ครั้งแรกกับเมืองมรดกโลก...สะบายดี หลวงพระบาง

หลังจากทริปโอซากาเมื่อเดือน ต.ค. กะว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศอีกทีก็ปลายปีหน้า ตามที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะเที่ยวต่างประเทศให้ได้ปีละครั้ง แต่ทริปนี้เกิดขึ้นแบบฉุกละหุก จากการคุยกันกับแม่เล่นๆ ว่าปีใหม่นี้จะไปไหนกันดี เป็นการคุยเล่นๆ มากกว่าที่อยากจะได้คำตอบจริงๆ ต้องบอกก่อนว่าโดยปกติแล้วที่บ้านเราไม่ค่อยไปเที่ยวไหน ยิ่งช่วงเทศกาลด้วยแล้วเลิกคิดได้เลย เพราะเคยไปช่วงปีใหม่เมื่อหลายปีมาแล้วเจอรถติดแหง็กอยู่บนถนนหลายชั่วโมง ทำให้เข็ดขยาดกับการออกไปเที่ยวช่วงเทศกาล อย่างดีก็แค่ออกไปหาข้าวกินกันในกรุงเทพฯ หรือใกล้ๆ กรุงเทพฯ

แต่คำตอบที่ได้จากแม่คือ “เราไปเที่ยวหลวงพระบางกันดีมั้ย แม่อยากไปมานานแล้ว” เราแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะได้ยินคำตอบนี้จากปากแม่ ขนาดเมื่อปีใหม่ที่ผ่านมาเรากับน้องชายชวนพ่อกับแม่ไปเที่ยวเขาใหญ่ แต่คำตอบที่ได้คือ “ไม่ไปหรอก ขอนอนอยู่บ้านดีกว่า” ทำให้เราต้องถามแม่อีกทีว่าแม่พูดจริงใช่มั้ย ถ้าจะไปจริง เราจะได้หาข้อมูลเตรียมไว้ แม่คอนเฟิร์มว่าจริง ด้วยหน้าที่ของลูกที่ดีก็หาข้อมูลเกี่ยวกับหลวงพระบางทันที จะหาข้อมูลจากไหนถ้าไม่ใช่พันทิป ที่เคยใช้เป็นไกด์ในการไปเที่ยวโอซากามาแล้ว

การไปเที่ยวครั้งนี้ไม่ได้ตีกรอบว่าต้องอยู่ภายในงบเท่าไหร่ หรือต้องใช้เงินให้น้อยที่สุด เนื่องจากมีพ่อกับแม่ไปด้วย จะพาเดินลุยเหมือนอย่างที่เราไปกับเพื่อนก็คงไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่เน้นรายละเอียดในเรื่องของงบที่ใช้ในทริปนี้ แต่จะเน้นในเรื่องของการเดินทางไปยังหลวงพระบาง และสถานที่ต่างๆ ที่ได้ไปเที่ยวชมเป็นหลัก เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นให้กับคนที่อยากจะไปเยือนหลวงพระบางสักครั้ง

การเดินทาง

โปรแกรมเที่ยวครั้งนี้จะไปกัน 6 วัน ตั้งแต่ 26-31 ธ.ค. ตอนแรกตั้งใจจะเดินทางด้วยเครื่องบินไปลงที่ จ.อุดรธานี แล้วต่อรถไปหนองคายเพื่อข้ามไปฝั่งลาว แต่แม่มีเพื่อนไปซื้อบ้านอยู่ที่ จ.อุดรธานี ซึ่งชวนแม่ไปเที่ยวที่บ้านหลายครั้งแล้ว แต่แม่ก็ยังไม่ได้ไปสักที เลยถือโอกาสนี้ไปแวะเที่ยวบ้านเพื่อนแม่ด้วย ก็ตกลงกันว่าจะขับรถไปเอง นอนค้างคืนนึงที่บ้านเพื่อนแม่ เอารถจอดไว้ที่นั่นแล้วให้เพื่อนแม่ขับรถไปส่งที่หนองคาย

