บทนำ
มี ใ ค ร บ า ง ค น เ ค ย พู ด ถึ ง 1 0 ส ถ า น ที่ ค ว ร ไ ป ก่ อ น ต า ย
แ ต่ เ ค ย ส ง สั ย มั้ ย ว่ า เ ข า เ ห ล่ า นั้ น ใ ช้ อ ะ ไ ร ม า ตั ด สิ น ว่ า ส ถ า น ที่ นั้ น ส ว ย พ อ จ ะ เ ป็ น ภ า พ สุ ด ท้ า ย ก่ อ น ต า ย
แ ล้ ว ท ำ ไ ม ถึ ง ต้ อ ง เ ป็ น ส ถ า น ที่ แ ห่ ง นั้ น . . .
(คำเตือน กระทู้นี้จะเขียนเชิงบรรยายและเล่าเรื่อง และภาพบางภาพอาจไม่ชัดเนื่องจากCrop มาจาก VDO)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันนึงในขณะที่ผมกำลังนั่งทำงานอยู่หน้าคอมอยู่นั้นเอง จู่ๆก็ได้พบกับกระทู้นึงเด่งขึ้นมาหน้าฟีดของ Facebook เป็นกระทู้ 10สถานที่ควรไปก่อนตาย และ10สถานที่เหล่านั้นผมก็อยากไปอยู่แล้วแต่ด้วยความที่เวลาในช่วงนั้นมันจัดสันไม่ได้ และ+กับยังมีเป่าหมายอื่นที่ปักหมุดเอาไว้ก่อนแล้วผมจึงมองข้ามไป
และวันนึงโอกาสก็มาถึงเมื่อผมได้มีโอกาสนัดกับเพื่อนๆว่าจะออกทริปกันอีกครั้ง แต่ในตอนนั้นเองสถานที่ที่ผมจะไปนั้นคือ เกาะเต่า แต่ด้วยฟ้าสั่ง หรือโชคชะตากำหนด เกาะเต่าเกิดพายุเข้าพอดีทำให้ทะเลไม่สวยและไม่สามารถลงดำน้ำได้ ผมและเพื่อนจึงตกลงกันว่าเปลี่ยนสถานที่เป็น "เขื่อนเชี่ยวหลาน หรือ รัชชประภา " ของเรานั้นเอง โชคดีที่ช่วงนั้นไม่ใช่ช่วงซีซั่นจึงทำให้เราสามารถจองห้องพักและเรือได้ไม่ยากนัก ผมจองของ " แ พ น า ง ไ พ ร " เพราะราคาถูกมาก เหมาะกับสตาย Backpack
เช้าวันเดินทางเมื่อล้อของสิงโตบินแตะพื้นและเราก้าวขาลงสู่พื้นดิน มันเท่ากับเราเริ่มเข้าสู่จังหวัดสุราษฎร์ธานีทันที นี่เป็นก้าวเล็ก ๆ ของมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ (เห้ยๆเดี๋ยวๆไม่ใช่ นีล อาร์มสตรอง)
จากสนามบินมีรถบัสให้เลือกเข้าเมืองหลากหลายบริษัท ผมใช้รถพันทิพย์ เพื่อเข้าสู่ตัวเมือง "
ค่ารถเข้าเมืองคนละ 100-150 " ครับ ( จากข้อมูลที่ผมหามาอ่ะนะ แต่ผมแค่ 100 ) เป็นรถปรับอากาศเย็นสบาย นั่งรถไปเรื่อยๆ ชมวิว 2 ข้างทางของสถานบินถึงตัวจังหวัดกันไปเพลินๆ
นั่งมาเพลินๆก็ถึงตัวเมืองสุราษฎร์ธานี จากที่ไปเขื่อนไม่ใช่เรื่องยากเพราะจะมีนายหน้าคอยถามเราอยู่เสมอทุก 1 ก้าวว่าจะไปไหนๆ ไปเขื่อนมั้ยๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเลย และไม่ต้องกลัวว่ารถจะหมด เพราะผมเชื่อว่ามีตลอดแน่นอน (แต่แนะนำให้เดินเข้าไปในตลาดจะมีเป็นเหมือนท่ารถใหญ่
