สัสสตทิฎฐิ กล่าวร้าย ท่านพุทธทาส ว่าบิดเบือนพระไตรปิฎก, โง่หรือบ้ากันแน่

มีข้อความที่พวกสัสสตทิฎฐิอ่านไม่เข้าใจ  อยากเอามาเผยแพร่เพื่อความเข้าใจอันถูกต้อง แต่สัสสตทิฎฐิมาอ่านก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
อธิบายผิดกันมาตั้งแต่เมื่อไร.
เอาละทีนี้จะพูดต่อไปถึงความรู้ที่มันจะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นว่า ทำไมจึงอธิบายผิด ? และ อธิบายผิดกันมาตั้งแต่เมื่อไร ?
เดี๋ยวนี้ในเมืองไทยก็ดี ในประเทศพม่าก็ดี ในประเทศลังกาก็ดี สอนเรื่องปฏิจจสมุปบาทอย่างเดียวกันแทบทั้งนั้น คือสอนตามข้อความที่มีอธิบายอยู่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค เรื่องมี ๓ ชาติ คร่อม ๓ ชาตินี้ พวกฝรั่งชั้นเก่งที่สุดก็ถือเอาตามนี้. อธิบายเอาตามนี้เป็นคุ้งเป็นแควไปเลย. แปลว่าทุก ๆ ประเทศที่เป็นพุทธบริษัทเขากำลังสอนปฏิจจสมุปบาทชนิดที่คร่อม ๓ ชาติ, สายเดียวคร่อม ๓ ชาติ. กันอยู่ทั้งนั้น. นี่เมื่อพูดอะไรแปลกออกไปมันก็จะต้องถูกด่าจากคนทั้งโลกก็ว่าได้. ผมกำลังพยายามที่จะชี้ให้เห็นว่าไม่มีทางที่จะคร่อม ๓ ชาติ. ดังนั้นต้องติดตามว่ามันอธิบายผิดได้อย่างไร ? อธิบายผิดกันมาตั้งแต่เมื่อไร ?
อธิบายกันผิดมาตั้งแต่เมื่อไรอันนี้รู้ได้ยาก. แต่ข้อที่ว่าอธิบายผิดรู้ได้ง่าย เพราะมันผิดจากพระบาลีเดิม และเพราะผิดความมุ่งหมายของปฏิจจสมุปบาท ที่ทรงสอนเพื่อให้ทำลายอัตตา ฉะนั้นจึงถือว่าอธิบายผิด. สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมพระวชิรญาณวงศ์ วัดบวร. ท่านทรงมีความเห็นว่าเรื่องนี้อธิบายผิดกันมาตั้งพันปีแล้ว. ท่านก็ไม่ทรงศรัทธาในการที่จะอธิบายปฏิจจสมุปบาทคร่อม ๓ ชาติ. แล้วท่านก็อธิบายไปในทำนองว่ามันคร่อมอยู่เพียงชาติเดียว. แต่แล้วก็ไม่แน่พระทัยที่จะอธิบายรายละเอียดก็เลยทิ้งไว้ลุ่น ๆ . แต่ข้อที่ท่านทรงยืนยันความเข้าใจของท่านก็คือ มันคงอธิบายผิดกันมาตั้งพันปีแล้ว. ข้อนี้ผมก็เห็นด้วยพระองค์ท่าน. แต่ผมก็อาจจะเลยไปถึงเกินกว่าพันปี อธิบายกันผิดมา เกินกว่าพันปี เพราะหนังสือวิสุทธิมรรคนี้มีอายุตั้ง ๑,๕๐๐ ปีแล้ว.