วันที่ 27 ธ.ค. ก่อนข้ามไปฝั่งลาว เพื่อความเป็นสิริมงคลและเอาฤกษ์เอาชัยในการเดินทางต้องไปสักการะหลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของ จ.หนองคาย ที่วัดโพธิ์ชัย ชมศาลาแก้วกู่ ซึ่งเป็นสวนประติมากรรมปูนปั้นขนาดใหญ่ และเดินซื้อของ กินข้าวที่ตลาดท่าเสด็จ



เริ่มการเดินทางที่ด่านพรมแดนหนองคาย ทำการตรวจพาสปอร์ตเสร็จแล้วเดินออกมาจะเจอที่ขายตั๋วรถบัสเพื่อข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ไปยังด่านฝั่งลาว ราคาตั๋ว 20 บาท







ที่ด่านฝั่งลาว ตอนทำการตรวจพาสปอร์ตจะต้องเสียเงินค่าเข้าเมืองด้วย วันที่เราไปตรงกับวันอาทิตย์ เสียค่าเข้าเมืองคนละ 55 บาท ถ้าวันธรรมดาในเวลาราชการจะเสียอีกราคานึง น่าจะ 40 บาท ก็จะได้บัตรพลาสติกแข็งมาเพื่อเอาไปเสียบตรงช่องทางออกเหมือนกับรถไฟฟ้า BTS ไม่ต้องรอบัตรคืนออกมานะครับ เพราะเครื่องจะเก็บบัตรไปเลย ออกมาแล้วให้เดินตรงดิ่งโดยที่ไม่ต้องสนใจพวกคิวรถที่จะเข้ามารุมล้อมยังกับเราเป็นซูเปอร์สตาร์ เพื่อให้เราเหมารถไปนั่นไปนี่ ขึ้นรถบัสปรับอากาศสีเขียวสาย 136 ไปสุดสายที่ตลาดเช้าเวียงจันทน์ ค่ารถคนละ 5,000 กีบ (ราว 22 บาท) สามารถจ่ายเป็นเงินบาทก็ได้ แต่เค้าจะเก็บ 40 บาท ระหว่างรอรถออกจะมีแม่ค้าเดินขึ้นมาขายมะม่วง ไข่ต้ม ลูกอม หมากฝรั่ง





ถึงตลาดเช้าเวียงจันทน์ ต่อรถบัสสีเขียวสาย 143 ไปขนส่งสายเหนือ ค่ารถคนละ 5,000 กีบเหมือนเดิม รถจะเข้าไปจอดที่หน้าอาคารขนส่ง ไปที่ช่องขายตั๋วเพื่อดูรอบรถและซื้อตั๋ว ด้วยความที่อยากไปถึงหลวงพระบางให้เร็วที่สุดเพื่อเผื่อเวลาเดินหาที่พัก เพราะช่วงใกล้ปีใหม่ที่พักคงจะหายาก เลยเลือกเป็นรถนั่ง VIP รอบ 19.30 น. ค่ารถคนละ 130,000 กีบ (ราว 577 บาท) ในขนส่งจะมีร้านอาหาร ร้านขายของชำ และห้องน้ำซึ่งสามารถอาบน้ำได้ มันคือห้องน้ำธรรมดานี่แหละ มีส้วมนั่งยองกับปูนที่ก่อขึ้นมาเล็กๆ เพื่อใส่น้ำไว้ราดส้วม แต่ว่าทนเหนียวตัวไม่ไหว และถ้าไม่ได้อาบน้ำจะนอนไม่หลับ เลยต้องพึ่งห้องอาบน้ำเฉพาะกิจ เดินเลือกห้องที่ดูสะอาดที่สุด 555+ อาบน้ำอาบท่าสบายตัวแล้วมันต้องหาอะไรเย็นๆ ดื่มซะหน่อย มาถึงลาวแล้วก็ต้อง “เบียร์ลาว” ร้านในขนส่งขายกระป๋องเล็กราคา 10,000 กีบ (ราว 44 บาท) ได้ขึ้นรถตอน 19.30 น. ตรงเป๊ะ แต่กว่ารถจะออกก็ 20.00 น. รถค่อนข้างจะเก่า แอร์ไม่เย็น แถมไม่มีห้องน้ำด้วย บนรถได้รับแจกขนมเอลเซ่ 1 อัน น้ำดื่มขวดเล็ก 1 ขวด เมื่อถึงจุดพักรถตอนประมาณเที่ยงคืนกว่า เค้าจอดให้ลงไปกินเฝอโดยใช้หางตั๋วรถทัวร์แลก แต่ด้วยความง่วงประกอบกับกลัวท้องไส้จะปั่นป่วนระหว่างทาง ก็เลยนอนรออยู่บนรถ