ราคาที่นั้นจะถูกกว่าที่อื่น ประมาณ 200-300 ผมไม่แน่ใจ)
ขึ้นรถเพียงไม่ถึงครา ลองหลับตาก็ถึงโดยพลัน ความกว้างใหญ่และครึกครื้นกว่าสถานที่ไหนๆ ท่าเรือคับคั่งไปด้วยเหล่าผู้คน ทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งไทยและฝรั่ง ต่างแบกเป้ของตัวเองออกมา บ้างก็พาพ่อแม่มาพักผ่อน เพียงแค่ได้เห็นสถานที่ตรงนี้ ผมก็ตื่นเต้นจนทนไม่ใหวหัวใจของผมมันสูบฉีดไปด้วยการผจญภัย และอยากพบสิ่งใหม่ๆเต็มที่
เมื่อเจ้าหน้าที่ ที่เรานัดไว้มาถึงจึงทำการลงเรือเพื่อออกสู่ไลน์ เห้ย!! ไม่ใช่ เข้าไปสู่เขื่อนรัชชประภาตางหาก
ขณะที่เรือกำลังวิ่งเพื่อเข้าไปสู่ที่พัก ในหัวก็เกิดนึกถึงคำบรรยายของกระทู้นั้น เอาไว้ต่างๆนาๆ เลยทำให้รู้สึกว่า ถ้าบรรยายออกมาสะยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แล้วได้แค่นี้ ผมว่ามันก็เกินราคาคุยไปหน่อย
แต่แล้วก็เกิดคำถามขึ้นมาใหม่อีกครั้งเมื่อผมได้พบกับเหล่าผู้คนที่นั่งเรือสวนผมออกมา ว่าพวกเขาเหล่านั้น พบและเจออะไรกันมาบ้างน่ะ? มันสวยพอที่จะให้พวกคุณจดจำไปตลอดชีวิตจริงรึเปล่า
เมื่อเริ่มเข้าไปใกล้แนวเขาท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี จากฟ้าใสเปลี่ยนไปทันทีกลายเป็นดำในทันที เมฆหมอกที่ลอยอยู่เริ่มเคลื่อนมาปิดวิวและทิวทัศน์แนวเขาในทันที ทำให้ต้องลุ้นว่าจะเจออะไร
เมื่อทะลุผ่านหมอกเข้ามา มันก็หายไปในทันที เปลี่ยนเป็นหยาดฝนอย่างเต็มที่ เพื่อต้อนรับสู่รัชชประภา รู้ตัวอีกทีก็อยู่ใกล้กับแนวเทือกเขาแล้ว ทำให้ตื่นเต้นกว่าที่เคยยิ่งขึ้นไปอีกว่าทางข้างหน้าจะเจอกับอะไรอีกนะ
ในขณะที่ผมกำลังชื่นชมอยู่กับบรรยากาศภูเขารอบข้าง และน้ำใสอันกว้างใหญ่อยู่นั้น จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงจากพี่ชายของผมที่มาด้วยกัน ดังขึ้นแบบช้าๆ
หู๊วววววววววว มันสวยจริงๆด้วยวะ ต้องบอกก่อนว่าพี่ชายผมคนนี้โดยปกติเขาจะเป้นคนเงียบๆไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งใดๆหรือแสดงความคิดเห็นกับวิวที่เขาได้เห็นนัก หรือเรียกอีกอย่างว่า ไม่เคยตื่นเต้นกับอะไรเลย - -
แต่เขากลับพูดออกมาให้กับสิ่งนี้ ผมว่ามันต้องมีอะไรที่ทำให้คนไร้ความรู้สึกถูกกระตุ้นมันออกมาแน่ๆ
ชมวิวเพลินๆ เราก็เห็นแพเราอยู่ไกลๆ สวัสดี "นางไพร" ไหนมีอะไรจัดมา!!
