See Saw S E O U L ฉันมาทำอะไรที่นี่?

ไม่ดูซีรี่ย์
ไม่ฟัง K-Pop
ไม่ช้อปเครื่องสำอาง

แล้วจะไปทำอะไร?


ถ้าไปเที่ยวเกาหลีใต้ เราจะไปทำอะไร?

เป็นคำถามที่เราถามตัวเองอยู่หลายครั้งตลอดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ใครๆ ก็บอกว่าเกาหลีใต้ไม่มีอะไรน่าสนใจ มีแต่ความทันสมัย โบราณสถานเก่าแก่ก็ไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ แล้วเราจะไปทำไม หลังจากที่เคยไปฮ่องกงมาแล้วไม่ค่อยประทับใจ เราก็พยายามเลี่ยงประเทศที่มีความเป็นเมืองจ๋ามากเป็นพิเศษ

แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็อยู่ที่ราคาตั๋วเครื่องบิน เมื่อเราใช้แต้ม Big Shot ของแอร์เอเชียแลกมาได้ในราคาไป-กลับไม่ถึงสี่พันบาท ถูกมาก (อยากใส่ ก ซักร้อยตัว) บินไปเยี่ยมเพื่อนและเดินเล่นชิลล์ๆ ซัก 3-4 วันก็คงไม่เป็นไร

และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของรีวิวกึ่งบันทึกการเดินทางตอนนี้

‘See Saw S E O U L ฉันมาทำอะไรที่นี่?’

แล้วเกาหลีใต้มีอะไร (วะ)

เป็นคำถามที่ยังวนอยู่ในหัวเรื่อยๆ ตั้งแต่วันที่จองตั๋วจนกระทั่งวันเดินทาง ทริปนี้เราแทบไม่ได้วางแผนอะไรเลย นอกจากการเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองและแผนเที่ยววันแรกแบบคร่าวๆ ส่วนที่พักเพื่อนก็จัดการจองให้

แต่อย่างน้อยทริปนี้ก็อุ่นใจเพราะมีเพื่อนรออยู่ที่นู่น

ยิ่งใกล้วันเดินทางข่าวการแพร่ระบาดของไวรัส MERS ก็ดูน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกเรายอมรับว่ากังวลเหมือนกัน แต่เพื่อนก็ยืนยันว่าคนที่นู่นยังใช้ชีวิตกันปกติ การระบาดยังจำกัดอยู่แค่ในโรงพยาบาล ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่สื่อไทยนำเสนอ เราก็เลยมั่นใจขึ้น แต่ก็เตรียมหน้ากากอนามัยกับเจลล้างมือติดไปด้วย


เราไปถึงสนามบินก่อนเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งและทำเว็บเช็คอินมาก่อนก็เลยไม่ต้องต่อแถวเหมือนคนอื่นๆ คืนนั้นไฟล์ท XJ700 ของแอร์เอเชียน่าจะเป็นไฟล์ทสุดท้ายแล้ว สนามบินดอนเมืองตอนดึกๆ ค่อนข้างเงียบเหงา เพราะร้านค้าส่วนใหญ่จะปิดประมาณเที่ยงคืน

การเดินทางไฟล์ทกลางคืนเป็นอะไรที่ง่วงมาก เราอุตส่าห์เลือกที่นั่งริมหน้าต่างเพราะตั้งใจจะตื่นมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น แต่ปรากฏว่าถ่ายไปได้ไม่กี่รูปก็รู้สึกตัวอีกทีตอนที่ล้อเครื่องบินสัมผัสรันเวย์ที่สนามอินชอนแล้ว




ทริปนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราเดินทางคนเดียวและเกาหลีใต้ก็มีชื่อเสียงเรื่องความเข้มงวดของการตรวจคนเข้าเมือง เราก็เลยอดหวั่นใจไม่ได้ว่าจะถูกส่งตัวกลับหรือเปล่า แม้จะยังงงๆ ว่ามาทำอะไรที่นี่ แต่การถูกส่งตัวกลับตั้งแต่มาถึงคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

ยินดีต้อนรับสู่ประเทศเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการ

เราผ่านตม. มาอย่างง่ายดาย โดยที่ไม่ต้องตอบคำถามอะไรเลย เอกสารการทำงานที่เตรียมมาก็ไม่ต้องใช้ จากสนามบินอินชอนเราเข้าเมืองโดยใช้รถไฟ Airport Railroad หรือ AREX ทางเดินไปยัง Incheon Airport Station สังเกตง่ายๆ จะมีป้ายตัวอักษรสีเหลืองบอกทางเป็นระยะ ระหว่างทางจะมีร้าน 7-Eleven ซึ่งเราสามารถซื้อบัตร T-Money ได้ที่นี่

และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราเกิดอาการช็อคกับภาษาอังกฤษสำเนียงเกาหลี เราถามพนักงานในร้านว่าสามารถเติมเงินในบัตรได้เลยหรือเปล่า พนักงานพูดมาประโยคหนึ่งยาวมาก แต่เราฟังออกแค่คำเดียวจริงๆ ‘Machine’ เป็นอันเข้าใจตรงกันว่าเราต้องไปเติมเงินที่เครื่องอัตโนมัติหน้าสถานีรถไฟ


เราเลือกนั่งรถไฟ Airport Railroad แบบ Commuter ซึ่งจอดทุกสถานี เพราะเทียบเวลาแล้วไม่ต่างจากแบบ Express เท่าไหร่ มีขบวนรถบ่อยกว่า ประหยัดกว่า และที่สำคัญสามารถจ่ายด้วยบัตร T-Money ได้ด้วย สถานีปลายทางของ Airport Railroad จะอยู่ที่ Seoul Station

พอถึง Seoul Station เราต้องต่อรถไฟเพื่อเอากระเป๋าไปเก็บที่ที่พักเสียก่อน ตอนนี้เราเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมใครๆ ถึงเลือกใช้ Airport Bus มากกว่า ขนาดเราเปลี่ยนสายแค่ต่อเดียวยังเดินลากกระเป๋าซะเหนื่อย สถานีจะกว้างไปไหน แถมยังหลงอีกต่างหาก เดินตามป้ายอยู่ดีๆ ขึ้นมาโผล่บนดินได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่เราโชคดีที่มีเพื่อนช่วยบอกทางก็เลยไม่เสียเวลามาก แค่ถ่ายรูปส่งไปก็รู้เลยว่าอยู่ส่วนไหนของสถานี


ที่พักของเราอยู่แถวมหาวิทยาลัย Hankuk University of Foreign Studies ราคาก็เลยสบายกระเป๋า ประหยัดได้เยอะมาก ตอนที่เราไปถึงเจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาอังกฤษได้ไม่อยู่ มีแต่ป้าที่พูดเกาหลีแบบ Native Speaker คือเราไม่ได้ภาษาเกาหลีเลยนอกจาก ‘อันยองฮาเซโย’

$#%&^*M>$&N%@#?

มันเป็นเวลา 30 นาทีที่ยาวนานแล้วก็มึนมาก คนหนึ่งพูดเกาหลี อีกคนหนึ่งพูดอังกฤษ ที่เหลือก็ภาษามือล้วนๆ (ที่จริงถ้าเราพูดภาษาไทยไปก็น่าจะไม่มีผลอะไร) เพื่อนเราอุตส่าห์พิมพ์ข้อความภาษาเกาหลีส่งมาว่าถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้โทรไป จะช่วยแปลให้ แต่ป้าก็ไม่สนใจ คือหน้าเรายังงงไม่พอหรืออะไรก็ไม่รู้

ป้าพาเราไปดูห้องพัก ห้องครัวและที่ทิ้งขยะ ก่อนจะให้เราเลือกว่าจะเอาห้องแบบไหนระหว่างห้องน้ำในตัวกับห้องน้ำรวม หลายคนคงสงสัยว่าแล้วจะบอกถูกได้ยังไงในเมื่อพูดกันละภาษา เรื่องนี้ต้องยกนิ้วให้ป้าจริงๆ รูปวาดสี่เหลี่ยมซ้อนกันสองอันกับสี่เหลี่ยมอันเดียว อยากได้ห้องแบบไหนก็ชี้ได้เลย

เราเลือกห้องพักแบบที่มีสี่เหลี่ยมซ้อนกันราคาคืนละ 15,000 วอนหรือ 450 บาท หลังจากนั้นป้าก็สอนวิธีตั้งรหัสเปิด-ปิดประตู ถึงวันนี้เราก็ยังงงๆ ว่าตอนนั้นเข้าใจไปได้ยังไง

4 ชั่วโมงแรกที่เกาหลีใต้ บอกเลยว่าเหนื่อยมาก

แต่ก็ต้องขอบคุณป้าที่อดทนกับเราจริงๆ ไม่มีเหวี่ยงวีนอะไรเลย ทั้งที่พูดอะไรมาเราก็ทำหน้างงตลอด จำได้ว่าพูด Sorry ไปนับครั้งไม่ถ้วน


มื้อแรกที่โซลเราเลือกร้านอาหารแถวๆ ที่พัก เพราะว่าหิวมาก และหลังจากที่เล็งแล้วว่าร้านนี้มีรูปให้ชี้ได้ชัวร์ เราก็รีบเข้าไปสั่งอาหารทันที เพราะถ้าต้องสั่งเป็นภาษาเกาหลีอีก วันนั้นคงจะไม่ได้กินแน่ๆ

ด้วยความที่มีความรู้เรื่องเกาหลีน้อยมาก เมนูที่เราสั่งก็เลยเป็นข้าวยำเกาหลีหรือ Bibimbap อาหารเกาหลีเพียงไม่กี่อย่างที่เรารู้จัก เบสิคสุดๆ แต่รสชาติก็พอใช้ได้ ร้านนี้เป็นร้านแฟรนไชส์ที่อยู่หลายสาขาชื่อว่า Shinpo Woori Mandoo