วันแรกในหลวงพระบาง : วัดใหม่สุวันนะพูมาราม - พิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง - พระธาตุพูสี - ตลาดมืด

ระยะทางจากเวียงจันทน์-หลวงพระบาง ประมาณ 400 กิโลเมตร ถ้าเป็นถนนของบ้านเราใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว แต่นี่ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบ 12 ชั่วโมง เพราะทางที่ไปเป็นทางแคบๆ แค่รถวิ่งสวนกันได้ ขึ้นเขา-ลงเขา โค้งเยอะ ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ สลับกับทางฝุ่น สองข้างทางเป็นป่า มีบางช่วงที่ผ่านหมู่บ้าน ถึงท่ารถหลวงพระบาง ประมาณ 07.30 น. เรียกรถสกายแล็บให้ไปส่งที่ซอยโจมาเพื่อหาที่พัก ค่ารถคนละ 75 บาท จริงๆ แล้วซอยนี้ไม่ได้ชื่อซอยโจมานะครับ แต่เพราะว่าตรงปากซอยมีร้านกาแฟ Joma Bakery Café อยู่ เค้าก็เลยเรียกกันติดปากว่าซอยโจมา และอีกฝั่งซอยจะเป็นวุฒิ-ศักดิ์ คลินิก สาขาหลวงพระบาง ในซอยนี้ทั้งสองฝั่งจะเป็นเกสต์เฮาส์ หรือที่ภาษาลาวเรียกว่า เฮือนพัก เดินเข้าไปเห็นแต่ป้ายติดไว้หน้ารั้ว “Full” เกือบทุกที่ คิดในใจว่า ตายละวา จะหาที่พักได้มั้ยเนี่ย ถ้ามาคนเดียวหรือกับมาเพื่อนขาลุยนี่คงไม่ใช่ปัญหาถ้าจะต้องเดินหาที่พัก หรือขอแค่มีที่อาบน้ำและที่นอนก็พอ ไม่ต้องอะไรมาก แต่นี่มากับพ่อแม่ก็ต้องเน้นความสบายเอาไว้ก่อน โชคดีมากที่เจอห้องว่างเพราะมีคนเช็กเอาต์พอดี ที่พักชื่อ เฮือนพัก พรมาลี ราคาห้องพักคืนละประมาณ 600 บาท เค้าบอกว่าถ้าช่วงโลว์ซีซั่นราคาจะประมาณ 400-450 บาท ห้องพักถือว่าใช้ได้ทีเดียว มีแอร์ น้ำอุ่น ทีวี Wi-Fi มีชา กาแฟ ไมโล ตู้กดน้ำดื่ม แครกเกอร์ กล้วยน้ำว้า ส้ม ให้กินฟรีตรงล็อบบี้ ห่างจากที่พักเดินไปนิดเดียวก็จะเป็นแม่น้ำโขง มีร้านอาหารและร้านกาแฟอยู่หลายร้านให้ได้นั่งชมวิวของแม่น้ำโขง




