แปลบทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม "อาร์เเซน เวงเกอร์" ชีวิต ความตาย ฟุตบอล

ไม่นานมานี้ อาร์แซน เวงเกอร์ ได้ให้สัมภาษณ์และถ่ายแบบกับนิตยสาร L'Equipe's sport & style ของฝรั่งเศส
บทสัมภาษณ์ในหนังสือนั้นค่อนข้างยาว ที่สำคัญน่าสนใจมาก สะท้อนได้ถึงความคิดของชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้จัดการทีมที่ดีคนหนึ่ง

บทความนี้เราได้อ่านแล้วก็อยากจะถ่ายทอดให้แฟนอาร์เซนอลหรือคนอื่นได้อ่านกันค่ะ
ทั้งนี้เราได้ร่วมมือกับคุณปั้นโลมา ช่วยกันแปลช่วยกันขัดเกลาค่ะ ถ้ามีแปลผิดพลาดก็รบกวนติชมเสนอแนะได้ค่ะ



1Q: อาร์แซน. ถ้าผมพูดกับคุณว่า 6945 ในวันนี้. วันที่ 9 ตุลาคม คุณจะนึกถึงอะไร
A: ไม่ได้คิดถึงอะไรเลย

2Q: คุณเป็นผู้จัดการทีมอาร์เซนอลมาเป็นเวลา 6945 วัน มากกว่าจำนวนวันทั้งหมดของผู้จัดการทีมในพรีเมียร์ลีก 19 ทีมรวมกัน
A: จริงหรือ? แล้วมันกี่วินาทีกันล่ะ? ถ้าคุณเก่งคณิตศาสตร์ (หัวเราะ)

3Q: ง่ายมาก 6945 x 24 x 3600!
A: แต่สำหรับผม มันไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าการที่ผมยังคงได้ทำงานที่พิเศษจากจุดนี้ต่อไปเรื่อยๆในอนาคต ผมอยู่กับอนาคตเสมอ อนาคตที่ได้ถูกวางแผนและเข้มงวด จริงๆผมค่อนข้างมีความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์เกี่ยวกับเวลา ผมกำลังอยู่ในกระบวนการที่ต่อสู้กับเวลา ก็แค่นั้น ผมไม่สนใจกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอดีตอย่างสิ้นเชิง

4Q: คำว่าในนาทีต่อมา มันเป็นต้นตอของความกังวลของคุณได้อย่างไร?
A: ผมมักจะกลัวกับการไปสาย กับความไม่พร้อม ไม่สามารถทำตามแผนที่ผมได้วางไว้ ความสัมพันธ์ของผมกับเวลามาพร้อมกับความกังวลในทุกๆด้าน การย้อนกลับไปในอดีต การมองย้อนกลับเป็นเพียงไอระเหย อย่างแรกเลยคือความกลัว เพราะว่าสิ่งที่กำลังจะมาไม่ถึงไม่ได้มีมากไปกว่ากับสิ่งที่มีอยู่แล้ว หนทางเดียวที่จะต่อสู้กับเวลาคืออย่ามองย้อนกลับไปให้มาก เพราะถ้าคุณทำแบบนั้น คุณก็จะกลัว และในบางครั้งก็จะทำให้คุณรู้สึกผิด

5Q: คุณใช้คำว่าความกังวลอธิบายความหมายของทั้งคำว่าพรุ่งนี้และเมื่อวาน...
A: หนทางเดียวที่จะมีช่วงเวลาแห่งความสุขก็คือในปัจจุบัน อดีตมีความผิดหวัง อนาคตไม่แน่นอน มนุษย์เข้าใจสิ่งนี้ได้อย่างรวดเร็วและสร้างศาสนาขึ้นมา ศาสนายกโทษให้กับคนที่ทำผิดในอดีตและบอกพวกเขาว่าไม่ต้องกังวลกับอนาคต เพราะว่าคุณจะได้ขึ้นสวรรค์ นั่นหมายความว่าคุณจะต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด มนุษย์วิเคราะห์จิตใจของตัวเองได้อย่างรวดเร็วผ่านทางความเชื่อ

