ตกงานตอนอายุ 40+ (เพราะสงสารแม่) ตอนนี้เครียดมากเลยค่ะ T_T

ก่อนหน้านี้ จชกท. ทำงานที่กรุงเทพฯตั้งแต่เรียนจบค่ะ เป็นบริษัทเอกชน เงินเดือนไม่ถึง 5 หมื่นค่ะ
จบ ปริญญาตรี สาขาที่ไม่ใช่วิชาชีพ สถาบันแทบไม่มีใครรู้จัก เป็นสาขาที่หางานยาก คนตกงานเยอะ
เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เราไม่ค่อยมีโอกาสในการเลือกงาน และเปลี่ยนงานใหม่ที่เงินเดือนเยอะขึ้นค่ะ

ตั้งแต่เรียนจบมา เปลี่ยนงานแค่ 2-3 ที่เองค่ะ ทำตั้งแต่บริษัทใหญ่ จนถึงบริษัทเล็กๆในนิคมอุตสาหกรรม
ตำแหน่งล่าสุดไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีค่ะ เพราะทำตั้งแต่ ธุรการ จัดซื้อ บัญชี งานขาย การตลาด วางแผนผลิต
และอื่นๆตามแต่จะได้รับมอบหมายจากเจ้านายค่ะ กะพริบตา

พ่อ-แม่ จขกท. อายุ 70+ ทั้งคู่ค่ะ มีโรคประจำตัวบ้างตามประสาคนแก่ เช่น ความดัน คอเรสเตอรอล
ยังช่วยเหลือตัวเองได้ กิน เดิน นอน ได้ปกติ ไม่ได้ป่วยขนาดช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แต่อย่างใดค่ะ
แต่แม่จะชอบบ่นว่าเหนื่อย ทำอะไรไม่ค่อยไหว อยากพักแล้ว เวลาเราโทรหา หรือเรากลับมาบ้าน
แม่จะชอบบ่นๆๆๆว่า อยากให้เราลาออกมาอยู่บ้าน มาดูแลพ่อแม่ มาหุงหาอาหารให้กิน คอยซักผ้า
ทำโน่นทำนี่ให้ เราก็สงสารแม่ เห็นอายุมากแล้ว เราใช้เวลาคิดหนักอยู่หลายเดือน จึงตัดสินใจลาออกค่ะ...

แต่...ปัญหา หลังจากที่เราลาออกมาได้เกือบปี มาอยู่บ้าน เรากลายเป็นแจ๋ว วันๆ ซักผ้า ถูบ้าน ทำกับข้าว
ดูแลร้านขายของที่บ้าน เงินเก็บเริ่มจะหมด ค่าใช้จ่ายที่บ้านต้องออกคนเดียว ไม่มีใครช่วยออกเลยสักบาท
แถมพี่น้องคนอื่นๆก็ยังกลับมาเกาะแม่กิน ส่วนพ่อกับแม่ก็ไม่เห็นว่าจะหยุดพักผ่อนเหมือนที่พูดไว้เลย
ก็ยังทำงานเหมือนเดิม ย้ำนะคะว่า เหมือนเดิมทุกอย่าง   เราบอกอะไรก็ไม่เคยฟัง ดื้อ รั้น น่าปวดหัวมาก

เราบาปมั้ยคะ  ถ้าเราคิดว่า เราโดนแม่หลอกให้ออกจากงาน เหมือนให้มาแบกภาระทุกอย่างคนเดียว
ตอนนี้อยากกลับไปทำงาน แต่ใครจะรับล่ะคะ อายุ 40+ แล้ว เครียดมากๆเลยค่ะ นอนไม่หลับสักคืน

จะออกมาทำธุรกิจส่วนตัว เราก็ไม่มีทุน เพราะเงินเก็บเกือบจะหมดแล้วค่ะ ทุกวันนี้เศรษฐกิจก็ไม่ดี ค้าขายลำบาก
แล้วตกงานตอนนี้ ไปสมัครงานที่ไหนใครจะรับคะ .... ตอนนี้หมดหนทางจริงๆ คงต้องไปสมัครเป็นแม่บ้านแล้ว (มั้ง)
อมยิ้ม08

