นิยาย จันทร์เสี้ยว เขี้ยว วิญญาณ - บทที่ 7 - (โดย เพอฟูเม่ )

กระทู้สนทนา
เป็นการเริ่มต้นของการเขียนนิยาย ไม่ได้เก่งกาจ วาดหวังไว้สูงนัก และแต่งขึ้นจากจินตนาการ มิได้คิดพาดพิงหรือ บิดเบือนความจริงจากเรื่องใดๆนะคะ ( เป็นเรื่องสมมุติขึ้นเท่านั้นนะคะ)
บทแรก การค้นพบ http://pantip.com/topic/32121665
บทที่     -1-        http://pantip.com/topic/32130617
บทที่     -2-        http://pantip.com/topic/32148915
บทที่     -3-        http://pantip.com/topic/32184172
บทที่     -4-        http://pantip.com/topic/32239301
บทที่     -5-        http://pantip.com/topic/32263899
บทที่     -6-        http://pantip.com/topic/32293033

                                                                            จันทร์เสี้ยว เขี้ยว วิญญาณ
                                                                             
                                                                                        บทที่ 7


     “ พี่พสุ “ เสียงทักดังขึ้นมาทันทีที่พสุก้าวพ้นประตูบ้านเข้ามา
     “ อ้าวนที เป้ “
     “ นี่ถ้าไม่รู้ว่าพี่โสดนะ หายไปข้ามวันข้ามคืนอย่างนี้มีเฮแน่เนอะ “ สองหนุ่มวัยรุ่นกระเซ้าพี่ชายที่เดินหน้าเครียดเข้ามา
     “ เมื่อวานไปฝึกงานวันแรกเป็นไง “ พสุไม่สนใจคำแซวจากน้องๆ
     “ เยี่ยมไปเลยครับ ที่สถาบันนะ เครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยมาก ห้องวิจัย ห้องlab ที่เจ๋งสุดก็ดร.กรชวัลมาปฐมนิเทศเองเลย แถม........เจ้าของสถาบันยังสวยสุดๆ “ เป้พูดไปทำหน้าเคลิ้มเมื่อนึกถึงหน้าของแสงจันทร์
     “ ข้ามรุ่นไปเปล่าวะ พี่พสุกินอะไรมายังครับ พวกผมซื้อก๋วยเตี๋ยวมากินกัน พี่เอาอะไรไหมพี่ ” นทีเบรกเพื่อนสุดตัวก่อนจะหันไปถามพี่ชายที่หน้าตาอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด
     “ ขอบใจนะ แต่ตอนนี้ไม่ไหว ขอตัวไปอาบน้ำนอนเอาแรงหน่อย ไม่ได้นอนทั้งคืน “ ชายหนุ่มเดินเข้าห้องไปอย่างหมดแรง
นทีเป็นน้องชายเพียงคนเดียวของเขาแม้ว่าจะแตกต่างกันทางสายเลือดแต่ก็สนิทสนมกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ พ่อแม่ของนทีรับพสุมาเลี้ยงหลังจากหลวงปู่มรณภาพไป ส่งเสียเขาให้เรียน ให้ความรัก ความเมตตาเหมือนพสุเป็นลูกแท้ๆ จนเขาได้เรียนจบเป็นนายตำรวจ และหลังจากที่นทีสอบเข้ามช.เชียงใหม่ได้ไม่นานท่านทั้งคู่ก็จากไปเพราะอุบัติเหตุ ดังนั้น นทีจึงเป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่
         “ เฮ้ยนที แกโชคดีชะมัด ได้ไปฝึกงานกับ ดร.กร อยู่ มีอะไรดีๆก็มาบอกกันมั่งนะเว้ย “
          “ คนหล่อก็ได้ไปฝึกงานกับคนหล่อ เรื่องธรรมดาอยู่แล้ว “ นทียักคิ้วให้เพื่อนทำนองเยาะเย้ย
         “ ไอ้นี่ยกหางตัวเองก็ได้ “

           เสียงคุยกันนอกห้องนอนดังเข้ามาพอให้ได้ยินเสียง ร่างของพสุที่นอนหลับใหลไปก่อนที่จะได้อาบน้ำ ภาพของวัดป่า ที่พสุเติบโตขึ้นมาเริ่มชัดเจนขึ้นในห้วงความคิดของเขา เด็กชายพสุที่เดินตามหลวงปู่เวลาท่านออกบิณฑบาตในทุกเช้า แต่ละย่างก้าวที่เดินตามหลวงปู่  
       “ พสุเอ๋ย คนดี คนชั่ว ต่างกันก็เพียงแค่ความคิด ดังนั้นทำอะไรต้องคิดให้มาก ใช้สติให้มาก และอย่าได้ยึดติด ว่าต้องใช่ ต้องเป็น ต้องมี นะ เปิดใจให้กว้าง รับฟังให้มาก ใจต้องหนักแน่น จำไว้นะพสุสงครามระหว่างความดี และความชั่วใกล้จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง และเมื่อวันนั้นมาถึงจงพร้อมที่จะเสียสละเพื่อคนอื่นๆนะ “  คำสอนแกมขอร้องของหลวงปู่ที่หันมากำชับกับเขาในตอนนั้น  จนเมื่อถึงวันที่หลวงปู่ท่านมรณภาพไป วัดป่าก็ต้องกลายเป็นวัดร้างไปโดยปริยาย
          “ ครับหลวงปู่ พสุไม่เคยลืมคำสั่งสอนเลยครับ “ ชายหนุ่มละเมอตอบ