สวัสดีครับ เสียงแรกที่ได้ยินจากเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลแพ
"น า ง ไ พ ร " เป็นการต้อนรับที่เรียบง่ายแต่แสนอบอุ่นใจกลางภูเขาและน้ำเหลือเกิน
ด้วยความที่
" แ พ น า ง ไ พ ร " เป็นแพที่ถูก (ผมไม่แน่ใจว่าเป็นของอุทยานเองเลยรึเปล่า) จึงทำให้มีราคาที่ถูกกว่าที่อื่น
ค่าที่พัก+เรือ ผมตกคนละ 2,000 พร้อมอาหาร3 มื้อที่สามารถเติมได้ไม่อั่น คุณพี่เจ้าหน้าที่จะมาถามเราตลอดเวลาว่า เติมได้นะครับ เติมมั้ยๆๆๆ และที่สำคัญอาหารอร่อยด้วย และด้วยที่เป็นแพที่ถูกจึงมีการชำรุดทรุดโทรมบ้างเล็กน้อย แต่ก็มีคุณลุงคอยซ่อมอยู่ตลอดเวลา ปล.แต่ไอ้ความโทรมๆเนี่ยแหละกลับเป็นเสน่ห์ของแพนี้นั้นเอง
ตอนที่ผมไปถึงนั้นเป็นเวลา 10.30 ทำให้ อาหารมื้อต่อไปคือตอน 12.00 พวกเราก็เลยยังไม่ได้ทานอาหารฝีมือของแพนางไพร แต่จะรอช้าอยู่ใยก่อนจะถึงเวลานัดกับคุณลุงคนเรือ ขอหยิบคายัคเรือออกไปพายให้หนำใจเสียก่อน
พายเรือกันอยู่เพลินๆ ความบังเอิญของหยาดฝนก็ลงมาทักทายเราอีกครั้ง ราวกับว่าแกล้งกันให้น้ำท่วมเรือ เมื่อเห็นฝนที่กระหน่ำแทลงมาผมจึงรีบหันหัวเรือกลับเข้าแพในทันที แต่รู้มั้ย เหมือนผมโดนแกล้ง อีก 500 เมตรจะถึงแพอยู่ละ พี่ฝนของเราก็พากันหยุดนิ่งเงียบสงัดแล้วเปิดฟ้ามารัวเราะเราในทันที (อ่าวตลกละ พอกลับมาหล่ะหยุด แต่โอ้ยไม่พงไม่พายละขี้เกรียจ โดดน้ำเลยละกัน 1 2 3 ฮึบ!!)
ผมเชื่อว่าหลายคนอาจเกิดคำถามขึ้นมาในตอนนี้ว่า ไอ้น้ำใสที่ว่าเนี่ย มันจะใสซักแค่ไหน เอาล่ะไม่ต้องมโนไปเองครับ ผมจะพาไปดู
เมื่อผมขึ้นมาจากน้ำ และนั่งพักชมบรรยากาศของธรรมชาติอย่างเต็มๆ มันช่างต่างกันสะเหลือเกินกับการยืนชมวิวบนพื้น ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า แต่การสูดอากาศเข้าไปทุกครั้งในขณะที่อยู่ที่นั้น เหมือนได้สูดความเป็นธรรมชาติเข้าไปและเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
ขณะที่นั่งอยู่เพลินๆ ได้ยินเสียงแว่วดังจากโรงครัวของพ่อควรที่ชักชวนเราขึ้นมาทานข้าวเหมือนดังพี่กับน้องมากกว่าผู้ดูแลผู้พักอาศัย (รูปอาหารผมไม่ได้ถ่ายมาหิวจัดถล่มสะพังเลย) กินไปหัวเราะไป ผมแอบมองโต๊ะครอบครัวข้างๆ และมองกว้างๆถึงโต๊ะด้านหลัง ทุกคนต่างยิ้มและหัวเราะพูดคุยกัน เนื่องจากวันที่ผมไปแดดไม่มีมาหลายวันแล้วทำให้สัญญณโทรสับไม่มี จึงไม่มีมนุษย์ก้มให้เสียบรรยากาศในสถานที่แห่งนี้เลย พ่อครัวหนุ่มเดินมาถามปนกวนยียวนเราตลอดเวลาว่าอาหารรสชาติถูกปากหรือไม่ เราตอบอย่างเร็วไวว่าอร่อยมาก (อร่อยจริงๆนะไม่ใช่เล่นๆ) และคอยหมั่นถามเราตลอดว่าเติมมั้ย เติมได้นะไม่ต้องห่วงเราทำเอาไว้เผื่อเติมเสมอ ได้ยินดังนั้นจึงทนความยั่วยุไม่ใหว ขอเติมโดยไวแล้วใส่กันอีกจาน
กินอิ่มและพักท้องได้ซักพัก คุณลุงคนเรือเดินมาตามว่าถึงเวลานัดของเราแล้ว พร้อมจะไปรึยัง ผมลุกขึ้นโดยพลันตอบลุงออกไปด้วยเสียงดังว่า "พร้อมจะลุยกันมานานแล้ว ฮา ฮา โย๋ววว" (ใครเข้าใจคำนี้ก็จะรู้อายุกันนะแจ๊ะ) เอาของที่จำเป็นขึ้นเรือและออกลุยไปในเขื่อน คุณอาจเกิดคำถามว่า ไปไหน คำตอบนั้นคือ ผมจะพาคุณไปดู "ปะการัง" ใช่คุณอ่านไม่ผิดหรอก แต่มันคือ ถ้ำประการังกลางหุบเขาซึ่งก่อนจะเข้าไปต้องผ่านด่านแรกสะก่อน นั้นคือการเดินป่าเล็กๆ ประมาณ 15-20นาที ไม่ชัน และไม่อันตรายมาก ได้พอเหนื่อยและพอสนุกครับ
------------------------------------
[CR] ห ย า ด ฝ น ป น ค ว า ม รู้ สึ ก - กั บ ส ถ า น ที่ ที่ ห า ย ส ง สั ย ที่ นี้ " รั ช ช ป ร ะ ภ า " กุยหลินเมืองไทย
แ ต่ เ ค ย ส ง สั ย มั้ ย ว่ า เ ข า เ ห ล่ า นั้ น ใ ช้ อ ะ ไ ร ม า ตั ด สิ น ว่ า ส ถ า น ที่ นั้ น ส ว ย พ อ จ ะ เ ป็ น ภ า พ สุ ด ท้ า ย ก่ อ น ต า ย
แ ล้ ว ท ำ ไ ม ถึ ง ต้ อ ง เ ป็ น ส ถ า น ที่ แ ห่ ง นั้ น . . .
