างเดียวว่าเธอเป็นหนึ่งในตัวละครที่แสดงให้เห็นว่า “อำนาจ” นั้นมันคือความ “เซ็กซี่” อย่างแท้จริง!

Kiryuin Satsuki (鬼龍院 皐月) อายุ 18 ปี ดำรงตำแหน่งประธานนักเรียนโรงเรียนฮอนโนวจิ มีแม่เป็นคณะกรรมการบอร์ดของโรงเรียน มีดาบบาคุซันคู่กายพร้อมด้วยคามุอิจุนเก็ตสึคู่บารมี ล้อมรอบไปด้วยบริวารโดยมีจัตุรเทพทั้งสี่คอยรับใช้ใกล้ชิด (แต่อาจจะไม่ใกล้ชิดเท่าหน่วยบริกรที่รินชาให้ประจำ แต่ช่างมันละกัน) ถัดลงไปเป็นหมากยิบย่อยอันประกอบไปด้วยยศที่ลดหลั่นกันไป รัศมีความน่าเกรงขาม ความทรงอำนาจ และเสียงกระทบพื้นของส้นสูงทำให้เหล่านักเรียน คณาจารย์ หรือแม้แต่อาจารย์ใหญ่ก็ไม่กล้าหือ (ยกเว้นจะมีเด็กเกอยู่คนที่กล้าแตกแถว เอากรรไกรยักษ์ชี้ใส่หน้า)

ถ้าดูจากพื้นหลังของตัวละครนี้มาแล้วก็ยิ่งนับได้ว่าต้องตาต้องใจจขกท.มาก เพราะเนื่องจากมีการปูพื้นหลังได้เยี่ยม เพื่อให้เข้ากับบทบาทของผู้นำที่ปกครองคนในลักษณะของเผด็จการซึ่งเป็นการปกครองแบบเบ็ดเสร็จ และประชาชนจะต้องอยู่ภายใต้การบริหารของคณะและบุคคลเพียงส่วนน้อยเท่านั้น



หากจะวิเคราะห์แบบอิงทฤษฎีของ Max Weber มันเป็นที่แน่ชัดอยู่แล้วว่าความสะอาดหมดจด และสายเลือดบริสุทธิ์ของเธอนั้นเป็น “Traditional authority” ซึ่งเป็นการสืบทอดอำนาจในลักษณะของกษัตริย์ แต่ว่านอกจากอำนาจในลักษณะนี้แล้วก็ยังมีอำนาจในอีกลักษณะหนึ่งที่ควรจะได้รับการกล่าวถึงมากกว่า และมันเป็นจุดเด่นที่ถูกเน้นได้สะดุดตามากที่สุดของซัตสึกิ นั่นก็คือเธอต้องถือว่าเป็น “Charismatic authority” ด้วย ซึ่งเป็นรูปแบบของอำนาจที่ดึงเอาเสน่ห์ คุณสมบัติ และความสามารถพิเศษเฉพาะคนมาเป็นจุดสำคัญในการชี้นำ ดึงดูดผู้คน รวมไปถึงการสร้างความชอบธรรมของอำนาจด้วยว่าอำนาจของตนนั้นมันเป็นสิ่งที่อยู่ “เหนือ” ขึ้นไป ซึ่งเป็นในลักษณะของความรู้สึกที่ว่าไม่อาจทัดเทียม หรือเข้าถึงได้ นี่แหละคือผู้ที่มี "the gift of grace" ที่จะสามารถทำให้คนเลื่อมใสศรัทธา และหลงใหลไปด้วยพลังอำนาจที่จริง ๆ แล้ว “อันตราย” น่ากลัวเสียยิ่งกว่าอำนาจในรูปแบบอื่นใดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของกษัตริย์ตามธรรมเนียมดั้งเดิมในอดีตก็ดี หรือจะเป็นการปกครองโดยรัฐบาลที่มีความสลับซับซ้อน อ้างอิงตามบทบัญญัติของกฎหมายตามอย่างปัจจุบันก็ดี สุดยอดของอำนาจที่แท้จริงก็คือการปกครองคนด้วย “ความเชื่อ” “ความหลงใหล” รวมไปถึง “ความกลัว” ที่เข้าไปเล่นกับคนในระดับของจิตใจและความคิดต่างหาก และทำให้ในที่สุดแล้วผู้คนทั่วไปก็ราวกับจะเต็มใจให้โดนล้างสมอง โดยจะพูดก็ได้ว่าเพราะความงดงามนั้น (grace) ทำให้คนตาบอดได้ดีนักแล


(ใช่แล้ว.. ผู้ดีนี้ต้องดื่มชา.. มันเป็น concept)

