“ แย่กว่าที่คาด อนาถกว่าที่คิด ”

ไม่น่าเชื่อว่าคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญฯ ที่ประกอบไปด้วยผู้ทรงภูมิรู้ในระดับแนวหน้าทางวิชาการของประเทศ

จะร่างรัฐธรรมนูญฯ ออกมาได้ “แย่กว่าที่คาด อนาถกว่าที่คิด” เพราะถึงอย่างไรผมก็ไม่เคยมีความหวังว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะออกมาได้ดีเลิศประเสริฐศรีอยู่แล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แต่ก็ไม่นึกว่าจะทำได้แย่ขนาดนี้

ผมคงไม่วิจารณ์ลงละเอียดไปในรายมาตรา ที่มีผู้ให้ความเห็นไว้เยอะแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่มาของนายกรัฐมนตรี, ระบบการเลือกตั้ง ส.ส., การได้มาซึ่ง ส.ว., การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทำได้ยากมาก จนเรียกว่าแทบจะทำไม่ได้ และที่ร้อนที่สุดก็คือ ประเด็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดอง หรือที่เรียกว่า ค.ป.ป.ที่เรียกแขกออกมาได้อย่างพร้อมเพรียงจากแทบทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากฝ่ายการเมืองเพราะแทบจะเรียกได้ว่า จำลองรูปแบบมาจาก “รัฐบาลหอย” ยุคหลัง 6 ตุลา 19 เปี๊ยบเลย

ผมเข้าใจถึงความจำเป็นที่คณะกรรมาธิการร่างฯ จะต้องเอาใจผู้ให้กำเนิดตนมา หรือที่เรียกกันให้เข้าใจง่ายว่า “เมื่อลงเรือแป๊ะ ก็ต้องตามใจแป๊ะ” แต่การตามใจนั้นต้องไม่ลืมจุดยืนของหลักวิชาการ ที่ตนได้ร่ำเรียนมา และที่ได้เคยพร่ำสอนลูกศิษย์ลูกหาของตน และผมเชื่อว่าหลายๆ ประเด็นที่เป็นปัญหา มิใช่เกิดจาก “แป๊ะ” แต่เกิดจากการ “จัดการงานนอกสั่ง” หรือการ “เหาะเหินเกินลงกา” ซึ่งเป็นรายละเอียดที่ป่วยการจะกล่าวถึง เพราะขั้นตอนตอนนี้ ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว นอกจากจะรับหรือไม่รับในขั้นของ สปช.ซึ่งผมก็เชื่อว่า สปช.ก็คงรับโดยดุษณีนั่นแหละ เพราะมีคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ เป็นของล่อใจอยู่ และที่เอะอะโวยวายก็คงพอมีบ้างเป็นกระษัย เพราะส่วนหนึ่งคงเห็นว่ารับไม่ได้จริงๆ อีกส่วนหนึ่งก็คงเป็นฝ่ายที่อยากให้ร่างใหม่หรืออยากให้ คสช.อยู่ต่อ โดยยังไม่ต้องรีบเลือกตั้ง

