ขออนุญาติใช้คำและภาษาวิบัติ และสำนวนอันพื้นบ้าน
รีวิวเป็นอุทาหรณ์และเห่าให้สำหรับเพื่อนๆที่อยากไปเที่ยวและเรียนภาษานะคะ
คำเตือน!! โปรดอ่านตั้งแต่ตอนแรกนะจ๊ะ เดี๋ยว... เจ้าจะพลาด
โปรดระวัง!!! ข้ามตอนสำคัญไป +555 - -*
มีคำถามสงสัย... ทิ้งไว้ในคอมเม้นหรือหลังไมค์นะจ๊ะ จุ๊บๆ
ภาคแรกคะ
http://pantip.com/topic/31161625
เฮ้ย~ รอบนี้แค่ตัวอักษรก็จะเกินหมื่นที่มันกำหนดละ ยังไม่ทันลงรูปเลย - -* อัลรายยยยยย >O<
สำหรับใครที่ถามเข้ามาว่า ห้องน้ำจ๋ามันน่าตาเป็นอย่างไรเธอถึงรับไม่ได้

ห้องน้ำที่ห้อพักจ้า - -*
สามสาวกลายเป็นสามหลุมผู้ดึงดูดความมืดมิด และสิ้นหวัง มาสู่หอพัก เราไม่ได้ตื่นตาไปพร้อมกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
เราไม่ได้ตื่นตัวกับการชอปปิ้งในศูนย์การค้าใจกลางเมือง????? ในหัวเต็มไปด้วยคำว่าอะไรๆๆๆๆๆๆ
ฉันไม่เคยจินตนาการชีวิตในต่างประเทศแบบนี้ไว้ สาวใส่ส่าหรีวิ่งไปรองฉีวัวล้างหน้า วิ่งหน้าตั้งผ่านกองขยะที่ข้างถนน
กินเคเอฟซีและแม็คเป็นอาหารหลัก โดยขอทานเดินตามจนต้องโล่เข้าแมคโดนัล หรือหน้ามืดตอนแท็กซี่พาหลงทาง
พูดตามตรงคือ รับ-ไม่-ได้!!
เช้ามาเราเดินเท้าไปเรียนด้วยกัน กลางวันเรากินข้าวพูดคุยแซวอาจารย์
เย็นเราทำกับข้าวและนั่งแก่วอยู่แต่ให้ห้องรับแขกคุยกับแม่บ้านสองสามคน
และคนที่อยู่ในหอประหนึ่งว่าสภาอะไรซักอย่าง
หรือไม่ก็ไปแหล่งรวมคนไทยร้านกาแฟเล็กๆที่ไปเมื่อไหร่ก็จะมีคนไทยอยู่บ่อยครั้ง 'cuppa' เวลาที่ไฟดับ
เอาจริงๆฉันไปไฟดับก็หลายครั้งอยู่ที่ขาดไม่ได้อย่างหนึ่งเลย ก็คือ
ไฟฉายและยากันยุง
(เอาไปด้วยนะคะ เราไม่ค่อยอยากให้คนไทยบินได้เพราะยุง)
แต่ไปซื้อเอาที่นั่นก็ได้แต่อย่าลืมว่าวันแรกนั่นคุณไม่ได้คุ้นชินขนาดรู้ว่าที่ไหนมีอะไรขายแน่นอน เพราะงั้นเตรียมไปเพื่อความชัวร์
ฉันเริ่มบ่นกับเพื่อนๆรู้สึกเหมือนว่ามาอินเดียมันไม่ได้อะไรเลย คำศัพท์แสนง่าย แกรมม่าก่งก๊ง@@ นิสัยคนที่...ยากจะบรรยาย LOL
เช่น เดินผ่านเอานิ้วจิ้มๆ แล้วก็ไป หรือแอบจับมือซ่ะงั้น(มันไม่ใช่หนังโรแมนติก เพราะงั้นตกใจร้องเฮ้ย!!!!) หรือขับรถจะแกล้งชนฉัน
หรือพาลัดเลาะอ้อมไปมา โกงค่าออโต้ ฝุ่นที่เยอะ(จขกท. ปอดมีปัญหานิหน่อยเลยไม่สะดวกจุดนี้มาก แต่ไม่ได้สูบบุหรี่นะตัวเธอ)
อาหารที่กินยาก
ฉันบอกแม่ว่า ฉันต้องการกลับเมืองไทย ก็นั่นแหละฉันแค่บอกไม่ได้ขอนุญาต
เพราะงั้นฉันก็เลยโทรไปบอกเพื่อนว่าจินนี่จ้า~ อิชั้นอยากจะกลับไทยแล้วจ้า จองตั๋วให้อิฉันด้วยนะจ๋า
ฉันเลื่อนจากสามเดือนเป็นสองเดือน.... ตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่ามันกลายเป็นการตัดสินใจที่ ผิดพลาด * *
มันควรจะถึงจุดเปลี่ยน... เพื่อนเราคนหนึ่งพูดขึ้น อ่าฮะ แต่ฉันหมดความสนใจในอินเดียไปแล้ว
นอกจากกระล่อนไปวันๆฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไรสนุกไปกว่านั้น
และในที่สุดพวกเราก็คิดที่จะกระทำการใหญ่ ในนามของกลุ่มแผลกดทับ +555 เพราะเราเอาแต่ใช่เวลาช่วงเย็นอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก
แหล่งซ่องสุมกำลัง กระทั่งแม่บ้านต้องการจะใช้โซฟาในการนอน(นางนอนโดยใช้โซฟาสองตัวหันหน้าเข้าหากัน)
ประมาณเที่ยงคืนกว่าๆของทุกวัน
เพื่อนคนหนึ่งเสนอว่าเราควรจะไป เนปาลกันนะเออ... สมองฉันเบลอไปหมด
แต่จากการวิเคราะห์ระยะเวลา งบประมาณ เหตุผลต่างๆพาให้เนปาลตกรอบ
ในที่สุดก็มีผู้เข้าชิงอันใหม่ ไหนๆก็มาแล้วนะเออ ทัชมาฮาลเลยยยยย สิ่งมหัศจรรย์ของโลกกกก เอาว่ะ
สามทหารเสือวางแผนกันไปอย่างงงๆ รูมเมทเราก็ช่วยให้ข้อมูลลิสสถานที่เที่ยวอย่างดี เอาจริงๆเถอะ ทั้งหมดในเดลีเลย+5555
มันยุ่งเหยิงมาก จากที่เดิมทีเราไม่มีอะไรทำนั่งออนเนทเมาท์แม่บ้าน ก็กลายเป็นร่างทริปประหลาดขึ้น
ตอนนี้ได้แคร์มั๊ยเอเจนซี่... พวกเราไม่ได้แคร์อีกต่อไป เพราะหลายอย่างที่เอเจนซี่ก็ช่วยพวกเราไม่ได้
ฉันไม่เคยวางแผนอะไรที่ใหญ่โตขนาดนี้มาก่อน จากเราสามคน กลายเป็นเราหกคน เราวางแผนว่า
ไปโดยรถไฟ ชั้นธรรมดา - -* ไม่ได้ดูสภาพเลย
ในจินตนาการ (ยืมรูปมากจากอากู๋)

กลับเครื่องบิน ไม่ได้ดูเงิน +555555555
เราเล่าเรื่องนี้ให้อาจารย์ฟังเพื่อขอคำปรึกษา จากอาจารย์คนเดียว กลายเป็นทั้งสถาบันห้องเช่า
โอ้ว... เรื่องเรามันใหญ่โตเกินไปแล้ว ฉันเริ่มหวั่นใจอยู่ลึกๆ ตอนนั้นฉันรู้ว่าเรื่องจริงจังขึ้นทุกที
รู้สึกว่าตัวเองกำลังแบกเพื่อนอีกห้าคนไว้ยังไงชอบกล.... เพราะฉันเป็นคนปากดีที่สุด +5555
พูดว่าปากมากจะง่ายกว่าฉันไม่กลัวที่จะสนทนาถูกๆผิดๆ
และในที่สุดฉันก็ได้ตั๋วรถไฟมา แถมมียืนยันสี่ อีกสองเป็น waiting list(พวกไม่มีที่นั่งยืนเอา แต่สามารถขึ้นรถไฟได้)
อันนั้นเป็นความเจ็บใจส่วนตัวมาก
ขอร้องว่าอย่า!!! ให้เอเจนซี่ที่เป็นคนอินเดียจัดการให้เพราะมันโกงค่าตั๋วฉันเป็น 2 เท่า คุณพระ!!! อยากจะเด็ดหัวมัน แล้วกลับไปด่ามาก
พาฉันนั่งเวสป้าไปคนเดียว(เพื่อไปซื้อตั๋วที่ชานชลา)
เพื่อนนั่งรอที่สัมนักงาน ใจไปแล้ว ไม่ได้กลัวโดนเอาไปขายนะ มันต้องนั่งค่อมเบาะ รู้สึกว่าขาสองข้างไม่ปลอดภัยอย่างแรง
ขณะที่ขอบรถขูดโน่นขูดนี่
ใจฉันก็ไปด้วย ขาๆๆ พี่ขาหนู จำได้ถึงความตลกของตนเองฉันตะโกนออกไปว่า "ขับช้าๆ หน่อย พี่ระวัง ขาหนูๆ"
มันพาฉันนั่งไปซื้อตั๋วที่ชานชลาที่ฉันเพิ่งไปมา
แต่ตอนนั้นไม่สามารถซื้อได้เพราะว่ารูมเมทแนะนำว่ารถไฟขบวนนี้(ให้ชื่อมา)ดีกว่าและปลอดภัยมันเต็ม มีแต่ waiting list
แต่อินางเอเจนซี่มันซื้อได้เพราะว่ามันซื้อรถไฟอื่นให้ชั้น >O< ชั้นเพิ่งมาดูชื่อทีหลัง คานาตากะ อะไรซักอย่างซึ่งแวะทุกสถานี
เพราะฉนั้น ใครที่จะเดินทางด้วยรถไฟอินเดีย ศึกษาสายรถไฟด้วย(เห็นหน้าตารถไฟด้วยจะดีมาก)ไปให้ถูกช่องเท่านั้นแหละ
เมื่อไปถึงชานชลาเขามีป้ายเขียนว่าผู้โดยสารต่างชาติก็เขาไปติดต่อตรงนั้นแล้วเขาจะให้เรากรอกๆๆๆ ส่งคืนจ่ายเงินเป็นอันเรียบร้อย
วางแผนระยะยาวไปซื้อตั๋วก่อนซักเดือนถ้าเป็นไปได้ เพราะไม่งั้นคุณจะได้ไปชั้นเดียวกับคนอินเดียแน่ๆ