ในหนังสือวิสุทธิมรรคนั้นอธิบายปฏิจจสมุปบาทเป็น ๓ ชาติทั้งนั้น คร่อม ๓ ชาติทั้งนั้น แล้วในการแต่งวิสุทธิมรรคนั้น. พระพุทธโฆษาจารย์ก็ยังเขียนไว้ว่า อธิบายตามที่เขามีกันอยู่ก่อนแล้วด้วย ประเดี๋ยวจะเอามาอ่านให้ฟังสำหรับคำพูดของพระพุทธโฆษาจารย์ เรื่องมันมีหลักฐานว่าท่านอธิบายตามที่มีอธิบายกันอยู่ก่อนแล้ว ฉะนั้นสมัยของท่านมันก็ตั้ง ๑,๕๐๐ ปีแล้ว และถ้าต่อไปจากนั้นอีกมันก็เกือบ ๒,๐๐๐ ปี ผมมีความเห็นว่าอาจจะอธิบายผิดกันมาตั้งแต่หลังสังคายนาครั้งที่ ๓ คือ พ.ศ. ประมาณ ๓๐๐ ก็ได้. ดังนั้นก็แปลว่าผิดกันมาตั้ง ๒,๒๐๐ ปี มันจะต้องอธิบายผิดกันมาตั้ง ๒,๒๐๐ ปีมาแล้ว ไม่ใช่ ๑,๐๐๐ ปีอย่างสมเด็จพระสังฆราชเจ้าท่านว่า ประเดี๋ยวจะชี้ให้ดู.
ถ้าจะพูดว่าเมื่อไรให้แน่นอนนั้น ต้องค้นหาหลักฐานทางโบราณคดี. มันลำบากมากไปอีก. แต่เมื่อเราพูดกันอย่างนี้ที่ไม่มีทางจะผิดได้ มันก็ต้องพิจารณาถึงข้อที่ว่า ทำไมมันจึงเกิดการอธิบายแหวกแนวของพระพุทธเจ้าไปได้ ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้เป็นหลัก ๆ อย่างนี้ ไม่มีทางจะคร่อม ๓ ชาติ. ทำไมมันจึงไปคร่อม ๓ ชาติ และให้มีอัตตาขึ้นมาได้.
ข้อนี้ผมตั้งข้อสันนิษฐานว่ามันมีได้โดยที่ไม่รู้. เกิดไม่รู้. เกิดเข้าใจไม่ได้ แล้วก็เดาหรือสันนิษฐานกันโดยไม่เจตนานี้อย่างหนึ่ง เพราะว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งที่สุดในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ตรัส และใคร ๆ ก็ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุด. ทีนี้พอมาถึงสักประมาณ ๓ – ๔๐๐ ปี เกิดเข้าใจไม่ได้ ก็เริ่มเกิดความคิดแตกแยก. ทีนี้ต่อมาอีกมันก็แตกแยกหนักเข้า ๆ จนกระทั่งกลายเป็นตรงกันข้ามไป. อย่างนี้เรียกว่าไม่มีใครเจตนาอธิบายให้ผิด มันเป็นเพราะความไม่รู้.
ทีนี้มาเดากันดูอีกทางหนึ่งดีกว่าว่า จะมีทางเป็นไปได้ไหมว่าอาจเกิดมีหนอนบ่อนไส้ขึ้นในพระพุทธศาสนา. มีคนขบถทรยศเป็นหนอนบ่อนไส้เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา แกล้งอธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาทซึ่งเป็นหลักของพระพุทธศาสนาให้ผิดเสีย คือให้เป็นสัสสตทิฏฐิในฮินดู หรือกลายเป็นศาสนาพราหมณ์. ปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธเจ้าไม่มีทางที่จะมีอัตตา, ชีโว, อาตมันหรืออะไรทำนองนั้น. ไม่มีทางที่จะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าเป็นของพุทธ. แล้วถ้ามีใครมาอธิบายปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนาให้มันเกิดคร่อม ๓ ชาติอย่างนี้มันก็เกิดเป็นอัตตาขึ้นมา เขาก็กลืนพุทธศาสนาสำเร็จ. ถ้ามีเจตนาเลวร้ายกันถึงขนาดนี้ ก็แปลว่าต้องมีคนแกล้งอธิบายขึ้นมาให้มีช่องให้เกิดอัตตาขึ้นมาในพุทธศาสนา แล้วศาสนาพราหมณ์ก็กลืนศาสนาพุทธวูบเดียวหมดโดยกระทันหัน.
ข้อความเหล่านี้ผม copy มาจาก blog ของพวกสัสสตทิฎฐิเองที่เอาไปลงไว้เพื่อโจมตีท่านพุทธทาส ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าคนพวกนี้มิจฉาทิฎฐิบังตาจนไม่สามารถเข้าใจข้อความเหล่านี้ ทั้งๆ ที่ท่านก็อธิบายไว้อย่างละเอียด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่