Fansipan Mountain, Sapa Village, North Vietnam

อีกหนึ่งการเดินทางที่สำคัญท่ามกลางธรรมชาติดิบสำหรับผู้มีประสบการณ์ ในราคาหลักพันแบบเบ็ดเสร็จ
ถ้าถามว่าคุ้มราคามั้ย ลองดูรีวิวก่อนแล้วผมขอถามคุณกลับว่า อะไรคือเหตุผลที่จะไม่ไป


สำหรับอรรถรสที่มากขึ้นในการรับชม
สำหรับคนอ่านจากคอมตั้งโต๊ะ/โน๊ตบุค

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ






อะ! เข้าเรื่องกันดีกว่า
ขอต้อนรับทุกท่านพบกับ

FANSIPAN MOUNTAIN

แห่งหมู่บ้านซาปา เวียดนามตอนเหนือ








จริงๆแล้วเวียดนามตอนเหนือนั้นมีสถานที่ที่น่าสนใจมากมายสำหรับนักเดินทางตัวจริง แต่กระทู้นี้ผมจะขอหยิบยกพูดถึงเรื่องภูเขานี้เท่านั้น สำหรับภูเขาลูกนี้นะครับ Fansipan Mountain อยู่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ได้รับสมยานามว่าเป็นหลังคาแห่งอินโดจีน (Indo-China) หลายคนสงสัยซึ่งผมก็เคยสงสัยว่าอะไรคืออินโดจีน ก็ได้ยินกันมาตั้งแต่เด็กแล้วแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ประเทศหรือเปล่า ก็ไม่ใช่... มันคือกลุ่มประเทศที่อาศัยอยู่บนคาบสมุทรของแผ่นดินจีนใหญ่ที่เคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศสเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งคำว่าอินโดจีนนั้น ประกอบไปด้วย 3 ประเทศนั่นก็คือ กัมพูชา เขมร และก็เวียดนาม

นั่นหละครับ Fansipan คือภูเขาที่ใหญ่และสูงที่สุดของคาบสมุทรอินโดจีนนั่นเอง มีความสูงถึง 3,143 เมตร เมื่อเทียบกับภูกระดึงของเรา 1,316 เมตร กลายเป็นจู๋เด็กไปเลยทีเดียว ด้วยระยะทางที่ไกลกว่าเกือบ 3 เท่านั้นยังไม่พอ เส้นทางยังเดินยากกว่าภูกระดึง ชันกว่าภูกระดึง อันตรายกว่าภูกระดึง อีกมากโข ตลอดเส้นทางการเดินไม่มีทางเดินที่สวยหรู ไม่มีร้านขายของแวะตามชั้นต่างๆ ไม่มีป้ายบอกทาง เอางี้ดีกว่า "ไม่มีอะไรเลย"

เพื่อนๆผมมันก็ถามนะ นุ่มนิ่มอย่างจะไปไหวหรอวันๆสูบแต่บุหรี่ แค่ภูกระดึงนี่ก็ลิ้นจะห้อยขาจะหลุดกันอยู่แล้ว พอเพื่อนๆผมรู้สาเหตุว่าทำไมผมถึงกล้าไปพิชิตเขาฟานซีปันพลันเป็นตกใจ 55+ เพราะตอนแรกผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมันเลยครับ รู้แค่ว่าต้องไปดูให้ได้ เคยได้ยินแต่ชื่อแต่ไม่รู้สรรพคุณเพราะไม่ได้ทำการบ้าน การท่องเที่ยวอันยาวนานทั่วประเทศเวียดนาม ผมเลือกเอาเขาฟานซีปันมาเอาไว้สุดท้าย ประจวบกับกลางทริปผมมอไซล้มหัวเข่าทรุดเลือดออกด้วย เพราะฉะนั้นผมจะบอกทุกท่านว่า แม้มันจะฟังดูน่ากลัว แต่ถ้าผมผ่านมาได้ ใครก็ผ่านได้ครับ ใจเท่านั้นล้วนๆ

เล่ามาถึงตรงนี้ ขอพูดข้อดีสั้นๆหน่อยดีกว่า ทำไมต้องไปลำบากขนาดนั้น คำตอบนี่ก็ง่ายมากครับ เพราะสิ่งที่คุณเห็นข้างทางนั้น มันไม่มีคำบรรยายเลยจริงๆ นี่เราไม่ได้พูดถึงนักท่องเที่ยวมือสมัครเล่นที่ขับรถลั้นลาไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่นะครับ เราพูดถึงคนที่ต้องการตามหาทิศนียสววรค์ ตามหาภาพที่เกินกว่าจะบรรยาย ภาพที่จะนั่งมองเฉยๆแล้วไม่ต้องคุยกับใครได้เป็นวันๆ เป็นเดือนๆ นี่หละครับ ผมขอแนะนำที่นี่เลย ยิ่งไกลยิ่งอลังการ ยิ่งสูงยิ่งสวย ความฝันสมัยเด็กๆที่อยากจะกระโดดกัดก้อนเมฆ คุณสามารถทำได้เต็มๆเลยกับทริปนี้ เพราะเมฆอยู่แค่บั้นเอวของภูเขา คุณต้องเดินผ่านชั้นเมฆหนาๆขึ้นไป เป็นประสบการณ์ที่ ไม่ว่าเท่าไหร่ก็ต้องยอมจ่ายสักครั้งในชีวิต แต่คุณต้องจ่ายเพียงแค่...