ขออนุญาติ เพิ่มเติมเรื่องราวนะคะ บางคนสงสัยว่าทำไม พ่อแม่เรายังต้องทำงานอยู่
**************************************
ที่บ้านเรามีร้านขายของค่ะ ก่อนออก แม่บ่นเหนื่อย ขายของเดินทั้งวันไม่ไหว
อยากให้เราออกมา จะยกร้านให้เราดูแล แม่อยากให้เราทำกับข้าวให้กิน ช่วยทำงานบ้าน
แต่พออกมาแล้ว แม่ให้ธุรกิจแค่บางส่วน (แค่ 30%) กำไรได้มาเท่าไหร่ก็เป็น คชจ.ในบ้านหมด
บางเดือนไม่พอ ต้องเอาเงินเก็บออกมาใช้  
ที่เราบอกว่าเค้าทำงานคือ เค้าไม่ยอมยกกิจการให้เราทั้งหมด ยังคงทำเหมือนเดิม

ซึ่งก็แปลว่า เหนื่อย (เกือบ) เท่าเดิม เราเลยรู้สึกเหมือนโดนแม่หลอกให้ออกมาค่ะ
ส่วนรายได้ที่พ่อแม่ได้จาก 70% นั้น คือเอาไปแอบส่งหลาน ซึ่งเป็นลูกพี่ชายเรียน

ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อน รวมทั้งค่าใช้จ่ายในบ้าน เมื่อก่อนคิดว่าพี่น้องเราช่วยแม่ออก
เราเลยให้แม่แค่เดือนละ 5,000 พอกลับมาเลยรู้ว่าที่ผ่านมาไม่เคยพอค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
ตอบคำถามก่อนนะคะ

ในความคิดของเรา ไม่บาปค่ะ เพราะคุณเจ็บปวด และมีผลกระทบต่อชีวิตมาก ทำให้ทุกข์ใจตลอดเวลา จึงไม่แปลกที่คุณจะคิดแบบนั้น ซึ่งจริงๆ แล้ว อีกมุมนึง คุณแม่ท่านคิดอย่างไร ใช่แบบที่คุณคิดหรือเปล่าก็ไม่รู้

ทีนี้เป็นคำแนะนำค่ะ ขอให้คุณหยุดคิดถึงสิ่งที่ผ่านมา และมาคิดใช้ชีวิตของตัวเองแทนค่ะ ที่ผ่านมาเป็นยังไง ช่างมัน พักไว้ก่อน อะไรที่คิดแล้วไม่มีประโยชน์ วางไว้ก่อน

มาอยู่กับปัจจุบัน ณ วันนี้ มีข้อมูลอะไรบ้าง

เงินจะหมด ค่าใช้จ่ายในบ้านต้องรับผิดชอบ งานบ้านก็ต้องรับผิดชอบ มีพี่น้องเกาะคุณพ่อคุณแม่อยู่บ้าน คุณพ่อคุณแม่ยังไม่หยุดทำงาน

คิดทีละเรื่องนะคะ เงินจะหมด มีค่าใช้จ่ายต้องรับผิดชอบ ลองออกไปหางานค่ะ อย่าเพิ่งคิดว่าไม่ได้ ประสบการณ์ของคุณอาจมีคนที่ต้องการ แต่ยังหากันไม่เจอ และคุยกับคุณแม่ด้วย ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร คุณต้องหยุดให้ค่าใช้จ่าย เพราะเงินหมดแล้ว ก็บอกท่านไปตามตรงค่ะ (อย่าเก็บไว้คนเดียว ในเมื่อมันกระทบท่าน ควรบอกท่านค่ะ)

คุณพ่อคุณแม่ยังทำงาน ร้านขายของที่บ้าน ถ้าท่านอยากทำ ความสุขของท่านให้ท่านทำต่อไปค่ะ เมื่อคุณหยุดให้ค่าใช้จ่าย ท่านก็ยังมีเงินส่วนที่ขายของอยู่

พี่น้องที่คุณบอกว่ามาเกาะ น่าจะสามารถทำงานบ้าน ช่วยขายของได้ในระหว่างที่คุณไปสมัครงาน ก็ปล่อยเลยค่ะ เค้าอยู่บ้านแบบไม่มีรายได้ แต่เราจะไม่อยู่ค่ะ เมื่อได้งาน ค่อยจัดสรรเวลาอีกครั้ง ว่าช่วยอะไรที่บ้านได้บ้าง ช่วยได้ช่วยค่ะ ถ้าช่วยไม่ได้ เอาตัวเองให้รอดก่อนค่ะ