6Q: คุณบอกอย่างชัดเจนว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และศาสนาแตกต่างอย่างมากจากมุมมองของคุณเมื่อตอนคุณเป็นวัยรุ่น ในตอนนั้นคุณอ่าน Roman Missal เพื่อช่วยให้ทีมคุณชนะ
A: น่าเศร้าที่ตอนนี้มันไม่ค่อยจะเวิร์ค ในขณะเดียวกันก็โชคดีนะที่ทีมของผมไม่จำเป็นต้องพึ่งพระเจ้าเมื่อต้องการชัยชนะ

7Q: ในมุมของความสัมพันธ์ของคุณกับปัจจุบัน ในแมตซ์การแข่งขัน ผู้จัดการทีมรู้สึกว่าเขาค่อนข้างจะมีอำนาจลึกลับหรือเปล่า? คุณคือผู้สร้างทีมของคุณ สไตล์การเล่นของทีม กลยุทธ์ของทีม
A: ในมุมมองของทางศาสนา มีคนพูดว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ สำหรับผม ผมเป็นเพียงแค่คนประสานงาน ผมให้คนนั้นๆแสดงสิ่งที่เขามีในตัวเขาออกมา ผมไม่ได้สร้างอะไรเลย ผมเป็นผู้จัดสรรให้กับสิ่งสวยงามในตัวมนุษย์ ผมจำกัดความตัวเองว่าเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี การต่อสู้ที่ไม่เคยสิ้นสุดในงานของผมคือการเอาสิ่งที่สวยงามในมนุษย์ออกมา ผมอาจจะถูกใครทรยศความเคารพนี้และอธิบายผมได้ด้วยคำว่าไร้เดียงสา ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมเชื่อและผมมักจะพิสูจน์ได้ค่อนข้างบ่อยครั้งว่าผมถูก

8Q: ไม่เสมอไป....
A: บางครั้งผมก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในการนำสิ่งที่ดีที่สุดของคนคนนั้นออกมาจากข้างในของเขา มันให้โอกาสผมที่จะวิเคราะห์ว่าผมทำพลาดที่ตรงไหน

9Q: คุณบอกว่าพวกเราทรยศคุณด้วยคำว่าไร้เดียงสา คุณอาจจะชอบคำว่านักอุดมคติมากกว่าหรือเปล่า?
A: มีคนบอกผมว่า มีทางเดียวที่จะอยู่ในความคิดของความตาย คือการพยายามที่จะเปลี่ยนปัจจุบันให้เป็นศิลปะ นี่มันก็เกี่ยวข้องกับทุกๆสิ่งที่ผมเพิ่งพูดมา

10Q: ศิลปะไม่จำเป็นต้องเป็นต้นกำเนิดของความสวยงามของจักรวาล งานบางงานอาจจะถูกใจหรือน่าหวาดกลัวขึ้นอยู่กับความเชื่อมโยงกับความงามของแต่ละบุคคล
A: ผมเลือกกีฬาที่เล่นเป็นทีม มันมีเวทมนตร์อยู่อย่างหนึ่ง เมื่อมนุษย์รวมพลังกันเพื่อที่จะแสดงความคิดร่วมกัน นั่นคือเมื่อกีฬากลายเป็นความสวยงาม ความโชคร้ายของมนุษย์เกิดขึ้นเมื่อเขาพบว่าเขาต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวกับปัญหาหลายๆอย่างที่เขาจำเป็นต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมยุคใหม่ กีฬาที่เล่นเป็นทีมมีคุณค่าพิเศษในตัวเอง มันอยู่เหนือกาลเวลา คุณสามารถจัดผู้เล่นทั้งสิบเอ็ดคนที่มาจากสิบเอ็ดสัญชาติและแสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องของผลงาน กีฬาในปัจจุบันอาจจะสามารถแสดงถึงโลกที่จะเป็นไปในอนาคต เราสามารถแบ่งปันความรู้สึกพิเศษกับคนโดยไม่จำเป็นต้องพูดกับเขา มันยังคงเป็นไปไม่ได้ในสังคมตอนนี้ ดังนั้นกีฬาที่เล่นเป็นทีมแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง เมื่อเทนนิสกลายเป็นเดวิสคัพ มันแสดงให้เห็นบางอย่างที่ยังมีอยู่ กอล์ฟและไรเดอร์คัพก็เช่นกัน เราๆก็สัมผัสได้ ความสั่นสะเทือนอยู่ตรงนั้น