เก็บข้าวเก็บของ อาบน้ำเสร็จแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเวลาก็ตะลอนหลวงพระบางกันทันที อันดับแรกต้องไปแลกเงินกีบซะก่อน ซึ่งจะมีตู้รับแลกเงินกระจายอยู่ทั่วไป ตู้เอทีเอ็มก็มีแต่ไม่กล้ากด 555+ เรตวันที่เราไป 1 บาท = 225 กีบ ด้วยความหิวโหยที่ทั้งคืนไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย พ่อกับแม่เลือกที่จะกินเฝอ แต่เราไปสะดุดตากับซุ้มขายของที่ตั้งติดๆ กันอยู่ริมถนน เดินไปดูเห็นมีแก้วพลาสติกใสใส่ผลไม้อยู่ข้างในเหมือนกับร้านขายน้ำปั่นบ้านเรา และมีขนมปังบาแกตวางอยู่ด้วย ซึ่งมันคือแซนด์วิชลาวนั่นเอง สั่งไส้ไก่ทอดมาลอง เค้าจะใส่มะเขือเทศ แตงกวา ผักกาดหอม มายองเนส ราดน้ำจิ้มไก่ ราคา 10,000 กีบ (ราว 44 บาท) กัดคำแรกนี่ เฮ้ย! อร่อยอ่ะ แถมชิ้นใหญ่มาก อันเดียวอยู่เลย




ประเดิมที่แรก วัดใหม่สุวันนะพูมาราม ต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 10,000 กีบ (ราว 44 บาท) เข้าไปสักการะพระประธานในพระอุโบสถ วัดนี้เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชองค์สุดท้ายของลาว และยังเคยเป็นที่ประดิษฐานของพระบาง พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหลวงพระบาง ด้านหน้าพระอุโบสถตกแต่งด้วยภาพลงรักปิดทองเล่าเรื่องพระเวสสันดรชาดก บานประตูแกะสลักเป็นรูปเทวดา




เดินจากวัดใหม่สุวันนะพูมารามมาก็จะเจอพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง ซึ่งที่นี่แต่เดิมคือพระราชวังหลวงพระบาง ภายหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทางรัฐบาลได้เปลี่ยนพระราชวังหลวงมาเป็นพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง ค่าเข้าชมคนละ 30,000 กีบ (ราว 133 บาท) ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงสิ่งของต่างๆ และภาพจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งห้ามถ่ายรูป ด้านนอกทางขวาเป็นหอพระบาง ที่ประดิษฐานพระบางในปัจจุบัน ทางซ้ายเป็นโรงละครพะลัก-พะลาม มีอนุสาวรีย์พระเจ้าศรีสว่างวงศ์อยู่หน้าโรงละคร



ข้ามถนนมาอีกฝั่งเป็นพระธาตุพูสี ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสูงราว 150 เมตร มีบันไดขึ้นไปยังยอดเขา 328 ขั้น ค่าเข้าชมคนละ 20,000 กีบ (ราว 88 บาท) จะมีต้นจำปาอยู่ตลอดทางขึ้น ถึงอากาศจะเย็นสบาย แต่กว่าจะเดินถึงยอดเขาก็เล่นเอาเหงื่อชุ่มเต็มเสื้อเหมือนกัน บนยอดเขาสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองหลวงพระบางและแม่น้ำโขงได้






ลงจากพระธาตุพูสีแล้วกะว่าจะเดินไปวัดเชียงทองต่อ แต่ด้วยความที่เมื่อคืนตอนนั่งรถทัวร์มาหลับไม่สนิท เพราะรถตกหลุมตลอดทาง เลยต้องกลับไปนอนพักเอาแรงก่อน แล้วช่วงเย็นๆ ค่อยออกมาเดินตลาดมืดหาซื้อของฝาก
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่