เราคิดประมาณนี้ ขอให้คุณถอยออกมาจากจุดที่อยู่ และแก้ไปทีละอย่างนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ความคิดเห็นที่ 124
จขกท. ขออัปเดทความคืบหน้า หลังจากได้อ่าน 123 ความคิดเห็นจบแล้วค่ะ
เราตัดสินใจหางานทำค่ะ หากได้งานแล้ว ก็จะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก
ไม่ได้ทิ้งพ่อแม่นะคะ ยังส่งเงินมาให้ และมาดูแลเป็นระยะๆทุกเดือน (1-2 ครั้ง)

ที่เราตัดสินใจแบบนี้ เรามองว่า ตอนนี้พ่อแม่เรายังไม่ได้ป่วยหนักอะไร ยังใช้ชีวิตปกติได้
เราต้องออกไปหารายได้เพิ่ม เพื่อสร้างอนาคต เมื่อมีเงิน เราจะสามารถดูแลตัวเองและพ่อแม่ได้
เราต้องใจแข็งแล้วค่ะ ที่ผ่านมาเราหน้าใหญ่ ใจดีเกินไป ขี้สงสาร ทั้งๆที่คนอื่นเอาเปรียบเรา
ส่วนงานบ้าน เราจะจ้างคนมาทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ก็คงพอค่ะ
ส่วนกิจการร้าน 30% เราจะคืนให้แม่ไป เค้าจะไปทำต่อหรือให้พี่น้องคนอื่นๆก็แล้วแต่ค่ะ

ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่น่ารักในพันทิป ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นเยอะมากๆเลยค่ะ
มีทั้งให้คำแนะนำ เตือนสติ ให้กำลังใจ และแชร์เรื่องราว+ประสบการณ์ต่างๆให้ได้รับฟัง

หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์สำหรับหลายๆคน ที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจลาออกจากงาน
ไม่ว่าจะกลับมาด้วยเหตุผลอะไร เบื่องาน เบื่อสังคมในกรุงเทพฯ อยากใช้ชีวตสงบหลังเกษียณ
หรืออะไรก็แล้วแต่ (ยกเว้นพ่อ-แม่ ป่วยต้องกลับมาดูแล) อยากให้คิดดีๆ คิดให้รอบคอบ
วางแผนชีวิตและการเงินไว้ล่วงหน้า มองเผื่อไว้ยาวๆค่ะ อย่าตัดสินใจด้วยเหตุผลเพียงไม่กี่ข้อ

การกลับมาดูแลพ่อแม่ ยามปั้นปลายชีวิต เป็นสิ่งที่ดี ที่ลูกทุกคนควรกระทำค่ะ
แต่ต้องมาในเวลาที่พร้อม ในเวลาที่เหมาะสม และทุกอย่างควรทำอย่างมี สติ ค่ะ
พาพันขอบคุณ
ความคิดเห็นที่ 16
มีคนที่โดนหลอกให้ไปเป็นเหมือนคุณเยอะครับ ในเมืองไทย

บางทีพี่ๆน้องนี่แหละครับ หลอกให้กลับไปเลี้ยงพ่อแม่แล้วจะช่วยเรื่องเงิน ใครหลงเชื่อ ก็ออกจากงานหมดอนาคต

บางทีเพื่อนบ้านก็ยุยงครับ  ว่าลูกๆหายไปไหนกันหมด ทำไมไม่ใครมาดูแลพ่อแม่เลยพ่อแม่แก่แล้วน่าสงสาร  พอหลงเชื่อคำคน ออกจากงานไปดูแลพ่อแม่เราก็หมดอนาคตครับ

คิดให้ดีๆครับเรื่องพวกนี้
ความคิดเห็นที่ 127
เราว่าตอนคุณออกมา
อาจจะเบื่องานด้วย ผสมปนเปกับที่แม่พูดตามประสาคนแก่
เลยคิดว่าออกดีกว่า เข้าข้างตัวเองว่ามาช่วยแม่ขายของ งานไม่หนักมาก ไม่มีเจ้านาย อยู่ใกล้พ่อแม่ ไม่ต้องเดินทาง เงินน้อยหน่อยแต่สบายใจอะไรทำนองนี้
เพราะงั้นจะเรียกว่าแม่หลอกมันก็ไม่เชิงนะ เราว่าคุณต้องยอมรับการตัดสินใจของตัวเอง และอะไรที่เกิดขึ้นแล้วกลับไปแก้ไขไม่ได้ ต้องหาทางแก้ที่ละเรื่อง