และไม่ต้องพูดถึง โลจิสติกของอินเดียนะ ว่ามันเป็นยังไงดั่งภาพข้างบน (เราเดาว่าถึงแม้ที่นั่งเต็มก็ยังจะขาย waiting list อยู่
คนก็เลยขึ้นกันมากมายหลายล้านขนาดนี้)
แล้วอีกอย่างข้อดีของการวางแผนระยะยาวคือนั่งที่ไหนก็ได้และจองผ่านเน็ตเลยง่ายดี
เมื่อมีกำหนดวันไป ฉันก็ไปบอกอาจารย์ที่สถาบันเพื่อจะขอลาหยุด
เจ้าของสถาบันถึงกับอยากจะเอามือเขกหัวฉันเลยทีเดียว
ทำไมไม่ปรึกษาฉันก่อน ฉันหาได้ถูกกว่านี้ เขาเอาตั๋วรถไฟที่ฉันไม่ไปให้อาจารย์ดูทำท่าอยากจะตาย ตบหน้าผากตัวเอง
ในเมื่อเขาไม่มีโอกาสช่วยหาตั๋วไป ในที่สุดเขาก็ช่วยฉันหาตั๋วกลับ คือตั๋วเครื่องบิน
อาจารย์ฉันจองตั๋วเครื่องบินให้เด๋วนั้นเลยโดยใช้เงินเขาออกก่อน
แล้วบอกให้พวกฉันรวบรวมเงินมาคืนอีกที แถมให้เบอร์ฉันไปกับคนที่อยู่เดลีให้เขามารับพวกเราไปพักที่ paharganj
(ที่พักพวกเราจองผ่านเนทใช้ agodaคะ) อีกด้วย (นั่นคืออีกหนึ่งข้อดีของสถาบันเรา - -* เอิ่ม)
และแล้ววันที่ต้องเดินทางก็มาถึงเพื่อนฉันบอกว่ารูมเมทบอกห้ามคุยกับใคร ทำมั่นเข้าไว้ ทำให้ดูเหมือนอยู่อินเดียมานาน
เชื่อมั๊ยว่ารูมเมทของทุกคน พากันมาโบกไม้โบกมือกระทั่งแม่บ้านก็เหมือนกัน +555 ส่งพวกเรา มิตรภาพที่ รู้สึกว่าอิ่มเหลือเกิน
พวกเราใช้เวลาเดินทาง 39 ชั่วโมง โดยนั่งรถไฟ ถึงก็ชั่งไม่ถึงก็ชั่งนั่นแหละ +555
นี่คือภาพจริง
คนมันไม่ได้น้อยหรอกนะคะ แต่ว่า ตอนที่ถ่ายเขาเพิ่งขึ้นกัน - -* ดีที่รถออกจากสถานีเราเป็นสถานีแรก จำได้ว่าเป็นคานาตะกะเทรน sth.
ผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี พื้นดินแห้งแล้ง บ่อน้ำที่ให้อารมณ์เหมือนแอฟริกา ผ่านโรงงาน
ผ่านหมู่บ้าน ผ่านหลายอย่างที่ฉันไม่คิดว่าจะเจอ มันใหญ่เกิ้นนนนนน +555
ขนมปัง นม เลย์ น้ำ หมดไปกับการเดินทาง พวกเราพยายามสันหาเกมส์ต่างๆมาฆ่าเวลา ไพ่..แต่ 39 ชม. มันนานเกินไป
ไม่ว่าจะต่อเพลง อ่านหนังสือ มันก็น่าเบื่ออยู่ดี ตรงข้ามฉันเป็นคนอินเดีย อาจารย์สอนโยคะ
เพราะเราเบื่อเขาจึงพยายามชวนเราคุยบ้าง พูดเลยว่าฉันไม่อยากจะมีบทสนทนากับคนอินเดียในรถไฟนัก ฉันกลัวจะเผยไต๋
จึงฟังเพื่อนโม้ว่ามาส่งฉันซึ่งเป็นวิศวกรจะย้ายจากแบงกาลอร์มาเดลี และบอสจะมารับพอเขาถามว่าพักไหน เพื่อนฉันก็หันมาถามฉันก็บอกว่าพักแถว paharganj ลืมนึกไปว่ามันเป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว
ก่อนเขาลง เขาหันมาบอกฉันว่าเพื่อนเธอนี่ฉลลาดดีนะ +5555 นั่งนึกอยู่นานว่าเรื่องอะไรก็ถึงบ้างอ้อ
---- วิศวกรที่ย้ายมาประจำเดลีจะไปพักที่ paharganj ทำไมวะ +555 ฉันก็ยิ้มๆแล้วบอกลา
การเดินทาง 39 ชั่วโมง ไม่ได้ราบรื่นนัก เมื่อพวกเราเจอกับชายขี้เมาคนหนึ่งที่จะเข้ามานั่งข้างน้องฉัน
จริงอยู่ที่ฉันมี ที่อยู่ 4 และ waiting list อีก 2 แต่เราก็จัดสรรค์ทุกอย่างไม่ให้เกินที่นั่งของพวกคอนเฟิร์ม
เพราะงั้นก็เห็นว่าที่ฉันมันค่อนข้างเบียดเสียด(ที่4 นั่งจริงๆ 6คน)ใครจะมานั่งที่ฉันอีกและทำกิริยาเมามายใส่คงไม่ยอม ไม่รู้ความกล้ามาจากไหน
