Review: Winter Trip in Seattle, Portland and San Francisco ตอนที่ 1

สวัสดีครับเพื่อนๆ
เมื่อปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาส ไปเที่ยวส่งท้ายปีที่ USA โดยทริปครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่ผมได้ไปเยือนประเทศนี้ โดยครั้งแรกผมได้มีโอกาสไปที่ฟอริด้า, LA & Las Vegas ส่วนครั้งที่ 2 ผมมีโอกาสไป นิวยอร์ค ชิคาโก้ และมิชิแกน ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ผมไปเยือนฝั่ง West Coast แบบเต็มๆ เนื่องจากครั้งแรกที่ไปเที่ยวนั้น ผมแวะ LA แค่แป๊บเดียว ทำให้ยังไม่รู้สึกถึงบรรยากาศของ West Coast สักเท่าไหร่
ทริปนี้ผมไปด้วยกัน 4 คน เป็นพี่ๆ ที่ทำงานครับ โดยเราจะไล่จากเกือบบนสุดของฝั่ง West คือ Seattle 3 วัน ก่อนที่จะแวะไปยัง Portland 2 วัน แล้วจะอยู่ที่ San Francisco ยาวเลยอีก 10 วัน  ซึ่งเดินทางตั้งแต่วันที่ 20 ธันวา จนถึงวันที่ 3 มกรา
ในครั้งนี้ผมบินโดย Eva Air ซึ่งบินไปลงที่ Seattle แล้วกลับจาก San Francisco โดยค่าตั๋วประมาณ 33,xxx ซึ่งถือว่าเป็นราคาดีมากๆ ถ้าเทียบกับช่วงเวลาที่คนนิยมไปเที่ยวกัน แต่ราคานี้ไม่สามารถสะสมไมล์ได้ครับ
เราเลือกไฟล์ทออกจากเมืองไทยประมาณ 5 โมงเย็น  โดยไปต่อเครื่องประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ที่ไต้หวันครับ บรรยากาศยามเย็นบนท้องฟ้าเมืองไทยสวยจริงๆ บ๊ายบายเมืองไทย เจอกันใหม่ปีหน้าเลย


สำหรับหน้าตาอาหารบนไฟล์ทจากเมืองไทยไปไต้หวัน ผมสั่งเป็นอาหารซีฟู๊ดไว้ล่วงหน้าละครับ สั่งอาหารล่วงหน้าก็ดีอย่างนึงครับ ไม่ต้องรอนาน อาหารเรามาก่อนเลย

อาหารหน้าตาก็ประมาณนี้ครับ เป็นปลาราดน้ำเปรี้ยวๆ หวานๆ ปลาอร่อยดีนะครับ กินหมดเกลี้ยงเลย เพราะหิวมาก
ถึงสนามบินที่ไต้หวันตรงเวลาครับ ต้องรีบวิ่งเพื่อไปตรวจกระเป๋าและร่างกายอีกครั้งเพื่อเข้าส่วนบริเวณทรานซิส ดังนั้น ถ้าใครซื้อของดิวตี้ฟรีเมืองไทยไป ระวังเรื่องอะไรที่เป็นข้อห้ามด้วยนะครับ ไม่งั้นโดนทิ้งตรงบริเวณตรวจตรงนี้แน่ๆ เลยครับ ส่วนบรรยากาศที่สนามบินไต้หวัน ใครเคยมาก็คงคุ้นเคยบริเวณที่นั่งพักต่างๆ ที่แบ่งเป็นเป็นธีมๆ ซึ่งแน่นอน ผมต้องเลือกอะไรที่เหมาะกะผม นั่นก็คือ
.
.
.
คิตตี้นี่เอง ฟรุ้งฟริ้งมากจริงๆ ตรงบริเวณนี้ แต่ถ้าใครอยากนั่งสงบๆ คงต้องไปนั่งมุมอื่นครับ เพราะมุมนี้เด็กๆเต็มเลยครับ