ตามแผนคร่าวๆ วันแรกเราจะไปพระราชวัง Gyeongbokgung กับหมู่บ้าน Bukchon Hanok ซึ่งเราจะต้องไปเปลี่ยนรถไฟเป็นสายสีส้มที่สถานี Jongno 3-ga และแน่นอนว่าเรานั่งเลย เพราะมัวแต่โซเซียลอยู่ มารู้ตัวอีกทีก็ถึงสถานี City Hall แล้ว

ไม่เป็นไร ยังพอมีเวลา (มั้ง)

เรานั่งรถไฟย้อนกลับไปหนึ่งสถานีแล้วก็เดินออกไปด้วยความมั่นใจ แต่ทำไมสถานีเล็กจัง? คือเราลงผิดสถานีอีกแล้ว สำหรับมือใหม่อย่างเรา วิธีที่ง่ายที่สุดเวลานั่งรถไฟที่โซลก็คือดูที่ป้าย (จะมีชื่อสถานีถัดไปเป็นภาษาอังกฤษด้วย) เพราะเสียงประกาศค่อนข้างเบา แล้วคนบนรถไฟก็ไม่ได้นั่งกันเงียบๆ เหมือนที่ญี่ปุ่นซะด้วย

และถ้าคิดจะฟังเสียงอย่างเดียวก็ต้องแน่ใจว่าสามารถแยกความต่างของชื่อสถานีที่ออกเสียงคล้ายๆ กันได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่เราแน่ๆ



เราไปถึงพระราชวัง Gyeongbokgung ตอนบ่ายสามโมง ทันพิธีเปลี่ยนเวรยามของทหารที่ประตู Gwanghwamun พอดี เราตั้งใจมากที่จะมาถ่ายรูปที่นี่ เพราะคิดว่าทหารในเครื่องเเบบโบราณจะทำให้อินกับอะไรที่เป็นเกาหลีขึ้นมาบ้าง แล้วเราก็อินจริงๆ ตามประสาคนที่ชอบชุดประจำชาติ ถ้าไปเที่ยวไหนแล้วไม่ได้ถ่ายรูปอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศนั้นๆ เหมือนไปไม่ถึงยังไงก็ไม่รู้






วันแรกเรามีเวลาเที่ยวค่อนข้างน้อย เพราะกว่าจะออกจากสนามบินและเอากระเป๋าไปเก็บที่ที่พักก็หมดไปครึ่งวันแล้ว เราก็เลยไม่เข้าไปชมด้านในของพระราชวัง แต่เลือกไปเดินเล่นที่หมู่บ้าน Bukchon Hanok แทน



เราเดินออกไปทางประตูด้านซ้ายของพระราชวัง ก่อนจะเดินเลียบกำแพงไปเรื่อยๆ ตอนนั้นแดดร้อนมาก จะเดินไปไหนก็ไม่รู้ ตามรีวิวที่เคยอ่านเจอบอกว่าให้เดินตัด National Museum of Modern and Contemporary Art (MMCA) และถนน Samcheong-dong ไปจะมีอาสาสมัคร Tourist Information



หลังจากเดินไปได้ซักพัก เราตัดสินใจถามทางกับเจ้าหน้าที่ซึ่งน่าจะเป็นของพระราชวังว่า หมู่บ้าน Bukchon Hanok ไปทางไหน แต่การออกเสียงของเราคงจะดีเกินไปเลยไม่ได้คำตอบ แถมยังได้หน้าเหวี่ยงๆ กลับมาด้วย เราไม่คิดมาก่อนจริงๆ ว่าการมาเที่ยวเกาหลีใต้แบบไม่ได้เตรียมตัวจะเหนื่อยขนาดนี้

เรามาทำอะไรที่นี่? ร้อนก็ร้อน พูดอะไรกับใครก็ไม่รู้เรื่อง

ตอนแรกเราลังเลว่าจะไปต่อดีรึเปล่า แต่ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว เดินไปอีกนิดคงไม่เป็นไร แล้วเราก็เจออาสาสมัคร Tourist Information จริงๆ ด้วย น้องเค้าให้ไกด์บุคเรามาหนึ่งเล่ม พร้อมกับอธิบายรายละเอียดเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดเจน เฮ้อ อย่างนี้ค่อยยิ้มได้หน่อย

เราขอไม่พูดถึงประวัติของหมู่บ้าน Bukchon Hanok เพราะว่าไม่มีความรู้จริงๆ เราจำได้แค่ว่าคำว่า Bukchon มีความหมายว่าหมู่บ้านทางตอนเหนือ ตามตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้านที่อยู่ทางทิศเหนือของอะไรซักอย่าง แต่ที่เราได้เห็นมาก็คือย่านนี้มีร้านเก๋ๆ ฮิปๆ น่านั่งเยอะมาก



แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่