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
และวันนึงโอกาสก็มาถึงเมื่อผมได้มีโอกาสนัดกับเพื่อนๆว่าจะออกทริปกันอีกครั้ง แต่ในตอนนั้นเองสถานที่ที่ผมจะไปนั้นคือ เกาะเต่า แต่ด้วยฟ้าสั่ง หรือโชคชะตากำหนด เกาะเต่าเกิดพายุเข้าพอดีทำให้ทะเลไม่สวยและไม่สามารถลงดำน้ำได้ ผมและเพื่อนจึงตกลงกันว่าเปลี่ยนสถานที่เป็น "เขื่อนเชี่ยวหลาน หรือ รัชชประภา " ของเรานั้นเอง โชคดีที่ช่วงนั้นไม่ใช่ช่วงซีซั่นจึงทำให้เราสามารถจองห้องพักและเรือได้ไม่ยากนัก ผมจองของ " แ พ น า ง ไ พ ร " เพราะราคาถูกมาก เหมาะกับสตาย Backpack
เช้าวันเดินทางเมื่อล้อของสิงโตบินแตะพื้นและเราก้าวขาลงสู่พื้นดิน มันเท่ากับเราเริ่มเข้าสู่จังหวัดสุราษฎร์ธานีทันที นี่เป็นก้าวเล็ก ๆ ของมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ (เห้ยๆเดี๋ยวๆไม่ใช่ นีล อาร์มสตรอง)
จากสนามบินมีรถบัสให้เลือกเข้าเมืองหลากหลายบริษัท ผมใช้รถพันทิพย์ เพื่อเข้าสู่ตัวเมือง "ค่ารถเข้าเมืองคนละ 100-150 " ครับ ( จากข้อมูลที่ผมหามาอ่ะนะ แต่ผมแค่ 100 ) เป็นรถปรับอากาศเย็นสบาย นั่งรถไปเรื่อยๆ ชมวิว 2 ข้างทางของสถานบินถึงตัวจังหวัดกันไปเพลินๆ
นั่งมาเพลินๆก็ถึงตัวเมืองสุราษฎร์ธานี จากที่ไปเขื่อนไม่ใช่เรื่องยากเพราะจะมีนายหน้าคอยถามเราอยู่เสมอทุก 1 ก้าวว่าจะไปไหนๆ ไปเขื่อนมั้ยๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเลย และไม่ต้องกลัวว่ารถจะหมด เพราะผมเชื่อว่ามีตลอดแน่นอน (แต่แนะนำให้เดินเข้าไปในตลาดจะมีเป็นเหมือนท่ารถใหญ่ ราคาที่นั้นจะถูกกว่าที่อื่น ประมาณ 200-300 ผมไม่แน่ใจ)
ขึ้นรถเพียงไม่ถึงครา ลองหลับตาก็ถึงโดยพลัน ความกว้างใหญ่และครึกครื้นกว่าสถานที่ไหนๆ ท่าเรือคับคั่งไปด้วยเหล่าผู้คน ทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งไทยและฝรั่ง ต่างแบกเป้ของตัวเองออกมา บ้างก็พาพ่อแม่มาพักผ่อน เพียงแค่ได้เห็นสถานที่ตรงนี้ ผมก็ตื่นเต้นจนทนไม่ใหวหัวใจของผมมันสูบฉีดไปด้วยการผจญภัย และอยากพบสิ่งใหม่ๆเต็มที่
เมื่อเจ้าหน้าที่ ที่เรานัดไว้มาถึงจึงทำการลงเรือเพื่อออกสู่ไลน์ เห้ย!! ไม่ใช่ เข้าไปสู่เขื่อนรัชชประภาตางหาก
ขณะที่เรือกำลังวิ่งเพื่อเข้าไปสู่ที่พัก ในหัวก็เกิดนึกถึงคำบรรยายของกระทู้นั้น เอาไว้ต่างๆนาๆ เลยทำให้รู้สึกว่า ถ้าบรรยายออกมาสะยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แล้วได้แค่นี้ ผมว่ามันก็เกินราคาคุยไปหน่อย
แต่แล้วก็เกิดคำถามขึ้นมาใหม่อีกครั้งเมื่อผมได้พบกับเหล่าผู้คนที่นั่งเรือสวนผมออกมา ว่าพวกเขาเหล่านั้น พบและเจออะไรกันมาบ้างน่ะ? มันสวยพอที่จะให้พวกคุณจดจำไปตลอดชีวิตจริงรึเปล่า