หลังจากนั่งรอเวลาขึ้นเครื่อง จนถึงเวลาก็ออกเดินทางอีกครั้งครับ ครั้งนี้นั่งนาน 10 กว่าชั่วโมงเลย  หน้าตาอาหารสองมื้อที่เสิร์ฟบนเครื่องก็ปลาล้วนๆ เลยครับ  จานแรกจะเป็นปลาราดซอสมะเขือเทศกับข้าวเหลืองๆ แต่เทอรีนด้านบนที่เสิร์ฟคู่กับผักสลัด อร่อยมากๆ ครับ



ส่วนจากที่สองเป็นปลาและพาสต้าครับ ปลาตลอดสามมื้อขนาดนี้ ครีบงอกแล้วนะครับ



ไม่ได้มีโอกาสถ่ายบรรยากาศบนเครื่องมา แต่อุปกรณ์ความบันเทิงครบครับ ที่นั่งสบาย แอร์บริการดีกันมากๆ ครับ ถึงแม้ไฟล์ทนี้ตอนออกมาจากดีเลย์เกือบชั่วโมง แต่ถึงที่หมายเร็วกว่ากำหนดนะครับ



บรรยากาศเมื่อเครื่องจะลงครับ นี่เป็นเวลาแค่ห้าโมงเย็นกว่าๆ เองนะครับ แต่มืดมากเหมือนสองสามทุ่มเลยครับ
เมื่อเครื่องจอดแล้วก็เปิด pocket wifi ที่จองมาทันที สัญญาณแรงดีมาก โดยผมจองผ่าน https://pocketwifi.voltztore.com/th/content.php?bannerID=151031201757 สามารถรับและคืนเครื่องได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิครับ ซึ่งตลอดระยะเวลาของทริปสัญญาณดีมากๆ ครับ มีสัญญาณทุกที ยกเว้นบริเวณภูเขาลึกๆ เท่านั้นเองที่ไม่มีสัญญาณสักเท่าไหร่ครับ ราคาไม่แพง จองหลายๆ วันก็มีราคาลดตามจำนวนวันครับ สามารถใช้ได้ตั้งแต่เช้ามืดจนเกือบเย็นๆ เลยครับ แนะนำมากๆ ครับ

โดยถ้าใครจำได้เช้าวันที่ 21 ธันวา ซึ่งตรงกับหกโมงเย็น ที่อเมริกา เป็นเวลาประกวดนางงามจักรวาลพอดี ก็ได้ข่าวดี ณ ตอนนั้นบนเครื่องเลยว่าน้องแนทสาวไทย เข้ารอบ 10 คนไปเรียบร้อยแล้ว ณ ตอนนั้น ควบกับรางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยม ก็แอบเฮกันเบาๆ บนเครื่องเลยทีเดียว

พอลงจากเครื่องก็ถึงเวลาผ่าน ตม ซึ่งไม่ได้โหดอะไรครับ ถามแค่ว่า มาทำอะไร กี่วัน เท่านั้นเอง แต่พี่ๆ ที่ทำงานที่เป็นผู้หญิง อาจจะมีชวนคุย มีถามมากกว่าครับ บรรยากาศตอนต่อแถวตม เอาจริงๆ ผมว่าไม่เหมือนอยู่อเมริกาแล้ว เหมือนไปเที่ยวเมืองจีน หรือฮ่องกงมากกว่า เพราะมีแต่เอเชียทั้งนั้นเลยครับ แม้กระทั่ว ตม ที่ Seattle หลายคนก็เป็นชาวเอเชียอย่างเรานี่แหละครับ

หลังจากผ่าน ตมแล้ว ก็ไปนั่งรถไฟฟ้า เพื่อรับกระเป๋าครับ



เมื่อรับกระเป๋าเสร็จแล้ว ก็เดินตามทาง เพื่อหาวิธีเข้าเมืองกันครับ ซึ่งมีหลายวิธี ทั้งรถไฟฟ้า แท๊กซี่ แต่เนื่องจาก คิดมาจากเมืองไทยแล้วว่า ตอนลงจากเครื่องคงสะบักสะบอมน่าดู แล้วก็เริ่มมืดๆ อากาศหนาวๆ (ประมาณ 4 องศา) ดังนั้น การจอง airport shutter bus น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ หาร 4 คนก็ไม่ได้แพงมากมาย

http://www.airportshuttles.com/seattletacoma.php

เป็นรถ Van คันใหญ่ๆ นั่งสบาย สามารถจองล่วงหน้าได้เลยจากเมืองไทยครับ ถึงนู้น ก็แค่โชว์ Voucher ที่พิมพ์ออกมา แล้วก็นั่งรอรถสักครู่ก็ขับรถเข้าไปยังโรงแรม ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งจาก สนามบินเข้าไปในเมืองนั้น จะผ่านโรงงานโบอิ้ง ซึ่งใหญ่มากๆ ๆ ๆ กินเนื้อที่บริเวณกว้างเลยครับ