คงเป็นเพราะรู้สึกว่าต้องปกป้องน้องที่นั่งข้างคนเมาคนนั้น ฉันก็จัดการบอกให้เขาลุกขึ้นไป จ้องหน้ากันอยู่ซักพัก อาจารย์สองโยคะเห็นท่าไม่ดี
เลยพยายามเกลี่ย แต่ฉันก็จำไม่ได้ว่ามันด่าฉันว่าอะไร แต่เราปะทะคารมกันจนหน้าที่ไม่ค่อยสวยจะโดยตบ ดีที่เขาอยู่ด้านนอกและฉันอยู่ในสุด
จ้องหน้ากันซักพักเขาก็จากไป
มีทหารเข้ามานั่งแทนที่(ตาอาจารย์สอนโยคะบอกทหารว่าเราสองพวกมีเรื่องกัน ส่วนพี่ทหารขึ้นมาตั้งแต่ตอนกลางวัน
เบียดเสียดกันจำนวนมากอยู่ในที่นั่งฝั่งตรงข้าม)
เขารอจนชายคนนั้นกลับมาอีกครั้ง แล้วมันก็กลับมากอีก
จากนั้นชายคนเมากับทหารก็มีบทสนทานที่เป็นภาษาฮินดีที่ฉันฟังไม่เข้าใจแต่อาจารย์โยคะแปลให้ฉันฟังว่า ถ้ามันกลับมาอีกเขาจะจัดการ
จัดการ ฉันยังฉุนอยู่ว่าจะจัดการอย่างไร แกมานั่งที่ฉันแทนแกจัดการอย่างไรของแก
และก็กลับมาจนได้ ทหารสั่งให้ฉันปิดไฟ ฉันเห็นการจัดการที่เฉียบขาดของทหารในตอนนั้น
ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในหนังที่ทหารกำลังลงโทษลูกน้องยังไงชอบกล หัวใจมันเต้นตึกตักๆ
หวาดกลัวกว่าตอนที่ตัวฉันเองทะเลาะกับคนเมานั้นอีก
ทั้งโบกกี้ตกอยู่ในความมืด(เขาสั่งให้ฉันปิดไฟ) ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนหันมามองล็อคฉันเป็นตาเดียว
ก่อนที่เขาจะสั่งให้เปิดไฟเปิดอีกครั้ง
และทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง คุณทหารลุกไปนั่งที่ของเขาในที่สุดแต่ถึงเขาจะนั่งตรงนั้น
ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะเขาไมเมาและชวนน้องฉันตี
ฉันไม่รู้ว่าใครนิยามการกระทำนั้นว่าอะไร แต่สำหรับฉัน... ณ ตอนนั้น ตอนนี้ ฮีโร่อ่ะ เป็นการกระทำที่หล่อมาก
ฉันจำได้ว่าตอนนั้นพวกเรามีโอริโอ้ที่ดูจะล้ำค่ามา จึงเอาไปให้เขาและขอร้องให้เขารับ
แต่ในที่สุดพวกเขาก็บอกพวกเราว่าให้ผมแล้วผมก็อยากจะให้คุณกินด้วย
เหตุการณ์วันนั้นมันยังตรึงอยู่ในหัวสมองฉัน ฉันรู้สึกว่าฉันโชคดีมากถึงมากที่สุดเพราะไม่ได้มีทหารทุกโบกกี้ พวกเขาไม่ได้ขึ้นทุกวัน
และถ้าไม่มีพวกเขา ใบหน้าที่ไม่ค่อยจะสวยงามอยู่แล้วของฉันอาจจะแหกไปมากกว่านี้ -*-

นี่เป็นที่นั่งทหารคะ
ใครจะขึ้นรถไปแบบฉันคลาสปกติที่คนอินเดียเขาขึ้นกัน
แนะนำ* กระดาษทิชชู่เปียก เช็ดเนื้อเช็ดตัว อาหารและน้ำอย่ากินเข้าไปเยอะถ้าไม่จำเป็น - -* เพราะห้องน้ำในรถไฟ
ฉันไม่แน่ใจว่าเหมือนบ้านเราไม่แต่แน่นอนว่าความสกปรกมันมากกว่า และจะเดินจะเหินในรถไฟคุณต้องระวังนิดนึงคนเยอะเหลือเกิน
ใครที่ไม่ได้นำอาหารไป
มี จ่อยๆๆ คอฟฟี่ ที จ่อยๆๆๆ ไม่รู้ทำไมต้องจ่อยๆๆ แต่เราก็ล้อกัน จะจ่อยทำไม
หาบเร่คะขาย คอฟฟี่ ที กินได้ถ้าคุณไม่กลัวท้องเสียหรืออะไร
รถไฟมีหลายแบบให้เลือกของเราแบบที่จอดทุกสถานีก็คิดเอา +555 มีของให้เลือกซื้อตามสถานีใหญ่ๆคะ
โอกาสรอดคุณมีถ้าคุณไม่เอาอาหารไป แต่คุณต้องแน่ใจว่า ท้องคุณแข็งแรงพอที่จะรับกับสิ่งแปลกปลอม ไม่ท้องเสียในรถไฟดีที่สุ