11Q: คุณเคยเป็นโค้ชในกีฬาประเภทบุคคลหรือเปล่า?
A: ผมเชื่อว่าไม่นะ การร่วมหัวจมท้ายไปกับคนๆหนึ่ง การเห็นว่าอะไรคือสิ่งขับเคลื่อนสร้างแรงบันดาลใจในตัวเขาสร้างความน่าสนใจให้ผมเป็นอย่างมาก แต่ว่าผมถูกเลี้ยงมาในกีฬาประเภททีมและจิตใจของผมก็ถูกสร้างมาในทางนั้น การที่จะเป็นโค้ชของใครเพียงคนเดียว นักกีฬาคนเดียวคงจะต้องผิดหวังในตัวผม มันเชื่อมโยงกับการศึกษาของผม ในหมู่บ้านของผมเราเล่นแต่ฟุตบอลและบาสเกตบอลเท่านั้น

12Q: คุณเคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่นักเตะที่ดีเยี่ยม นั่นมันทำให้คุณประเมินมากกว่า ทำให้คุณมีความอดทนมากกว่าเมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่ทีมของคุณที่จะได้รับ
A: คุณสามารถอธิบายสิ่งนั้นด้วยความสัมพันธ์เมื่อนักเตะมีความกังวลใจ เมื่อเขาไม่สามารถไปถึงสิ่งที่เขาปรารถนา สิ่งอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้นในอาชีพของผม ผมยังคงอยู่กับฟุตบอล สำหรับผม ฟุตบอลเป็นสิ่งที่ไม่น่าสงสัยเลย คล้ายๆกับความบ้าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็เคยมีบางครั้งตอนที่ผมอายุ 24-25 ปี ผมบอกกับตัวเองว่า ตายล่ะ ถ้าผมไม่สามารถเล่นฟุตบอลได้อีก ผมจะฆ่าตัวตาย มีประโยชน์อะไรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

13Q: จริงจังมาก?
A: มากๆ ผมใช้เวลาอย่างยาวนานเพื่อที่จะพยายามเข้าใจว่าคนเราสามารถโง่ได้ถึงเพียงนั้นได้อย่างไร แต่ก็อธิบายได้ง่ายๆเพราะผมถูกเลี้ยงมาในร้านอาหาร-บาร์ที่เป็นเหมือนกับสำนักงานใหญ่ของสโมสรฟุตบอล พวกเราพูดถึงแต่เพียงฟุตบอล ผู้คนสร้างทีมในวันพุธและวันอังคารเพื่อวันอาทิตย์
ผมแทบจะไม่รู้ว่าต้องเดินยังไง และผมมองพวกเขาอยู่แล้ว ฟังพวกเขาอยู่แล้ว และก็คิดว่า ว้าว พวกเขากำลังจะจัดคนนั้นเป็นปีกซ้าย พวกเขาต่อสู้ที่จะคว้าชัยชนะอีกครั้ง