ถ้าจะถามว่า ที่ว่า “อันตราย” นี้อันตรายอย่างไรบ้าง ก็จะขอยกตัวอย่างบุคคลที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มอำนาจเดียวกัน ดังเช่น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์แห่งพรรคนาซี คนที่มีความสามารถโดดเด่น เป็นทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่หนึ่งผู้ได้รับรางวัลมากมาย รวมไปถึงความช่ำชองในการใช้สุนทรพจน์ของเขา ลักษณะ บุคลิกต่าง ๆ เหล่านี้ก็คงจะไม่เกินไปหากจะกล่าวว่าเขาเป็นผู้ที่มีความเฉียบขาด มีภาพลักษณ์ของความเป็นผู้นำที่ใคร ๆ ก็เคารพและติดตาม ฮิตเลอร์คือคนที่ประชาชนมองว่าคือคำตอบของสถานการณ์ในตอนนั้นที่เยอรมันถูกบีบด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและสนธิสัญญาแวร์ซาย ที่สุดแล้วเขาจึงกลายไปเป็นผู้นำสูงสุดของการปกครองแบบเผด็จการฟาสซิสต์ในเยอรมัน กลุ่มขวาจัดที่โด่งดัง และชาตินิยมที่เป็นหนึ่งในฝ่ายอักษะที่ต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง แน่นอนว่าชื่อเสียงที่ดังกระหึ่มก็ต้องไม่พ้น “อุดมการณ์นาซี” และความโหดร้ายของเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิว หรือที่รู้จักกันในชื่อ “The Holocaust” โดยจขกท.จะขอไม่พูดถึงรายละเอียดแล้วกันนะ

คำว่า “อุดมการณ์” นี้ช่างน่ากลัวนัก จะเป็น “คุณ” และ “โทษ” อย่างไรก็แล้วแต่ หากอานุภาพของมันส่งผลในแง่ร้ายขนาดนี้ ท้ายที่สุดมันก็จะต้องจบแบบไม่สวยแน่นอน ซึ่งนอกจากฮิตเลอร์แล้ว ถ้าหากจะให้เกินไปกว่านั้นยังมีอีกรูปแบบที่น่าจะเอามาเป็นตัวอย่างได้ เช่นในกรณีของ Jim Jones ถ้าหากใครเคยได้ยินนะ ซึ่งนี่มันจะไม่ใช่แค่สังหารหมู่แล้ว แต่มันควบเอาการ “ฆ่าตัวตายหมู่” ที่มากที่สุดหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ คือสามารถจูงใจและ “สั่งให้ตายได้” โดยจขกท.ก็จะขอไม่เล่ารายละเอียดอีกเหมือนกัน ถ้าอยากรู้ลองค้นหาดูด้วยตนเองก็จะเจอได้ไม่ยาก
พูดเรื่องการสังหารแล้วมันน่าหดหู่จริงๆ จากที่กล่าวมาในตัวอย่างทั้งหมดก็เป็นการบริหารอำนาจในลักษณะที่เลวร้ายแบบสุดโต่งจนเรียกได้เต็มปากเลยว่า “evil” แต่จขกท.ก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะบอกว่าซัตสึกินี้เป็นคนที่ “เลว” เต็มขั้นแต่อย่างใดนะ ทุกการกระทำมันมีเหตุมีผลของมันอยู่แล้ว อย่างญี่ปุ่นเองทำไมเขาถึงประกาศสงครามโลก ณ ตอนนั้นละ? อย่างในเรื่องของเยอรมันนี้ก็เป็นเพราะด้วยองค์ประกอบที่เลวร้ายหลาย ๆ อย่าง และสถานการณ์ที่ถูกบีบจนถึงที่สุดแล้วจริง ๆ ผลของมันถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้ ตัวอย่างที่ยกขึ้นมาทั้งหมดอย่างน้อยที่สุดจึงทำได้แค่เป็นเพียงอุทาหรณ์แก่คนรุ่นหลัง ไม่ให้เราเดินไปเหยียบซ้ำเอารอยเดิมก็เท่านั้นเอง

ถ้างั้นก็เปลี่ยนอารมณ์หน่อยละกันนะ เมื่อเรากลับมามองที่ซัตสึกิ จขกท.ก็อยากจะเสริมว่าหากใครในเรื่องจะเคารพเธอจริง ๆ ก็ไม่อยากให้เป็นในลักษณะของ “ความหลง” นะ แต่อยากให้เคารพเธอด้วย “ความเข้าใจ” มากกว่า คือใช้ “ใจ” ที่ไตร่ตรอง พิจารณาตามพื้นฐานของวิญญูชน แทนที่จะทำตามไปโดยไม่มองหน้ามองหลังอะไรเลย และถ้าหากเป็น “เพื่อนแท้” กันจริง ๆ ก็ควรจะเตือนกันหากทำอะไรผิดพลาดไปด้วย นี่แหละถึงจะพอเรียกได้ว่า “รัก” นะ ไม่ใช่ “หลง” ดังนั้นหากใครที่กำลังอวยแบบหน้ามืด หรือหลงใหลในรัศมีของอำนาจที่เจิดจ้านั้น ก็จงหลงกันต่อไปโลด เอ้ย ไม่ใช่ ก็จงมองเธอให้เป็นตัวละครที่มีมิติกว่านี้อีกหน่อยสิ ดูเข้าไปให้ลึกมากกว่านี้ จขกท.รับรองว่าเดี๋ยวตอนต่อ ๆ ไปก็จะเริ่มเห็นเธอชัดขึ้น ๆ ในหลายด้าน หลายมุมมอง ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นการดูที่สนุกไปอีกแบบ ผสมผสานไปกับความสุขุมที่เรารู้สึกได้จากการที่เธอนั่งดื่มชาอย่างสบายใจดังที่เห็นอยู่ด้านล่างนี้



จบแต่เพียงเท่านี้แล ขอบพระคุณทุกท่านที่พยายามอ่านจนจบนะคะ
ขณะนี้ก็ได้เวลาไปจำศีล ลุยงานต่อแล้ว ขอให้ดูอนิเมซีซั่นนี้กันอย่างหนุกหนานไปเลยนะ