เขียนลงใน Blog อยากชวนคุย ดูแลมาคุยกันครับ

ก่อนอ่านขอเตือนก่อนว่าสปอยล์สุดขีด ใครยังไม่ได้ดู ไปดูเสียเถิด หนังสนุกมากๆ ครับ ผมให้ประมาณ 9 - 9.5 เป็นหนังที่บันเทิงก็สนุก ดูแบบคิดไปด้วยก็สนุกมีความลึกพอสมควร สนุกดีครับ ไปดูกัน



โอเช เข้ามาถึงรีวิวของกระผมกันแล้ว ...

ผมค่อนข้างมั่นใจว่าหนังเรื่องนี้มีอะไรมากกว่าความเป็นหนัง Action แบบยุคหลังโลกาวินาศ ก็ตอนที่หัวหน้าตัวร้ายให้หมอผ่าดูลูกว่า ลูกเป็นอย่างไร "สมบูรณ์แบบ" หมอบอก !

Mad Max : Fury Road เป็นหนังที่ว่าด้วยความหมายของการมีชีวิตอยู่ ในโลกที่มันไม่มีอะไรให้เราได้จับยึด ถ้าวันหนึ่งสิ่งที่คุณยึดถืออยู่เป็นสรณะมันได้หายไปหมด กฏระเบียบ ค่านิยม จารีต ไม่มีเหลืออยู่อีกแล้ว คุณจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ? สิ่งที่หนังเปิดมาตอนแรก ทำให้ขบคิดได้อย่างน่าสนใจว่าในโลกที่ไร้กฏ คุณจะมีชีวิตอยู่ยังไง บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องของความบ้าต่างหากที่ทำให้แต่ละคนยังมีชีวิตอยู่ได้

ตอนแรกผมก็คิดว่า ความบ้าที่ว่าหมายถึงความบ้าบอ ไม่มีสติ ไม่สมประดี แต่จริงๆ แล้วความบ้าที่หนังค่อยๆ เผยให้เราเห็นมาทีละน้อยๆ นั้น ความบ้าของ Mad Max คือ ความบ้าที่บุคคลหนึ่งๆ เชื่อว่า มนุษย์ เกิดมาแล้วต้องมีหน้าที่ในการทำอะไรสักอย่างมันถึงจะมีความหมาย หากปราศจากสิ่งให้จับยึดแล้ว มนุษย์ก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม นี่แหละคือความบ้าของ Fury Road

ทุกตัวละครในเรื่องต่างไขว่ขว้าหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ พระเอก และ นางเอก นิยามตัวเองผ่านความเป็นพ่อ แม่ พาเด็กๆ ไปให้ถึงสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าสิ่งนั้นจะหมายถึงการที่ชีวิตของพวกเขาจะต้องสูญไปก็ตาม

เด็กตัวขาว Warboy ต่างพยายามเติมเต็มความเชื่อที่ว่า ทำดีที่สุดเพื่อท่านผู้นำ เพื่อที่ตัวเองจะได้ไปสวรรค์ ความหมายของชีวิตคือการได้ตายอย่างสมศักดิ์ศรี และ นั่นหมายถึงการตายเพื่อท่านผู้นำ

ท่านผู้นำ ซึ่งในตอนแรกดูเป็นคนที่บ้าบอไร้เหตุผล เอาคนมากมายมาไล่ล่าสาวงามในฮาเร็มไม่กี่คน เพื่ออะไร ! แต่แล้วหนังก็พาเราไปถึงจุดที่ว่า ท่านผู้นำไม่ได้มาตามสาวงามกลับบ้าน แต่สิ่งที่เขาเชื่อก็เช่นเดียวกับที่ Max และ นางเอกเชื่อก็คือ คนรุ่นต่อไป ท่านผู้นำเชื่อในการสร้างความสมบูรณ์แบบแก่ลูกๆ ในขณะที่ Max และ นางเอกเชื่อในการให้ลูกๆ มีความอิสระ

ประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ความเป็นพ่อแม่ในเรื่องนี้ค่อนข้างโดนใจคนสามสิบกว่าๆ อย่างผมที่ไม่มีลูก มันพูดถึงความรู้สึกที่ว่าในโลกที่เส็งเคร็งที่สุด ถ้าบุคคลจะให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีคุณค่าแทบเท่าชีวิตของเขามันก็คือคนรุ่นต่อไปนี่แหละ มันคือลูกนี่แหละ ตัวตายไม่ว่า แต่ขอพาลูกไปสู่จุดที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะคนรุ่นต่อไปคืออนาคต ลูกคือความฝัน ความหวัง คือความหมายของชีวิตของพ่อแม่ มันดูเข้าใจได้

หนังเรื่องนี้ยังซ้อนประเด็นเรื่องอัตลักษณ์อีกสองเรื่อง เรื่องที่หนึ่งคือ ในโลกที่แล้งไร้ ผู้ชายเลือกที่จะสร้างโลกด้วยความรุนแรง การสร้างโครงสร้างขึ้นมาใหม่ (โลกของปิตุลักษณ์ พ่อเป็นใหญ่ โลกแห่งการเอาชนะกัน) ในขณะที่ผู้หญิงเลือกที่จะอยู่กับโลก และให้ความรัก เลือกที่จะเชื่อว่า มนุษย์สามารถให้ความหวังกับโลกได้ เหมือนความรักของแม่ ที่รักลูกทุกคน ไม่ได้ต้องเอาชนะกัน ทุกคนเป็นลูกของแม่

เรื่องที่สองคือการวิวัฒน์ในเชิงตัวตนของ Warboy ที่ตกหลุมรัก Warboy คนนี้ใช้ชีวิตเพื่อเติมเต็มอัตลักษณ์ของตัวเอง ตลอดทั้งเรื่อง ในช่วงแรกเราจะเป็นเขาพร้อมจะตาย เพื่อท่านผู้นำ นั่นเป็นสิ่งที่เขาเชื่อ เขาพาตัวเองไปสู่สถานการณ์แห่งการตายที่มีเกียรติหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จสักที แต่เขาใช้ชีวิตแบบ Warboy ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ในขณะที่ตอนหลังตัวตนเขาเปลี่ยนไป เขาพบผู้หญิงที่เขารัก เขาค้นพบความหมายที่แท้จริงในการมีชีวิต ผ่านความรัก การกระทำในตอนสุดท้ายทำไปเพื่อความรักไม่ใช่การกระทำเพื่อให้คนอื่นยอมรับ เขาถึงพูดอย่างภูมิใจว่า "ดูฉันนะ" ในฉากสุดท้ายของชีวิต เขาได้ค้นพบตัวเองแล้ว เขาพบคุณค่าของตนเองแล้ว (เชื่อว่าหลายคนน้ำตาคลอเบ้ากับฉากนี้แน่นอน)

จริงๆ แล้วไม่ต้องรอให้โลกเข้าสู่ยุคโลกาวินาศ เราก็เกิดคำถามเหล่านี้กับตัวเองอยู่แล้ว ผมเชื่อว่าเราส่วนใหญ่ใช้ชีวิตตามสิ่งที่เราคิดว่าเรามีคุณค่า เราควรจะเป็น ซึ่งบางทีคุณค่าเหล่านั้นมันเป็นคุณค่าที่คนอื่นให้เรามา และเราใช้ชีวิตไปตามนั้นอย่างไม่รู้ตัว หนังเรื่องนี้ทำให้ผมได้หยุดคิดถึงการใช้ชีวิต และ จุดยืน ผมอยากจะเป็นเหมือน Warboy ที่ค้นพบว่าแท้จริงแล้ว คุณค่าของเราคืออะไรกันแน่

Blog ผมครับ http://goo.gl/joDSWg