โดยโรงแรมที่เราจะพักสามคืนที่ Seattle นี้คือ Travelodge Seattle by The Space Needle ซึ่งอยู่ใกล้ๆ มากกับ Landmark หลักของ Seattle คือ Space Needle แถมยังใกล้ๆ กับ Walgreen เป็นซุปเปอร์ขนาดย่อมๆ คล้าย Lotus Express บ้าน ที่เราสามารถซื้อของกรุ๊ปกริ๊บ ตลอดจนไวน์ราคาถูกๆ แก้หนาวยามค่ำคืนได้เลยครับ



รูปถ่ายจากหน้าโรงแรมเลยครับ ไม่ได้ถ่ายรูปห้องไว้ แต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ฟรีไวไฟ และฟรีอาหารเช้าง่ายๆ ด้วยครับ



วัฟเฟิ้ลทำเองนะครับ มีแป้งใส่ตู้ไว้ กดเอามา แล้วเทใส่เครื่อง กลับไปกลับมา ก็ได้แล้ว กินกับกาแฟร้อนๆ ผลไม้หวานๆ อิ่มไปทั้งวันครับ

หลังจากเก็บกระเป๋า รื้อข้าวรื้อของกันเรียบร้อย ก็มีพี่ของพี่ที่ทำงานพาไปกินข้าวเย็นกัน สามทุ่มแล้ว ข้างนอกหนาวมากๆ ฝนตกปรอยๆ ยิ่งหนาวครับ เราไปทานอาหารญี่ปุ่นกันดีกว่า ชื่อร้านว่า Wasabi ไม่ไกลจาก รร มากครับ



ทานกันนิดหน่อย พวกซูชิ โรลต่างๆ แต่ที่แนะนำคือ Spicy King Crab Soup อร่อยมากๆ เปรี้ยวๆ ร้อนๆ เป็นการเริ่มต้นมื้อแรกในอเมริกาเป็นอย่างดีเลยครับ



อิ่มแล้ว เราก็กลับ รร เตรียมนอน เพื่อพักผ่อน ก่อนตะลุยกันในวันรุ่งขึ้นครับ

หลังจากนอนเต็มอิ่มมาทั้งคืนแล้ว ถึงเวลาไปเดินเล่น ชมเมืองแล้วครับ โดยหลักๆ การเดินทางแบบง่ายๆ ของผมคือ ไปเริ่มต้นที่ Space Needle ซึ่งตรงนั้น จะเป็นสถานีต้นทางของรถไฟ Monorail ที่จะไปส่งยังกลางเมือง บริเวณห้าง Westfield ซึ่งเป็นจุดรวมของที่ช๊อปปิ้งต่างๆ และเดินไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้อย่างง่ายดายครับ

ค่ารถไฟ monorail ต่อเที่ยวจะอยู่ที่ US$2.25 ครับ ซึ่งการซื้อตั๋ว บางครั้งก็จะซื้อที่ตู้ก่อนขึ้นรถ หรือบางครั้งก็ไปซื้อบนรถเลยครับ



บรรยากาศในรถก็ประมาณนี้ครับ คนเยอะบ้างเป็นบางช่วงเวลาครับ ส่วนใหญ่คนที่ใช้บริการรถ monorail นี้จะเป็นนักท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ครับ เพราะรถสายนี้มีแค่สองสถานีคือ ต้นทางกับปลายทาง ระยะไม่ไกลมาก คนที่นี่ก็เลยเลือกที่จะเดินมากกว่า(มั้งครับ) แต่ผมขอเก็บแรงและขาไว้เดินเล่นที่อื่นดีกว่านะครับ

