เมื่อผมเปิดร้านอาหารแต่ไม่ได้ผลตามที่หวัง ผมท้อแต่ยังไม่ถอย อยากได้คำแนะนำครับ

ผมเขียนกระทู้ไม่ค่อยเก่งนะครับ เอาเป็นว่าจะพยายามเรียบเรียงให้อ่านง่ายละกันนะ

ย้อนไปเมื่อปลายปีก่อน
ผมอายุ 20 เป็นนักศึกษาอยู่ครับ ผมได้เงินก้อนนึงจากแม่ โดยในตอนแรกนั้นแม่ผมท่านจะออกรถแล้วให้ผมผ่อนเอง แต่ผมไม่อยากได้รถเพราะว่าผมไม่มีปัญญาผ่อนแน่ๆ ผมยังเรียนอยู่และไม่ได้ทำงานเสริมเลย (แม่ให้ค่าห้องค่ากิน ตกเดือนละประมาณหมื่นห้าถึงสองหมื่น) ผมเลยขอเปลี่ยนจากการออกรถเป็นเงินก้อนใหญ่ 1 ก้อน ประมาณ 2 แสนบาทครับ อาจจะเป็นก้อนเล็กๆสำหรับคนอื่น แต่มันเป็นก้อนใหญ่สำหรับผมเลยทีเดียว

พอผมได้เงินมา ผมแบ่งเก็บไว้หนึ่งแสน อีกหนึ่งแสนก็เอาไว้ซื้อของที่อยากได้ ผมเปลี่ยนโทรศัพท์เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด และใช้ชีวิตไปวันๆอย่างมีความสุขมาก จากที่เคยเติมเกมส์เดือนละ 2000 ก็เพิ่มอีกเท่าตัว จากที่เคยนั่งรถเมล์ ร้อนหน่อยก็รอรถปรับอากาศ แต่พอมีเงินก็แท็กซี่ลูกเดียว แต่ผมก็เอาเงินไปทำบุญบ้าง แต่ใจใหญ่ไปหน่อย ทำบุญเกินตัว 55555 เงินหนึ่งแสนส่วนที่สองก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ จนผมคิดได้ว่าผมต้องรีบเอาเงินอีกหนึ่งแสนไปทำอะไรซักอย่างแล้ว

ผมเลยมีความคิดอยากเล่นหุ้น เลยเอาเงินไปเปิดพอร์ต ช่วงที่ผมเปิดพอร์ต ผมเปิดช่วงที่เซียนหุ้นห้องสินธร (คุณโน๊ต) ยังอยู่ ผมได้จากหุ้นสองสามเดือนแรก เดือนละ 2-3 หมื่น แต่ผมได้กำไรมาแต่ละเดือนเท่าไหร่ ผมก็ถอนออกมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเหมือนเดิม (ตอนนี้แม่จ่ายให้แค่ค่าห้องอย่างเดียว ค่ากินอยู่แม่ให้ผมหาเอง) พอช่วงปีใหม่ เงินที่เอาไว้ใช้จ่ายก็หมดไป เหลือแค่ทุนที่อยู่ในหุ้นหนึ่งแสนบาท ช่วงนั้นผมหยุดเติมเกมส์ แต่ยังไม่หยุดรักความสบาย เพราะคิดว่าตัวเองคงหาเงินได้เรื่อยๆ ตอนนั้นการเล่นหุ้นของผมเริ่มไปได้ไม่สวย บางเดือนได้แค่ 7-8 พัน ซึ่งมันไม่พอกับค่าใช้จ่ายที่แสนจะฟุ่มเฟือยของผม ผมถอนเงินออกจากพอร์ตเรื่อยๆมาใช้จ่าย จนมาได้สติที่เงินในพอร์ตเหลืออยู่สามหมื่น เริ่มคิดได้แล้วว่า หุ้นคงทำเงินให้ผมอีกต่อไปไม่ได้แน่ๆ  ผมเลยถอนเงินออกมาทั้งหมด เพื่อเริ่มหาธุรกิจทำ

(อดีตยาวไปหน่อย แฮๆๆๆๆ แต่อยากเล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไป)