เมื่อเริ่มเข้าไปใกล้แนวเขาท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี จากฟ้าใสเปลี่ยนไปทันทีกลายเป็นดำในทันที เมฆหมอกที่ลอยอยู่เริ่มเคลื่อนมาปิดวิวและทิวทัศน์แนวเขาในทันที ทำให้ต้องลุ้นว่าจะเจออะไร
เมื่อทะลุผ่านหมอกเข้ามา มันก็หายไปในทันที เปลี่ยนเป็นหยาดฝนอย่างเต็มที่ เพื่อต้อนรับสู่รัชชประภา รู้ตัวอีกทีก็อยู่ใกล้กับแนวเทือกเขาแล้ว ทำให้ตื่นเต้นกว่าที่เคยยิ่งขึ้นไปอีกว่าทางข้างหน้าจะเจอกับอะไรอีกนะ
ในขณะที่ผมกำลังชื่นชมอยู่กับบรรยากาศภูเขารอบข้าง และน้ำใสอันกว้างใหญ่อยู่นั้น จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงจากพี่ชายของผมที่มาด้วยกัน ดังขึ้นแบบช้าๆ หู๊วววววววววว มันสวยจริงๆด้วยวะ ต้องบอกก่อนว่าพี่ชายผมคนนี้โดยปกติเขาจะเป้นคนเงียบๆไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งใดๆหรือแสดงความคิดเห็นกับวิวที่เขาได้เห็นนัก หรือเรียกอีกอย่างว่า ไม่เคยตื่นเต้นกับอะไรเลย - -
แต่เขากลับพูดออกมาให้กับสิ่งนี้ ผมว่ามันต้องมีอะไรที่ทำให้คนไร้ความรู้สึกถูกกระตุ้นมันออกมาแน่ๆ
สวัสดีครับ เสียงแรกที่ได้ยินจากเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลแพ "น า ง ไ พ ร " เป็นการต้อนรับที่เรียบง่ายแต่แสนอบอุ่นใจกลางภูเขาและน้ำเหลือเกิน
ด้วยความที่ " แ พ น า ง ไ พ ร " เป็นแพที่ถูก (ผมไม่แน่ใจว่าเป็นของอุทยานเองเลยรึเปล่า) จึงทำให้มีราคาที่ถูกกว่าที่อื่น ค่าที่พัก+เรือ ผมตกคนละ 2,000 พร้อมอาหาร3 มื้อที่สามารถเติมได้ไม่อั่น คุณพี่เจ้าหน้าที่จะมาถามเราตลอดเวลาว่า เติมได้นะครับ เติมมั้ยๆๆๆ และที่สำคัญอาหารอร่อยด้วย และด้วยที่เป็นแพที่ถูกจึงมีการชำรุดทรุดโทรมบ้างเล็กน้อย แต่ก็มีคุณลุงคอยซ่อมอยู่ตลอดเวลา ปล.แต่ไอ้ความโทรมๆเนี่ยแหละกลับเป็นเสน่ห์ของแพนี้นั้นเอง
ตอนที่ผมไปถึงนั้นเป็นเวลา 10.30 ทำให้ อาหารมื้อต่อไปคือตอน 12.00 พวกเราก็เลยยังไม่ได้ทานอาหารฝีมือของแพนางไพร แต่จะรอช้าอยู่ใยก่อนจะถึงเวลานัดกับคุณลุงคนเรือ ขอหยิบคายัคเรือออกไปพายให้หนำใจเสียก่อน
พายเรือกันอยู่เพลินๆ ความบังเอิญของหยาดฝนก็ลงมาทักทายเราอีกครั้ง ราวกับว่าแกล้งกันให้น้ำท่วมเรือ เมื่อเห็นฝนที่กระหน่ำแทลงมาผมจึงรีบหันหัวเรือกลับเข้าแพในทันที แต่รู้มั้ย เหมือนผมโดนแกล้ง อีก 500 เมตรจะถึงแพอยู่ละ พี่ฝนของเราก็พากันหยุดนิ่งเงียบสงัดแล้วเปิดฟ้ามารัวเราะเราในทันที (อ่าวตลกละ พอกลับมาหล่ะหยุด แต่โอ้ยไม่พงไม่พายละขี้เกรียจ โดดน้ำเลยละกัน 1 2 3 ฮึบ!!)