    ที่โต๊ะอาหารวันนี้มีแขกที่แสนจะคุ้นหน้านั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย แสงตะวันไม่แปลกใจซักนิดที่เห็นเพื่อนสนิทนั่งยิ้มร่ารอเธออยู่
          “ ไง “ เธอทักพร้อมนั่งลงข้างๆเจ้าของบ้าน
          “ ไม่ไง ก็แค่...... มาหาข้าวอร่อยๆกิน  “ ชายหนุ่มทำท่าจะตอบแต่พอเห็นสายตาส่งรหัสลับเลยจำต้องเฉไฉไป
          “ ดีเลย ช่วงนี้มากินบ่อยๆก็ได้ ป๋าจะได้ไม่เหงา “ เจ้าของบ้านชักชวนอย่างเอ็นดู
          “ ได้ครับ....งั้นผมขอมาฝากท้องทุกเย็นเลยนะครับ ไปทานที่อื่นก็ไม่อร่อย ฝีมือจันทร์นี่ที่สุดอะ “
          “ ไม่ต้องเลย ไม่ต้องเลย เห็นพูดหลายครั้งแล้ว “ แสงจันทร์แย้งทันที
          “ โธ่ คนมันงานเยอะ เราก็ไม่อยากให้มีงานนะ “ ณรงค์ทำหน้าเศร้า เรียกเอาเสียงหัวเราะได้จากคนที่โต๊ะอาหาร

               หลังจากแยกย้ายกันจากโต๊ะอาหาร ณรงค์ฤทธิ์ และแสงตะวันก็แยกตัวออกมานั่งกันที่ศาลาในสวน แสงตะวันพอจะรู้ดีว่าที่เพื่อนมาวันนี้ไม่ได้มาทานข้าวเพียงอย่างเดียวแต่คงมาเรื่องคดีที่เธอมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วยแน่นอน
          “ เรื่องไปถึงไหนแล้ว “ เธอเริ่มการสนทนา
          “ ไม่คืบหน้าเท่าไหร่ แต่ล่าสุดไม่ค่อยดีนักนะสำหรับตะวัน “
          “ ทำไมละ เราก็ให้ปากคำไปแล้วนะ “
          “ ก็เพราะว่า ตะวันเป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยกับผู้ตายนะซิ “
          “ เอ้า .. แล้วมันหมายความว่าเราทำงั้นเหรอ  “ แสงตะวันหน้าถอดสีทันที ถ้าเพื่อนจะล้อเล่นนี่ก็คงแรงเกินไปสำหรับการล้อเล่น
          “ เราก็ไม่ได้หมายความแบบนั้น เพราะผลการชันสูตรออกมาแล้วว่ามันไม่ใช่ฝีมือมนุษย์ “
          “ ไม่ใช่มนุษย์ อะไร จะพูดให้ไม่งงได้ไหมเนี่ย เป็นผี ปิศาจ หรือไงกัน “ น้ำเสียงเริ่มขุ่นเขียว
          “  คืองี้  จากการตรวจศพโดยละเอียด ทั้งรอยฟัน น้ำลาย รอยเท้า เส้นขน สรุปได้ว่าผู้ตายโดนหนูรุมแทะทั้งตัวและน่าจะแบบทั้งเป็นด้วย  “
          “ อะไรนะ เป็นไปไม่ได้ อย่ามามั่ว “ แสงตะวันส่ายหน้าไม่เชื่อหูในสิ่งที่เพื่อนบอก
          “ จริงๆ  แถมที่ศพไม่มีร่องรายการถูกวางยาด้วย เพราะงั้นผู้ตายรู้ตัวทุกอย่างขณะโดนรุมแทะ ฟันธง “ หมวดหนุ่มมีท่าทีขึงขังขึ้นทันที
         “ งั้นมันก็ไม่เกี่ยวกับเราซิ “
          “ ก็ไม่เชิง เพราะตะวันเจอเขาเป็นคนสุดท้าย ตำรวจเลยยังไม่ทิ้งประเด็นอื่นด้วย เราเลยอยากให้ตะวันนึกดีๆ ว่าวันนั้นคุยอะไรกันบ้าง ท่าทาง สีหน้า แววตาผู้ตายเป็นไงบ้าง “ ณรงค์ท่าทีจริงจังมากขึ้นกับคำถามนี้