ตอนนั้นคิดไม่ออกว่าจะขายอะไรดี ตอนแรกอยากขายเคสโทรศัพท์ เพราะเคยไปซื้อมา ราคาโคตรถูก แต่ขายอันละ 100 - 150 บ้าง เลยคิดว่าขายได้ แต่ใจก็มาฉุกคิดว่า เคสโทรศัพท์มันไม่ได้ซื้อกันทุกวัน สู้อาหารก็ไม่ได้ คนเค้าต้องซื้อกินทุกวันอยู่แล้ว พอคิดได้ดังนั้น ผมก็ไม่รีรออะไรเลยคิดจะขายอาหาร

ผมวางแผนแค่อาทิตย์เดียวในการหาสถานที่ เตรียมตัว ซื้อรถเข็น ซื้ออุปกรณ์ และเริ่มขาย ผมขายได้ประมาณ 2 เดือน ยอดขายค่อนข้างดี มีลูกค้าประจำบ้าง ทำกำไรได้จนคืนทุนที่ลงทุนไปหมื่นกว่าบาทและมีกำไรอีกเล็กน้อย ทั้งนี้ผมขายบ้าง ไม่ขายบ้างเพราะว่าผมต้องหาที่สำหรับฝึกงาน ซึ่งถ้าขายอย่างสม่ำเสมอ กำไรเยอะกว่านี้แน่นอน

จนวันนึงในขณะที่ผมไปซื้อของสำหรับจ่ายตลาด ผมเห็นร้านติดป้าย "บ้านว่างให้เช่า เฉพาะชั้นล่าง" ซึ่งสามารถเปิดเป็นร้านได้ และก่อนที่จะว่างนี้ แต่ก่อนเคยเปิดเป็นร้านข้าว มีลูกค้าพอสมควร ทำเลติดถนนใหญ่ ในซอยมีออฟฟิศอยู่พอสมควร ผมเลยคิดอยากจะเปิดร้านแบบจริงจัง เพราะ
1.ถ้าผมฝึกงานแล้ว ผมคงขายอาหารรถเข็นไม่ได้ เพราะคงไม่มีเวลา
2.ถ้าผมเปิดเป็นร้านก็คงจะได้ลูกค้าตอนเที่ยง เปิดร้านนานขึ้น อาจจะขายได้มากขึ้น
พอคิดได้เท่านี้ผมก็เริ่มปรึกษาแม่ แม่ผมก็สนับสนุน แต่ก็แอบค้านผมบ้างว่า เราจะดูแลทันหรอ ทำคนเดียวมันเหนื่อยนะ แล้วจะมีคนเข้าร้านหรอ  ผมก็ตอบแม่ไปแบบมั่นใจมากๆว่า ผมทำได้และจะประสบความสำเร็จแน่นอน วาดฝันเสียสวยหรู และผมก็ขอเงินแม่มาเพิ่มเพื่อทำร้าน ตอนแรกแม่จะไม่ให้ เพราะบอกว่าให้ไปเยอะแล้ว ผมก็บอกว่า ด้วยเงินทุนที่ผมมีอยู่ ถ้าทำร้านออกมาก็จะกิ๊กก๊อก ไม่น่าเข้า แม่เห็นว่าเป็นความฝันของลูกชาย เลยให้มาอีก หกหมื่นบาท โดยบอกว่า นี่จะเป็นก้อนสุดท้ายที่ให้ และผมต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง แม่จะไม่โอนมาตอนสิ้นเดือนเด็ดขาด ผมก็เออออห่อหมก เพราะคิดว่าเราต้องมีรายรับแน่ๆ

ผมเลยเอาเงินไปมัดจำร้าน 3 เดือน (ค่าเช่าเดือนละหนึ่งหมื่นบาท) และซื้อของเข้าร้าน ซึ่งตอนแรกนั้นคิดว่าคงซื้อไม่เยอะ แต่ไปๆมาๆหมดไปเยอะเหมือนกัน ซิ้งล้างจานเอย หม้อหุงข้าวขนาดใหญ่เอย นู่นนั่นนี่สารพัด โต๊ะ-เก้าอี้ผมก็สั่งทำ ทาสีใหม่ตกแต่งร้านเอง จนผมถึงขั้นหมดตัวกันเลยทีเดียวเชียว เหลืออยู่สองสามพันไว้ซื้อวัตถุดิบ