ผมเชื่อว่าหลายคนอาจเกิดคำถามขึ้นมาในตอนนี้ว่า ไอ้น้ำใสที่ว่าเนี่ย มันจะใสซักแค่ไหน เอาล่ะไม่ต้องมโนไปเองครับ ผมจะพาไปดู
เมื่อผมขึ้นมาจากน้ำ และนั่งพักชมบรรยากาศของธรรมชาติอย่างเต็มๆ มันช่างต่างกันสะเหลือเกินกับการยืนชมวิวบนพื้น ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า แต่การสูดอากาศเข้าไปทุกครั้งในขณะที่อยู่ที่นั้น เหมือนได้สูดความเป็นธรรมชาติเข้าไปและเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
ขณะที่นั่งอยู่เพลินๆ ได้ยินเสียงแว่วดังจากโรงครัวของพ่อควรที่ชักชวนเราขึ้นมาทานข้าวเหมือนดังพี่กับน้องมากกว่าผู้ดูแลผู้พักอาศัย (รูปอาหารผมไม่ได้ถ่ายมาหิวจัดถล่มสะพังเลย) กินไปหัวเราะไป ผมแอบมองโต๊ะครอบครัวข้างๆ และมองกว้างๆถึงโต๊ะด้านหลัง ทุกคนต่างยิ้มและหัวเราะพูดคุยกัน เนื่องจากวันที่ผมไปแดดไม่มีมาหลายวันแล้วทำให้สัญญณโทรสับไม่มี จึงไม่มีมนุษย์ก้มให้เสียบรรยากาศในสถานที่แห่งนี้เลย พ่อครัวหนุ่มเดินมาถามปนกวนยียวนเราตลอดเวลาว่าอาหารรสชาติถูกปากหรือไม่ เราตอบอย่างเร็วไวว่าอร่อยมาก (อร่อยจริงๆนะไม่ใช่เล่นๆ) และคอยหมั่นถามเราตลอดว่าเติมมั้ย เติมได้นะไม่ต้องห่วงเราทำเอาไว้เผื่อเติมเสมอ ได้ยินดังนั้นจึงทนความยั่วยุไม่ใหว ขอเติมโดยไวแล้วใส่กันอีกจาน
กินอิ่มและพักท้องได้ซักพัก คุณลุงคนเรือเดินมาตามว่าถึงเวลานัดของเราแล้ว พร้อมจะไปรึยัง ผมลุกขึ้นโดยพลันตอบลุงออกไปด้วยเสียงดังว่า "พร้อมจะลุยกันมานานแล้ว ฮา ฮา โย๋ววว" (ใครเข้าใจคำนี้ก็จะรู้อายุกันนะแจ๊ะ) เอาของที่จำเป็นขึ้นเรือและออกลุยไปในเขื่อน คุณอาจเกิดคำถามว่า ไปไหน คำตอบนั้นคือ ผมจะพาคุณไปดู "ปะการัง" ใช่คุณอ่านไม่ผิดหรอก แต่มันคือ ถ้ำประการังกลางหุบเขาซึ่งก่อนจะเข้าไปต้องผ่านด่านแรกสะก่อน นั้นคือการเดินป่าเล็กๆ ประมาณ 15-20นาที ไม่ชัน และไม่อันตรายมาก ได้พอเหนื่อยและพอสนุกครับ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น