             แสงตะวันนิ่งนึกถึงวันที่เกิดเรื่อง เธอกับเชฟ อองตวน พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยเชฟหนุ่มเล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับอาหารแปลกๆ ลูกค้าที่แสนเรื่องมาก และวิธีการทำอาหารของเขา สายตาของอองตวนเวลาคุยเรื่องอาหารฉายแววประหลาดอยู่บ้างแต่เธอก็ไม่ได้สนใจนักเพราะเรื่องราวที่เขาเล่ามันน่าสนใจมากกว่า ในที่สุดแสงตะวันก็นึกบางอย่างออกมาได้ ในขณะที่เธอต้องขอแยกตัวออกมาเพื่อพบนักข่าว สายตาของเชฟอองตวนที่เขาจับจ้องมาที่เธอมันเหมือนกับเขาเจออาหารถูกใจก็ไม่ปาน
          “ มีอยู่อย่างนึงนะณรงค์ ตะวันไม่แน่ใจว่าจะสำคัญกับเรื่องนี้หรือเปล่านะ ตอนที่ตะวันขอแยกตัวออกมาเจอกับนักข่าวด้านนอก ตะวันเห็นสายตาของอองตวนเขามองตะวันแปลกๆ ตอนแรกตะวันไม่ได้คิดอะไรมากก็แค่นึกว่าเขาชอบตะวัน แต่พอมานึกดีๆ สายตามันไม่ใช่แบบชื่นชม แบบชอบพอกัน แต่มันแบบคนเจอของโปรด ของอร่อยที่น่ากิน อะไรทำนองนี้มากกว่า “ หญิงสาวลำดับภาพในหัวอย่างละเอียด ก่อนบอกเล่าอย่างมั่นใจในสายตาที่เธอเห็น

                เสียงเครื่องแก้วที่แตกกระจายบนพื้นทำเอาทั้งสองคนต้องหันไปดู คนที่ยืนด้านหน้าของศาลามีสีหน้าตกใจและแสดงความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด แสงตะวันกับณรงค์ฤทธิ์ หันมามองหน้ากัน เพราะเรื่องที่ทั้งสองพูดคุยกันเมื่อกี้นี้ แสงจันทร์คงได้ยินหมดแล้วแน่นอน
    มอเตอร์ไซค์ของณรงค์ขับออกไปจนพ้นสายตาของแสงตะวันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เธอกำลังรวบรวมคำพูดมาอธิบายให้พี่สาวของเธอได้ฟัง คราวนี้เธอคงต้องยอมรับความจริงกับแสงจันทร์ และคงต้องตอบทุกคำถามที่พี่สาวถามมา เพราะไม่อย่างนั้นแสงจันทร์คนดีของเธอคงต้องโกรธเป็นจริงเป็นจังและไม่ยอมสนใจใยดีน้องสาวอย่างเธออีกต่อไปแน่
          “ เอาตัวรอดคนเดียวเลยนะณรงค์ นี่หรือเพื่อนรัก รักกันไม่จริงนี่นา “
    แสงตะวันเดินกลับเข้ามาในบ้านอย่างหนักใจ สายตามองขึ้นไปยังชั้นบน ห้องนอนของแสงจันทร์คือที่หมายที่เธอจะต้องเข้าไป “ วันนี้เป็นไงเป็นกัน ดีกว่าให้จันทร์โกรธ แล้วไม่คุยด้วย “  

              ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับร่างบางๆของนางแบบสาวเดินก้าวเข้ามา ท่าทีนางพญาที่คนภายนอกเห็นได้หายไปไม่เห็นร่องรอยเหลือเพียงสาวน้อยที่กล้าๆกลัวๆในการเข้ามางอนง้อขอโทษพี่สาวอันเป็นที่รัก
          “ จันทร์ เรามาขอโทษ “  แสงตะวันเดินเข้าไปหาเจ้าของห้อง
          “ ตะวันจะมาขอโทษเราเรื่องอะไรหละ “ คนตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งถามกลับเสียงเรียบ
          “ โอเค โอเค จันทร์อยากรู้เรื่องอะไร ถามมา ตะวันสัญญา จะตอบคำถามทั้งหมด “
          “ แน่นะ “ น้ำเสียงยังคงราบเรียบ
         “ อื้ม แน่ซิ จันทร์เลิกโกรธตะวันนะ นะ “ แสงตะวันพยักหน้าถี่ๆ
         “ ตอบตรง ห้ามโกหก “ แสงจันทร์ถามย้ำกับน้องสาว
         “ สัญญาเลย “ สามนิ้วถูกชูขึ้นมาทันที
         “ งั้นเล่าเรื่องที่คุยกับณรงค์มาให้ละเอียดซิ ว่าเกิดอะไรขึ้น “
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่