14Q: คุณเข้าไปมีส่วนร่วมในการอภิปรายหรือเปล่า
A: ใช่ ตอนอายุ 4 หรือ 5 ขวบ ผมเริ่มที่จะรู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่และเริ่มที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมเมื่อตอนอายุ 9 หรือ 10 ขวบ ผมว่ามันเกี่ยวกับวัฒนธรรมของที่นั่น ในจิตใต้สำนึกตอนนั้นผมคิดว่าฟุตบอลสำคัญมากกว่าชีวิต เพราะเป็นสิ่งที่ผู้คนพูดมันออกมา

15Q: กลับมาถึงช่วงความกังวลของคุณในช่วงอายุ 24-25 ทำอย่างไรคุณถึงรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจมากขึ้น
A: มันเกิดขึ้นเองตามลำดับ ตอนอายุ 25 หรือ 26 ปี ผมไปพูดในงานสัมมนาที่ Mulhouse กับเพื่อนของผมหนึ่งผู้เป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิค เขาเสนอโอกาสให้ผมเข้าไปเทรนเป็นโค้ช กระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ต่อมาก็เข้าที่เข้าทาง หลังจากนั้นผู้จัดการทีมของผมที่สตาร์บูร์ก Max Hild บอกกับผมว่าให้ไปที่ศูนย์ฝึกเยาวชนกับเขา ผมไปที่นั่นและกลายเป็นผู้ช่วยของเขา ต่อมาเขาก็ก้าวขึ้นเป็นผู้จัดการทีมชุดใหญ่อย่างรวดเร็ว ส่วนผมก็ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าศูนย์ฝึกเยาวชนในตอนอายุ 30 และทำมันต่อเนื่องมาจนหยุดเล่นฟุตบอลในตอนอายุ 32 หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมไม่มีเวลาที่จะถามตัวเองถึงคำถามเหล่านั้น  ในตอนเริ่มต้นแรงบันดาลใจปรับให้เข้ากับสภาพร่างกาย และศักยภาพของปัจจัย ผมรู้ว่าผมไม่สามารถเล่นฟุตบอลไปตลอดกาล

16Q: คุณพิจารณาตัวเองวันนี้ว่าจะจบอาชีพของโค้ชของคุณไหม? ความตายขนาดย่อมๆครั้งใหม่ คุณเพิ่งย่าง 66
A: ผมไม่สนใจคำถามนี้เลย ผมว่าผมคล้ายจะเป็นเหมือนชายหนุ่มอายุ 34 ปีและยังเล่นฟุตบอลอยู่ เขามีเกมที่ย่ำแย่และพวกเราก็บอกเขาว่า โอเค คุณต้องเลิกเล่นนะเพื่อน แต่ผมไม่เคยถามตัวเองว่าผมจะทำอะไรต่อไปหลังจากนี้เพราะว่ามันคงเป็นความน่าตกใจที่ยากลำบาก
มันคงเป็นความลำบากที่มากกว่าสิ่งที่ผมเคยประสบมาก่อนเมื่อเปลี่ยนจากนักเตะมาเป็นผู้จัดการทีม เพราะว่าสิ่งนี้จะเป็นการเปลี่ยนจากกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นสู่ความว่างเปล่า ด้วยเหตุผลดังกล่าวผมปฏิเสธที่จะถามตัวเองด้วยคำถามนั้น ผมเหมือนคนที่อยู่ไม่ไกลจากเป้าหมาย คนที่กำลังจะก้าวหน้า คนที่ไม่ใส่ใจอุปสรรค ตอนนี้ถ้าผมบอกคุณว่า อิริก คุณมีเวลาที่จะใช้ชีวิตอยู่อีกเพียงแค่ 24 ชั่วโมง คุณจะคิดถึงมีดที่จะตัดคอคุณ (ในอีก24ชั่วโมง) หรือคุณจะลองใช้เวลาที่เหลืออยู่เพื่อเติมเต็ม นี่เป็นคำถามของการสิ้นสุดของชีวิต