แต่ครั้นพอผ่านขั้นการลงมติของ สปช.ในวันที่ 6 กันยายน 58 ที่จะถึงนี้ ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการลงประชามติ ซึ่งคงจะเป็นการลงประชามติที่แปลกที่สุดในโลก เพราะมีข้อห้ามมากมาย โดยแม้แต่ กกต.ที่มีหน้าที่ในการจัดการลงประชามติแท้ๆ ยังออกมาบอกว่าอาจจะขัดคำสั่ง คสช.ที่ห้ามชุมนุมทางการเมืองได้ ทั้งๆ ที่โดยเนื้อหาสาระของการลงประชามตินั้นคือ การเมืองที่เป็นประชาธิปไตยทางตรงอย่างหนึ่ง และที่สำคัญของหลักการลงประชามตินั้น ประชาชนที่มีสิทธิลงประชามติจะต้องในข้อมูลที่ครบถ้วน ทั้งจากฝ่ายที่เห็นด้วยและคัดค้าน เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ แต่ไม่สามารถทำเช่นว่านั้นได้
การลงประชามติโดยไม่สามารถมีการรณรงค์นั้น ย่อมไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง และที่สำคัญก็คือ เราอยู่ในสังคมโลก ย่อมที่จะถูกรังเกียจเดียดฉันท์ ไม่มีใครอยาก   คบค้าสมาคมด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะออกมายืนยันว่าที่ห้ามนี้ไม่ได้ห้ามเฉพาะผู้ที่คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ แต่ห้ามฝ่ายที่สนับสนุนด้วย แต่ในความเป็นจริงเราก็เห็นกันอย่างชัดเจน ฝ่ายใดมีโอกาสใช้เครื่องมือหรือสื่อของรัฐในการโฆษณาชวนเชื่อมากกว่ากัน
แน่นอนว่าภายใต้สถานการณ์อันไม่เอื้ออำนวย ต่อการแสวงหาความรู้ความเข้าใจในร่างรัฐธรรมนูญที่จะต้องใช้บังคับกับทุกคนที่อยู่ในรัฐไทยนี้ เราก็ต้องช่วยกันศึกษาวิเคราะห์ถึงข้อดีข้อเสียและผลกระทบที่จะตามมาเมื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมาใช้บังคับ
ผมไม่เห็นด้วยกับบางท่านที่ให้ความเห็นว่า งั้นเราไม่ออกไปใช้สิทธิ์ลงประชามติกันดีไหม ซึ่งผมเห็นว่าในเมื่อรัฐธรรมนูญปี 50 ยกเลิกไปแล้ว ข้อจำกัดที่ให้จำนวนผู้มาลงประชามติต้องเกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์จึงจะมีผลต่อการลงประชามตินั้นใช้ได้นั้นถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2552 ในส่วนที่ใช้ในการออกเสียงเพื่อให้คำปรึกษาคณะรัฐมนตรียังคงอยู่ โดยไม่ได้ยึดเกณฑ์จำนวนคนที่มาออกเสียงแต่อย่างใด ใช้เพียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งหรือ 50 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ออกมาใช้สิทธิ์ก็ใช้ได้แล้วไม่ว่าจะมีคนมาออกเสียงจำนวนน้อยเพียงใดก็ตาม ฉะนั้น การรณรงค์เช่นนี้จึงเป็นการเตะสุกรเข้าปากสุนัขเสียมากกว่า แล้วประชาชนจะทำอย่างไร

การศึกษาร่างรัฐธรรมนูญให้เข้าใจทั้งฉบับ ย่อมเป็นเรื่องยากสำหรับประชาชนทั่วไป หลักเกณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับการตัดสินใจที่จะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฯฉบับนี้ ของประชาชนก็คือ “ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ถ้าร่างรัฐธรรมนูญผ่านหรือไม่ผ่านแล้วประชาชนจะได้อะไร” ส่วนฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายผู้ครองอำนาจอยู่เขาจะได้จะเสียอะไรนั้น เป็นเรื่องที่พ้นวิสัยสำหรับประชาชนรากหญ้าทั่วไป ที่จะไปหยั่งรู้ได้ เพราะขาดเสียซึ่งโอกาสที่ได้รับข้อมูลนั่นเอง

หากเห็นว่ารัฐธรรมนูญถ้าผ่านแล้วชีวิตของตนจะดีขึ้น จะได้เป็น  “พลเมือง” ตามที่เขาโฆษณาจริงๆเสียที ก็ไปโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ถ้าเห็นว่าหากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านออกไปแล้วชีวิตจะแย่ลง  เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับที่ผ่านๆ มานั้น ตนเองมีความเป็นสุขสบายมีสิทธิเสรีภาพมากกว่าร่างฯ ที่จะออกมาใช้นี้ก็ออกไปโหวตไม่รับเพื่อให้มีการร่างขึ้นมาใหม่ภายใน 180 วัน แล้วลงประชามติใหม่จนกว่าจะเป็นที่พอใจไปเรื่อยๆ ก็ได้

แต่หากเห็นว่าจะผ่านไม่ผ่านก็ไม่ได้มีส่วนที่จะทำให้ชีวิตของตนดีขึ้นหรือแย่ลง ก็สุดแท้แต่จะตัดสินใจแล้วล่ะครับว่า ควรจะทำอย่างไร เพราะเป็นสิทธิอันเด็ดขาดของตนที่จะตัดสินใจ เพราะไม่ต้องรับโทษทัณฑ์อันใด แต่ส่วนจะตอบคำถามลูกหลานของตนในอนาคตข้างหน้าว่าอย่างไรนั้น ก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะครับ

http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/635464#sthash.U9DRHVWS.cCWu6FGw.dpuf

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่