หลังจากลงรถที่สถานีบริเวณห้าง Westfield แล้วก็ได้เวลาเดินไปยังสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งนึงใน Seattle เลยนั่นก็คือ Pike Market ซึ่งเป็นตลาดที่ขายของ ทั้งของสด อาหาร ขนม ดอกไม้ แม้แต่กระทั่งของ otop ต่างๆ ของเมืองนี้ วันนี้ฝนตกพรำ ๆ ทำให้บรรยากาศหน้าตลาดเงียบๆ และเราดันมาเช้ากันเกินไป ทำให้บางร้านยังไม่ค่อยเปิดเท่าไหร่



แต่บรรยากาศดีมากๆ แต่ก็หนาวมากๆ เช่นกัน


เดินผ่านหน้าร้านทำชีส น่าลงไปแช่ในอ่างนี้ไหมครับ (ฮา) ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เลยยังกวนๆ กันอยู่ ตอนเที่ยงๆ ผมแวะกลับมา ก็เป็นชีสพร้อมขายเรียบร้อย





บรรยากาศในตลาด สะอาด น่าเดินมากๆ ครับ บริเวณส่วนแรกที่เจอ จะเป็นร้านขายดอกไม้ เป็นช่อๆ ครับ ส่วนใหญ่คนขายจะเป็นชาวเอเชียนะครับ หน้าหนาวๆ แบบนี้ดอกไม้ จะไม่ค่อยมีสีสรรเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นดอกไม้แห้งๆ เน้นใบไม้เป็นหลักครับ สวยแปลกตาดี ห่อด้วยกระดาษสีขาว พร้อมให้เลือกเอากลับบ้านไปได้เลย





น่ากินมากที่สุด ซีฟู๊ดสดๆ มีหลายอย่างให้เลือกเลย ดูหางล๊อปสเตอร์สิครับ ใหญ่มาก ใหญ่กว่าแขนผมอีก ตัวเดียวคงอิ่มได้หลายคน



ปูนี่จริงๆ ตัวใหญ่นะครับ แอบถ่ายมาไกลๆ แต่ตัวจริงใหญ่เกือบเท่าหัวคนเลยทีเดียว อร่อยด้วย เดี๋ยวพาไปชิมทีหลังนะครับ



ขาปูยักษ์ของจริงเป็นแบบนี้นี่เอง เห็นแล้วยังหิวเลย





ผักและผลไม้น่ากิน สีสรรสดใสดีครับ แต่ตอนนี้ ยังกินไม่ได้ ต้องรอไปกินมื้อเที่ยง มื้อใหญ่ก่อน


อันนี้หมูทอง อันเป็นสัญลักษณ์ของตลาดนี้ครับ มีช่องไว้หยอดเงินเพื่อเป็นกองทุนของตลาดนี้ด้วย

จริงๆ ไฮไลท์อีกอย่างนึงในตลาดคือ ร้านขายปลาร้านนึง ที่เวลาเราซื้อของเขา เขาจะโยนปลากันไปรอบๆ โยนกันจริงจังมากครับ หารูปไม่เจอ เวลาคนซื้อ จะทวนสิ่งที่ซื้อ แล้วโยนกันเป็นทอดๆ ครับ ตามคลิปด้านล่างนี่เลย

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
บริเวณตลาดก็มีของกินอร่อยๆ หลายอย่างครับ



อันนี้ไม่แน่ใจขนมอะไร แค่สอดไส้ครีมชีส อร่อยมากครับ กลับมาอีกวันผมก็แวะมาซื้ออีก เพราะติดใจไปละ ชิ้นละประมาณ 4 เหรียญกว่าๆ

มาถึงที่นี่แล้ว ที่นึงที่ห้ามพลาดต้องมาให้ได้ นั่นคือสตาร์บัคส์สาขาแรกเลย ซึ่งเป็นร้านไม่ใหญ่มาก แต่คนเยอะมากๆ ครับ สัญลักษณ์ของร้านยังเป็นแบบดั้งเดิมนางเงือกอยู่เลย ตอนผมไป ยังเช้าคนยังไม่เยอะมาก แต่ตอนเที่ยง แถวนี้ยาวออกมานอกร้านเลยครับ









มาถึงที่แล้วก็หาเครื่องดื่มร้อนๆ สักแก้ว ก่อนไปเดินเล่นต่อนะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่