แชร์ประสบการณ์เรียนภาษาที่อินเดีย ภาค 2
รีวิวเป็นอุทาหรณ์และเห่าให้สำหรับเพื่อนๆที่อยากไปเที่ยวและเรียนภาษานะคะ
คำเตือน!! โปรดอ่านตั้งแต่ตอนแรกนะจ๊ะ เดี๋ยว... เจ้าจะพลาด
โปรดระวัง!!! ข้ามตอนสำคัญไป +555 - -*
มีคำถามสงสัย... ทิ้งไว้ในคอมเม้นหรือหลังไมค์นะจ๊ะ จุ๊บๆ
ภาคแรกคะ http://pantip.com/topic/31161625
เฮ้ย~ รอบนี้แค่ตัวอักษรก็จะเกินหมื่นที่มันกำหนดละ ยังไม่ทันลงรูปเลย - -* อัลรายยยยยย >O<
สำหรับใครที่ถามเข้ามาว่า ห้องน้ำจ๋ามันน่าตาเป็นอย่างไรเธอถึงรับไม่ได้
ห้องน้ำที่ห้อพักจ้า - -*
สามสาวกลายเป็นสามหลุมผู้ดึงดูดความมืดมิด และสิ้นหวัง มาสู่หอพัก เราไม่ได้ตื่นตาไปพร้อมกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
เราไม่ได้ตื่นตัวกับการชอปปิ้งในศูนย์การค้าใจกลางเมือง????? ในหัวเต็มไปด้วยคำว่าอะไรๆๆๆๆๆๆ
ฉันไม่เคยจินตนาการชีวิตในต่างประเทศแบบนี้ไว้ สาวใส่ส่าหรีวิ่งไปรองฉีวัวล้างหน้า วิ่งหน้าตั้งผ่านกองขยะที่ข้างถนน
กินเคเอฟซีและแม็คเป็นอาหารหลัก โดยขอทานเดินตามจนต้องโล่เข้าแมคโดนัล หรือหน้ามืดตอนแท็กซี่พาหลงทาง
พูดตามตรงคือ รับ-ไม่-ได้!!
เช้ามาเราเดินเท้าไปเรียนด้วยกัน กลางวันเรากินข้าวพูดคุยแซวอาจารย์
เย็นเราทำกับข้าวและนั่งแก่วอยู่แต่ให้ห้องรับแขกคุยกับแม่บ้านสองสามคน
และคนที่อยู่ในหอประหนึ่งว่าสภาอะไรซักอย่าง
หรือไม่ก็ไปแหล่งรวมคนไทยร้านกาแฟเล็กๆที่ไปเมื่อไหร่ก็จะมีคนไทยอยู่บ่อยครั้ง 'cuppa' เวลาที่ไฟดับ
เอาจริงๆฉันไปไฟดับก็หลายครั้งอยู่ที่ขาดไม่ได้อย่างหนึ่งเลย ก็คือไฟฉายและยากันยุง
(เอาไปด้วยนะคะ เราไม่ค่อยอยากให้คนไทยบินได้เพราะยุง)
แต่ไปซื้อเอาที่นั่นก็ได้แต่อย่าลืมว่าวันแรกนั่นคุณไม่ได้คุ้นชินขนาดรู้ว่าที่ไหนมีอะไรขายแน่นอน เพราะงั้นเตรียมไปเพื่อความชัวร์
ฉันเริ่มบ่นกับเพื่อนๆรู้สึกเหมือนว่ามาอินเดียมันไม่ได้อะไรเลย คำศัพท์แสนง่าย แกรมม่าก่งก๊ง@@ นิสัยคนที่...ยากจะบรรยาย LOL
เช่น เดินผ่านเอานิ้วจิ้มๆ แล้วก็ไป หรือแอบจับมือซ่ะงั้น(มันไม่ใช่หนังโรแมนติก เพราะงั้นตกใจร้องเฮ้ย!!!!) หรือขับรถจะแกล้งชนฉัน
หรือพาลัดเลาะอ้อมไปมา โกงค่าออโต้ ฝุ่นที่เยอะ(จขกท. ปอดมีปัญหานิหน่อยเลยไม่สะดวกจุดนี้มาก แต่ไม่ได้สูบบุหรี่นะตัวเธอ)
อาหารที่กินยาก
ฉันบอกแม่ว่า ฉันต้องการกลับเมืองไทย ก็นั่นแหละฉันแค่บอกไม่ได้ขอนุญาต
เพราะงั้นฉันก็เลยโทรไปบอกเพื่อนว่าจินนี่จ้า~ อิชั้นอยากจะกลับไทยแล้วจ้า จองตั๋วให้อิฉันด้วยนะจ๋า
ฉันเลื่อนจากสามเดือนเป็นสองเดือน.... ตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่ามันกลายเป็นการตัดสินใจที่ ผิดพลาด * *
มันควรจะถึงจุดเปลี่ยน... เพื่อนเราคนหนึ่งพูดขึ้น อ่าฮะ แต่ฉันหมดความสนใจในอินเดียไปแล้ว
นอกจากกระล่อนไปวันๆฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไรสนุกไปกว่านั้น
และในที่สุดพวกเราก็คิดที่จะกระทำการใหญ่ ในนามของกลุ่มแผลกดทับ +555 เพราะเราเอาแต่ใช่เวลาช่วงเย็นอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก
แหล่งซ่องสุมกำลัง กระทั่งแม่บ้านต้องการจะใช้โซฟาในการนอน(นางนอนโดยใช้โซฟาสองตัวหันหน้าเข้าหากัน)
ประมาณเที่ยงคืนกว่าๆของทุกวัน
เพื่อนคนหนึ่งเสนอว่าเราควรจะไป เนปาลกันนะเออ... สมองฉันเบลอไปหมด
แต่จากการวิเคราะห์ระยะเวลา งบประมาณ เหตุผลต่างๆพาให้เนปาลตกรอบ
ในที่สุดก็มีผู้เข้าชิงอันใหม่ ไหนๆก็มาแล้วนะเออ ทัชมาฮาลเลยยยยย สิ่งมหัศจรรย์ของโลกกกก เอาว่ะ
สามทหารเสือวางแผนกันไปอย่างงงๆ รูมเมทเราก็ช่วยให้ข้อมูลลิสสถานที่เที่ยวอย่างดี เอาจริงๆเถอะ ทั้งหมดในเดลีเลย+5555
มันยุ่งเหยิงมาก จากที่เดิมทีเราไม่มีอะไรทำนั่งออนเนทเมาท์แม่บ้าน ก็กลายเป็นร่างทริปประหลาดขึ้น
ตอนนี้ได้แคร์มั๊ยเอเจนซี่... พวกเราไม่ได้แคร์อีกต่อไป เพราะหลายอย่างที่เอเจนซี่ก็ช่วยพวกเราไม่ได้
ฉันไม่เคยวางแผนอะไรที่ใหญ่โตขนาดนี้มาก่อน จากเราสามคน กลายเป็นเราหกคน เราวางแผนว่า
ไปโดยรถไฟ ชั้นธรรมดา - -* ไม่ได้ดูสภาพเลย
ในจินตนาการ (ยืมรูปมากจากอากู๋)
กลับเครื่องบิน ไม่ได้ดูเงิน +555555555
เราเล่าเรื่องนี้ให้อาจารย์ฟังเพื่อขอคำปรึกษา จากอาจารย์คนเดียว กลายเป็นทั้งสถาบันห้องเช่า
โอ้ว... เรื่องเรามันใหญ่โตเกินไปแล้ว ฉันเริ่มหวั่นใจอยู่ลึกๆ ตอนนั้นฉันรู้ว่าเรื่องจริงจังขึ้นทุกที
รู้สึกว่าตัวเองกำลังแบกเพื่อนอีกห้าคนไว้ยังไงชอบกล.... เพราะฉันเป็นคนปากดีที่สุด +5555
พูดว่าปากมากจะง่ายกว่าฉันไม่กลัวที่จะสนทนาถูกๆผิดๆ
และในที่สุดฉันก็ได้ตั๋วรถไฟมา แถมมียืนยันสี่ อีกสองเป็น waiting list(พวกไม่มีที่นั่งยืนเอา แต่สามารถขึ้นรถไฟได้)
อันนั้นเป็นความเจ็บใจส่วนตัวมาก
ขอร้องว่าอย่า!!! ให้เอเจนซี่ที่เป็นคนอินเดียจัดการให้เพราะมันโกงค่าตั๋วฉันเป็น 2 เท่า คุณพระ!!! อยากจะเด็ดหัวมัน แล้วกลับไปด่ามาก
พาฉันนั่งเวสป้าไปคนเดียว(เพื่อไปซื้อตั๋วที่ชานชลา)
เพื่อนนั่งรอที่สัมนักงาน ใจไปแล้ว ไม่ได้กลัวโดนเอาไปขายนะ มันต้องนั่งค่อมเบาะ รู้สึกว่าขาสองข้างไม่ปลอดภัยอย่างแรง
ขณะที่ขอบรถขูดโน่นขูดนี่
ใจฉันก็ไปด้วย ขาๆๆ พี่ขาหนู จำได้ถึงความตลกของตนเองฉันตะโกนออกไปว่า "ขับช้าๆ หน่อย พี่ระวัง ขาหนูๆ"
มันพาฉันนั่งไปซื้อตั๋วที่ชานชลาที่ฉันเพิ่งไปมา
แต่ตอนนั้นไม่สามารถซื้อได้เพราะว่ารูมเมทแนะนำว่ารถไฟขบวนนี้(ให้ชื่อมา)ดีกว่าและปลอดภัยมันเต็ม มีแต่ waiting list
แต่อินางเอเจนซี่มันซื้อได้เพราะว่ามันซื้อรถไฟอื่นให้ชั้น >O< ชั้นเพิ่งมาดูชื่อทีหลัง คานาตากะ อะไรซักอย่างซึ่งแวะทุกสถานี
เพราะฉนั้น ใครที่จะเดินทางด้วยรถไฟอินเดีย ศึกษาสายรถไฟด้วย(เห็นหน้าตารถไฟด้วยจะดีมาก)ไปให้ถูกช่องเท่านั้นแหละ
เมื่อไปถึงชานชลาเขามีป้ายเขียนว่าผู้โดยสารต่างชาติก็เขาไปติดต่อตรงนั้นแล้วเขาจะให้เรากรอกๆๆๆ ส่งคืนจ่ายเงินเป็นอันเรียบร้อย
วางแผนระยะยาวไปซื้อตั๋วก่อนซักเดือนถ้าเป็นไปได้ เพราะไม่งั้นคุณจะได้ไปชั้นเดียวกับคนอินเดียแน่ๆ