9,000 บาทเท่านั้น


มาสรุปกันง่ายๆ หาตั๋วไปเครื่องบินให้ถูกที่สุดไปกลับภายในราคา 5-6 พันให้ได้ บินตรงไปลง Hanoi จากนั้นนั่งรถไฟในตัวเมืองขึ้นเมือง Sapa Village ทางขึ้นเขาอยู่ยอดดอยของหมู่บ้านนั่นเอง คุณยังต้องจ้างนักเดินทางชาวม้งผู้ชำนาญและรอบรู้อีกหนึ่งคน อันนี้ไม่ใช่คำแนะนำแต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่งั้นเดี้ยงนอนเป็นปุ๋ยอยู่ในป่าแน่นอน แต่พอจ้างเขาแล้ว ไม่ว่าคุณจะไร้ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติเท่าไหร่ คุณก็จะปลอดภัยไม่ต้องห่วง ค่าเช่านักเดินทางรวมกับมีลูกหาบคอยหาบอาหารและที่นอนให้คุณด้วย ราคาต่อคนอยู่ 3-4 พันเท่านั้น ส่วนสัมภาระคุณ คุณต้องแบกเอง ถ้าไม่อยากแบกทั้งหมด ก็ต้องหาที่ฝากกระเป๋าตามโรงแรมก่อนขึ้นมาเดินทาง ใช้ระยะเวลาได้หลายแบบตามความสามารถ มีแบบ 2 วัน 3 วัน 5 วัน (เพราะความโง่ของผมบวกกับไม่มีเวลา ผมเลือก 2 วัน เกือบไปนอนเป็นอาหารหมูแล้ว) แต่ถ้าถามว่าคุ้มมั้ย... โอยยยยยยยยยยยยยย ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆไม่มีแล้ว เพราะบนเขาเงินเป็นเหมือนทิชชู่ ไม่ต้องใช้เงินสักบาท ขึ้นไป-ลงมา กลับสนามบิน กลับไทย งบทั้งสิ้น 10,000 บาท แค่ 10,000 บาท กับได้เห็นสวรรค์ โหถูกจะตาย

นอกจากคุณจะเป็นนักเดินทางสมัครเล่น อะไรคือเหตุผลที่จะไม่ไป?









การเดินป่าขึ้นยอดเขาฟานซีปันในครั้งนั้น เป็นประสบการณ์ล้ำค่าครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ส่งผลต่อชีวิตผมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ความโดดเดี่ยวท่ามกลางป่าหนาวเย็นและเส้นทางทรหดมันกดดันบีบคั้นความอดทนเรา เหมือนมันจะมากระซิบข้างๆหูว่า "ไหวมั้ย.. ไม่ไหวใช่มั้ยหละ ไม่ได้ชอบมันจริงๆใช่มั้ย ไม่ไหวก็รีบๆขึ้นและลงๆไปซะ เสียเวลา"

ขณะที่ผมอยู่ระดับความสูง 5 กม. จากตีนเขา ผมทรุดตัวลงนั่งกับขอนไม้ นั่งนิ่งๆเงียบๆอยู่คนเดียว ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังมาก เสียงหายใจเข้าออกรุนแรง เพื่อนร่วมทางต่างเดินลุดหน้ากันไปไกลบ้าง บางส่วนก็รั้งอยู่ข้างหลังไกลจนมองไม่เห็น ถ้าเป็นภูกระดึงนี่เราก็ใกล้จะถึงยอดแล้ว แต่นี่ยังไม่ถึงครึ่งทางของฟานซีปันเลย มันไม่มีทางราบให้เดินเล่น มันไม่มีร้านค้าขายของ มันไม่มีลูกศรชี้ทาง หลงคงจบกัน ผมเหลืออีก 7 กม. และฟ้าก็ใกล้ค่ำลงไปทุกที

ในระดับที่สูงขึ้นไปอีก ผมขึ้นไปอยู่เหนือชั้นเมฆชั้นที่สอง ผมมองลงมาข้างล่างเหมือนตัวเองเป็นเทวดา เป็นพระเจ้าผู้สร้างโลก ผมนึกถึงผู้คนจำนวนมาก สิ่งมีชีวิตที่กระจายตัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง โลกนี้มันช่างใหญ่เหลือเกิน

ในภาพความคิดที่แล่นเข้ามาในหัวมากมาย มีภาพหนึ่งที่มันสะกิดใจ ผมเห็นภาพคนรอบข้างในชีวิตที่ผ่านมาในวัยเด็ก ในวัยรุ่น ในวัยโต ในวัยทำงาน ผมถามตัวเองว่าทำไมชีวิตต้องเกิดมาเจออะไรกันซ้ำๆ มาชอบอะไรซ้ำๆ มาผิดพลาดอะไรซ้ำๆ มันดูเสียเวลาเหลือเกิน สิ่งที่เราคิดว่าใหม่ สิ่งที่เราคิดว่าใช่ มันมีคนย่ำมาก่อนแล้ว มันมีคนลองมาก่อนแล้วไม่รู้กี่ต่อกี่คน

"อะไรกันนะ ที่มันจะเป็นทางลัดให้เราออกประตูสุดท้ายได้เลย"

แล้วผมก็เห็น... ผมเห็นพวกเขาเหล่านั้นตะเกียกตะกายจะเป็นในสิ่งที่ตัวเองฝันจะเป็น ทำในสิ่งที่อยากทำ ไปในที่ที่อยากไป ผมเห็นแรงปรารถนาเหล่านั้น ผมเห็นความฝันที่ไม่มีวันจบสิ้น ผมเห็น...

คนที่เตรียมตัว คนที่ตักตวง เพื่อฝัน กับคนที่ลงมือทำฝันเลย

คนเรามันก็ต่างกันแค่นี้จริงๆแค่ ทำ หรือ ไม่ทำ



MORE ON



by storyteller
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่