17Q: ตัวอย่างของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่หยุดการเป็นโค้ชอย่างฉับพลันในตอนอายุ 71ปี จากการขอร้องของภรรยาของเขาที่เสียใจกับการจากไปของน้องสาว(พี่สาว) ของเธอ เป็นแรงบันดาลใจของคุณหรือเปล่า?
A: ในระดับนี้สำหรับผม เฟอร์กูสันคือตัวอย่าง ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นเขารู้ว่าการบูรณาการตัวเองต้องทำอย่างไร วิธีการที่จะพัฒนาขึ้นต้องทำอย่างไร เขาก็ไม่ได้หยุดนิ่งกับความสำเร็จ นี่เป็นคุณภาพของเขาที่ผมชื่นชม เขารู้วิธีการที่จะท้าทายตัวเองแม้ว่าเขาทำมันโดยสัญชาตญาณ แต่เขามีความสนใจอย่างอื่น เขาชอบม้า ไวน์ เขารู้เกี่ยวกับไวน์แดงมากกว่าผม เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมได้พบกับเขา และ ผมถามเขาว่า: "อเล็กซ์, คุณคิดถึงมันหรือเปล่า?" และเขาตอบผมว่า "ไม่เลย" ในขณะนั้นผมรู้สึกทั้งผิดหวังและสบายใจ มันเป็นตัวอย่างให้ผมมีความหวังสำหรับตัวผมเอง

18Q: คุณมีความคลั่งไคล้ในสิ่งอื่นหรือเปล่า
A: ไม่ นั่นคือความกังวลตามธรรมชาติของผมที่เกิดขึ้น ผมไม่ใช่เฟอร์กูสัน ผมไม่มีทางเลือกสำรองและผมไม่สนใจที่จะมองย้อนกลับไปเช่นกัน เหมือนกับการเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ของผม ผมเจ็บเวลาที่เห็นอดีตผู้เล่นกลับมาผม และพวกเขาเหล่านั้นไม่มีความสุขอย่างเต็มเปี่ยม  เวลาถูกแนะนำตัวว่า นายX อดีตผู้เล่นของอาร์เซนอล ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาเป็นในวันนี้ มันเป็นความเจ็บปวด ต้องเป็นในสิ่งที่คุณเคยเป็นในรูปแบบของความทุกข์ ผมหวังว่าชีวิตในช่วงหลังจากนี้ [ชีวิตหลังฟุตบอล] ผมสามารถทำอะไรที่มากกกว่าการเป็นอดีตผู้จัดการทีมของอาร์เซนอล เป็นโค้ชให้กับเด็กๆ ทำตัวให้มีประโยชน์

19Q: ทำไมคุณไม่เก็บความทรงจำเกี่ยวกับอดีต
A: มันทำให้ผมกังวลใจเล็กน้อย ถ้าคุณไปที่บ้านผม คุณคงเดาไม่ออกว่าคุณกำลังอยู่ในบ้านของผู้จัดการทีมฟุตบอล ถ้าคุณถามผมว่าเหรียญแชมป์เอฟเอคัพครั้งล่าสุดอยู่ที่ไหน ผมตอบคุณไม่ได้หรอก ผมคิดว่าผมให้แพทย์ประจำสโมสรหรือ เจ้าหน้าที่ฝ่ายชุดแข่งประจำทีมไปแล้ว

20Q: มันเป็นความขัดแย้งสำหรับผู้จัดการทีมของสโมสร ผู้ซึ่งผ่านความรุนแรงของประวัติศาสตร์มา
A: ผมมีความสนใจอย่างมากในเรื่องประวัติศาสตร์ของคนอื่น แต่ของตัวเองน้อยมาก เพราะผมผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้วและการไม่ย้อนกลับไปมองทำให้ผมสามารถเพิกเฉยต่อสิ่งที่ผมทำมาในชีวิต มันช่วยให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงความรู้สึกผิดได้ ผมมักจะพบว่ามันเป็นความน่าสงสารเล็กน้อยเมื่อมีคนมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของตัวเองและเล่าขานสิ่งดีๆที่พวกเขาสร้างมันมาในชีวิต
(ต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่