และไม่ต้องพูดถึง โลจิสติกของอินเดียนะ ว่ามันเป็นยังไงดั่งภาพข้างบน (เราเดาว่าถึงแม้ที่นั่งเต็มก็ยังจะขาย waiting list อยู่
คนก็เลยขึ้นกันมากมายหลายล้านขนาดนี้)
แล้วอีกอย่างข้อดีของการวางแผนระยะยาวคือนั่งที่ไหนก็ได้และจองผ่านเน็ตเลยง่ายดี
เมื่อมีกำหนดวันไป ฉันก็ไปบอกอาจารย์ที่สถาบันเพื่อจะขอลาหยุด
เจ้าของสถาบันถึงกับอยากจะเอามือเขกหัวฉันเลยทีเดียว
ทำไมไม่ปรึกษาฉันก่อน ฉันหาได้ถูกกว่านี้ เขาเอาตั๋วรถไฟที่ฉันไม่ไปให้อาจารย์ดูทำท่าอยากจะตาย ตบหน้าผากตัวเอง
ในเมื่อเขาไม่มีโอกาสช่วยหาตั๋วไป ในที่สุดเขาก็ช่วยฉันหาตั๋วกลับ คือตั๋วเครื่องบิน
อาจารย์ฉันจองตั๋วเครื่องบินให้เด๋วนั้นเลยโดยใช้เงินเขาออกก่อน
แล้วบอกให้พวกฉันรวบรวมเงินมาคืนอีกที แถมให้เบอร์ฉันไปกับคนที่อยู่เดลีให้เขามารับพวกเราไปพักที่ paharganj
(ที่พักพวกเราจองผ่านเนทใช้ agodaคะ) อีกด้วย (นั่นคืออีกหนึ่งข้อดีของสถาบันเรา - -* เอิ่ม)
และแล้ววันที่ต้องเดินทางก็มาถึงเพื่อนฉันบอกว่ารูมเมทบอกห้ามคุยกับใคร ทำมั่นเข้าไว้ ทำให้ดูเหมือนอยู่อินเดียมานาน
เชื่อมั๊ยว่ารูมเมทของทุกคน พากันมาโบกไม้โบกมือกระทั่งแม่บ้านก็เหมือนกัน +555 ส่งพวกเรา มิตรภาพที่ รู้สึกว่าอิ่มเหลือเกิน
พวกเราใช้เวลาเดินทาง 39 ชั่วโมง โดยนั่งรถไฟ ถึงก็ชั่งไม่ถึงก็ชั่งนั่นแหละ +555
นี่คือภาพจริง
คนมันไม่ได้น้อยหรอกนะคะ แต่ว่า ตอนที่ถ่ายเขาเพิ่งขึ้นกัน - -* ดีที่รถออกจากสถานีเราเป็นสถานีแรก จำได้ว่าเป็นคานาตะกะเทรน sth.
ผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี พื้นดินแห้งแล้ง บ่อน้ำที่ให้อารมณ์เหมือนแอฟริกา ผ่านโรงงาน
ผ่านหมู่บ้าน ผ่านหลายอย่างที่ฉันไม่คิดว่าจะเจอ มันใหญ่เกิ้นนนนนน +555
ขนมปัง นม เลย์ น้ำ หมดไปกับการเดินทาง พวกเราพยายามสันหาเกมส์ต่างๆมาฆ่าเวลา ไพ่..แต่ 39 ชม. มันนานเกินไป
ไม่ว่าจะต่อเพลง อ่านหนังสือ มันก็น่าเบื่ออยู่ดี ตรงข้ามฉันเป็นคนอินเดีย อาจารย์สอนโยคะ
เพราะเราเบื่อเขาจึงพยายามชวนเราคุยบ้าง พูดเลยว่าฉันไม่อยากจะมีบทสนทนากับคนอินเดียในรถไฟนัก ฉันกลัวจะเผยไต๋
จึงฟังเพื่อนโม้ว่ามาส่งฉันซึ่งเป็นวิศวกรจะย้ายจากแบงกาลอร์มาเดลี และบอสจะมารับพอเขาถามว่าพักไหน เพื่อนฉันก็หันมาถามฉันก็บอกว่าพักแถว paharganj ลืมนึกไปว่ามันเป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว
ก่อนเขาลง เขาหันมาบอกฉันว่าเพื่อนเธอนี่ฉลลาดดีนะ +5555 นั่งนึกอยู่นานว่าเรื่องอะไรก็ถึงบ้างอ้อ
---- วิศวกรที่ย้ายมาประจำเดลีจะไปพักที่ paharganj ทำไมวะ +555 ฉันก็ยิ้มๆแล้วบอกลา
การเดินทาง 39 ชั่วโมง ไม่ได้ราบรื่นนัก เมื่อพวกเราเจอกับชายขี้เมาคนหนึ่งที่จะเข้ามานั่งข้างน้องฉัน
จริงอยู่ที่ฉันมี ที่อยู่ 4 และ waiting list อีก 2 แต่เราก็จัดสรรค์ทุกอย่างไม่ให้เกินที่นั่งของพวกคอนเฟิร์ม
เพราะงั้นก็เห็นว่าที่ฉันมันค่อนข้างเบียดเสียด(ที่4 นั่งจริงๆ 6คน)ใครจะมานั่งที่ฉันอีกและทำกิริยาเมามายใส่คงไม่ยอม ไม่รู้ความกล้ามาจากไหน