จนเปิดร้านวันแรก ปรากฏว่าเงียบ เศร้า ยอดขายน้อยกว่าตอนขายรถเข็นในบางวันซะอีก แต่ก็ไม่เจ็บตัวมากเพราะถือว่าคืนทุนทั้งค่าเช่าร้านในวันนั้นและวัตถุดิบแล้ว แต่วันแรกผมไม่ได้นอนเลย เพราะแต่งร้านต่อตั้งแต่หกโมงเย็นเพราะยังจัดร้านไม่เสร็จ จนถึง 6 โมงเช้าไปจ่ายตลาดและจัดเตรียมอุปกรณ์ไปจนถึง 11 โมง เปิดร้านยาวจนถึง 6 โมง ผมเริ่มไม่ไหว ตาจะปิดเสียให้ได้ เลยปิดร้านก่อนเวลาที่ตั้งใจจริงๆคือ 2 ทุ่ม

วันที่สองผมเปิดร้านตั้งแต่ 9 โมงครึ่ง จนมาปิดประมาณหกโมงเย็น ขายข้าวได้แค่ 10 จาน น้ำสมุนไพรอีก 5 แก้ว คนที่ซื้อๆก็มีลูกค้าที่มาในวันแรก และคนละแวกนั้น ผมอยากร้องให้มากแต่ร้องไม่ออกเลย นอกจากสุขภาพจิตจะเริ่มแย่แล้ว ร่างกายก็ไม่สบายอีก ยืนๆอยู่ถึงกับมึน จะล้มลงไปเลย แต่ก็กัดฟันสู้ จนปิดร้าน

ตอนนี้ผมมาคิดถึงปัญหาของผมคือ
1.ลูกค้าไม่รู้จักข้าวที่ผมขาย เพราะมันเป็นอาหารที่หาทานได้เฉพาะส่วนภูมิภาค (ละมั้ง) คนส่วนใหญ่มักจะบอกว่า "ทานไม่เป็น"
2.ร้านผมมีทางเลือกให้ลูกค้าน้อยเกินไป ขายแต่ข้าว น้ำสมุนไพร กับแกล้มอีกเล็กน้อย ซึ่งถ้าคนไม่ชอบทานข้าวชนิดนี้ก็จะไม่เข้าร้านเลย
3.คนบางคนยังไม่รู้ว่าผมเปิดร้าน ผมทำคนเดียว เลยยังโปรโมทร้านไม่ได้ ผมอยากไปโปรโมทตามออฟฟิศต่างๆข้างในซอย
4.ลูกค้าประจำไม่ได้มาอุดหนุนเลย อาจจะเพราะที่ตั้งร้านผมอยู่คนละฟากกับที่ขายประจำ คือต้องเดินไปข้ามสะพานลอย แต่ผมคิดเสมอว่า ถ้าอาหารร้านผมติดปากจริงๆ เค้าก็ต้องมาให้ได้สิ แต่ลืมคิดไปว่ามันอาจจะไม่อร่อยจนต้องขวนขวายหามากินก็ได้ 55555+

เมื่อผมทราบปัญหาผมก็กำลังจะแก้มันครับ ด้วยการเพิ่มอาหารขึ้นมา และคงเดินแจกใบปลิวเล็กๆตามบริษัทข้างใน เพื่อเรียกลูกค้า ทั้งนี้คงต้องรอเพื่อนว่างและให้มันเฝ้าร้านให้  จริงๆแล้วผมอยากได้ลูกจ้างนะครับ เพราะมันจะทำให้ผมสามารถทำอะไรๆได้มากขึ้น อย่างให้ลูกจ้างเฝ้าที่ร้าน ตอนเย็นผมก็ไปขายของอีกอย่างฝั่งตลาดเหมือนเดิม เพื่อหารายได้และโปรโมทร้านอีกทางด้วย

พี่ๆเพื่อนๆในห้องนี้คิดว่าผมควรแก้ไขอะไรเพิ่มครับ ช่วยแนะนำผมด้วยนะ ผมน้อมรับทุกคำแนะนำเลย ^^

ปล.ทุกคนที่ผ่านร้านผมจะพูดถึงการตกแต่งของร้าน แต่ไม่พูดถึงอาหารเลย 5555+

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่