ถ้าเราเป็นคุณ เราจะไม่อยู่บ้านนี้นะ ตั้งแต่แรกที่คุณตัดสินใจกลับมา เราไม่รู้คุณคิดยังไง แต่บ้านที่มีพี่น้องวัยที่มีครอบครัวกันแล้ว แต่ยังอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในบ้านหลังเดียวกัน ก็ไม่น่าจะกลับมาอยู่ตั้งปต่แรกแล้วนะ มันจะอบอุ่นจนร้อนเป็นไฟเลยล่ะ คนเยอะเรื่องแยะ

ส่วนพี่น้องคุณ จะบอกว่าเขาอยู่อย่างเดียวไม่ช่วยจ่าย ก็บ้านเขาอยู่ตั้งแต่เกิด บ้านพ่อแม่เขา ไม่เคยจ่ายมาทั้งชีวิต พ่อแม่เป็นคนรับผิดชอบครอบครัว เขาก็แค่ทำตัวเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือหลานให้พ่อแม่ด้วย

คนเราพอโตขึ้นต่างก็ต้องการอาณาจักรพื้นที่เล็กๆที่ตนเองปกครองได้
แต่บ้านนี้ไม่มีวันเป็นอาณาจักรของคุณนะ มันคืออาณาจักรของพ่อแม่คุณทันทีที่คุณกลับมาอยู่ คุณเป็นแค่สมาชิกคนหนึ่งที้ไม่สามารถกำหนดทิศทางของอาณาจักรนี้ได้
ไม่ว่าตอนนี้คุณจะจ่ายค่าใช้จ่ายหรืออะไรก็แล้วแต่ เราว่าคนในบ้านทุกคนก็มองว่ามันเป็นบ้าน เป็นกิจการของพ่อแม่ที่หล่อเลี้ยงครอบครัว เกิดวันนึงพ่อแม่คุณทำไม่ไหว ยกกิจการให้คุณ คุณจะได้กิจการพร้อมกับพี่ น้อง หลานที่ต้องดูแลไปตลอดชีวิต และทุกคนจะยังคงมองว่าก็คุณได้เงินมาจากกิจการมรดกของพ่อแม่ คุณก็ต้องเอาเงินมาใช้ในบ้านก็ถูกแล้ว

ออกไปอยู่ที่อื่นและหางานอื่นทำ อย่างที่ความบนๆแนะนำ อาจจะอยู่ไม่ไกลพ่อแม่นัก แต่อย่าเอาแบบเดินถึงเลย ใกล้ไป

แล้วก็คอยหมั่นดูแลพ่อแม่ตามความสามารถ มีเวลาแวะมา พาไปรพ. ช่วยเงินได้ช่วยเหมือนที่คุณเคยทำ
แต่อย่าเอาตัวเข้ามาจมอยู่ในบ้านนี้ คนแก่ที่ทำงานมาทั้งชีวิต ไม่มีทางเลิกทำงานจนกว่าเขาจะไม่ไหวจริงๆ เขาก็บ่นไปทำไปนั่นแหละ
ก็ให้เขาขายของไปก๊อกๆแก๊กๆ แต่เงินหลักคุณก็ให้เขา
วันนึงพ่อแม่คุณไม่อยู่ กิจการก็จบไป พี่น้องคุณจะทำยังไงต่อ สุดท้ายเขาก็หาทางกันได้เองแหละ

สุดท้ายทุกคนต้องมีชีวิตของตัวเองนะ ไม่ต้องคิดเรื่องบาปไม่บาปหรอก ถ้าใจคุณคิดว่าคุณได้ทำอย่างดีที่สุด เต็มความสามารถที่สุดแล้ว เราว่าคุณจะไม่เสียใจภายหลังไม่ว่าจะเรื่องพ่อแม่หรือเรื่องตัวเอง
ความคิดเห็นที่ 12
ประมาทเกินไปค่ะ ลาออกไปอยู่บ้านโดยไม่มีงานรองรับ คนที่ทำแบบนี้ได้จริงๆ ต้องมั่นใจแล้วว่ามีเงินเก็บมากพอที่จะเกษียณตัวเอง

ตอนแรกคุยกันไว้ยังไงอะคะเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้าน????
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่