คงเป็นเพราะรู้สึกว่าต้องปกป้องน้องที่นั่งข้างคนเมาคนนั้น ฉันก็จัดการบอกให้เขาลุกขึ้นไป จ้องหน้ากันอยู่ซักพัก อาจารย์สองโยคะเห็นท่าไม่ดี
เลยพยายามเกลี่ย แต่ฉันก็จำไม่ได้ว่ามันด่าฉันว่าอะไร แต่เราปะทะคารมกันจนหน้าที่ไม่ค่อยสวยจะโดยตบ ดีที่เขาอยู่ด้านนอกและฉันอยู่ในสุด
จ้องหน้ากันซักพักเขาก็จากไป
มีทหารเข้ามานั่งแทนที่(ตาอาจารย์สอนโยคะบอกทหารว่าเราสองพวกมีเรื่องกัน ส่วนพี่ทหารขึ้นมาตั้งแต่ตอนกลางวัน
เบียดเสียดกันจำนวนมากอยู่ในที่นั่งฝั่งตรงข้าม)
เขารอจนชายคนนั้นกลับมาอีกครั้ง แล้วมันก็กลับมากอีก
จากนั้นชายคนเมากับทหารก็มีบทสนทานที่เป็นภาษาฮินดีที่ฉันฟังไม่เข้าใจแต่อาจารย์โยคะแปลให้ฉันฟังว่า ถ้ามันกลับมาอีกเขาจะจัดการ
จัดการ ฉันยังฉุนอยู่ว่าจะจัดการอย่างไร แกมานั่งที่ฉันแทนแกจัดการอย่างไรของแก
และก็กลับมาจนได้ ทหารสั่งให้ฉันปิดไฟ ฉันเห็นการจัดการที่เฉียบขาดของทหารในตอนนั้น
ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในหนังที่ทหารกำลังลงโทษลูกน้องยังไงชอบกล หัวใจมันเต้นตึกตักๆ
หวาดกลัวกว่าตอนที่ตัวฉันเองทะเลาะกับคนเมานั้นอีก
ทั้งโบกกี้ตกอยู่ในความมืด(เขาสั่งให้ฉันปิดไฟ) ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนหันมามองล็อคฉันเป็นตาเดียว
ก่อนที่เขาจะสั่งให้เปิดไฟเปิดอีกครั้ง
และทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง คุณทหารลุกไปนั่งที่ของเขาในที่สุดแต่ถึงเขาจะนั่งตรงนั้น
ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะเขาไมเมาและชวนน้องฉันตี
ฉันไม่รู้ว่าใครนิยามการกระทำนั้นว่าอะไร แต่สำหรับฉัน... ณ ตอนนั้น ตอนนี้ ฮีโร่อ่ะ เป็นการกระทำที่หล่อมาก
ฉันจำได้ว่าตอนนั้นพวกเรามีโอริโอ้ที่ดูจะล้ำค่ามา จึงเอาไปให้เขาและขอร้องให้เขารับ
แต่ในที่สุดพวกเขาก็บอกพวกเราว่าให้ผมแล้วผมก็อยากจะให้คุณกินด้วย
เหตุการณ์วันนั้นมันยังตรึงอยู่ในหัวสมองฉัน ฉันรู้สึกว่าฉันโชคดีมากถึงมากที่สุดเพราะไม่ได้มีทหารทุกโบกกี้ พวกเขาไม่ได้ขึ้นทุกวัน
และถ้าไม่มีพวกเขา ใบหน้าที่ไม่ค่อยจะสวยงามอยู่แล้วของฉันอาจจะแหกไปมากกว่านี้ -*-
นี่เป็นที่นั่งทหารคะ
ใครจะขึ้นรถไปแบบฉันคลาสปกติที่คนอินเดียเขาขึ้นกัน
แนะนำ* กระดาษทิชชู่เปียก เช็ดเนื้อเช็ดตัว อาหารและน้ำอย่ากินเข้าไปเยอะถ้าไม่จำเป็น - -* เพราะห้องน้ำในรถไฟ
ฉันไม่แน่ใจว่าเหมือนบ้านเราไม่แต่แน่นอนว่าความสกปรกมันมากกว่า และจะเดินจะเหินในรถไฟคุณต้องระวังนิดนึงคนเยอะเหลือเกิน
ใครที่ไม่ได้นำอาหารไป
มี จ่อยๆๆ คอฟฟี่ ที จ่อยๆๆๆ ไม่รู้ทำไมต้องจ่อยๆๆ แต่เราก็ล้อกัน จะจ่อยทำไม
หาบเร่คะขาย คอฟฟี่ ที กินได้ถ้าคุณไม่กลัวท้องเสียหรืออะไร
รถไฟมีหลายแบบให้เลือกของเราแบบที่จอดทุกสถานีก็คิดเอา +555 มีของให้เลือกซื้อตามสถานีใหญ่ๆคะ
โอกาสรอดคุณมีถ้าคุณไม่เอาอาหารไป แต่คุณต้องแน่ใจว่า ท้องคุณแข็งแรงพอที่จะรับกับสิ่งแปลกปลอม ไม่ท้องเสียในรถไฟดีที่สุ