[CR] +++ทริปใบไม่เปลี่ยนสี...Autumn in Japan+++

มีคนเคยบอกว่าไปญี่ปุ่น 4 ฤดู ก้อเหมือนไป 4 ประเทศ ถ้าไม่นับอุณหภูมิที่ต่างกันแล้วนั้น บรรยากาศ ต้นไม้ ใบหญ้า แม่น้ำลำธาร หรือไม่เว้นแต่สภาวะแวดล้อมต่างๆในทุกๆเมืองของญี่ปุ่น ล้วนเปลี่ยนผันไปตามฤดูต่างๆทั้งนั้น การเดินทางมาญี่ปุ่นครั้งนี้ เป็นครั้งแรกหลังจากที่ไม่เคยมีความคิดจะมาญี่ปุ่นเลยในชีวิต อาจเป็นความบัญเอิญหรือโชคชะตา ที่ทำให้ทริปนี้เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก้อตามการเดินทางทุกครั้งล้วนเพิ่มมุงมอง เปลี่ยนแง่คิดอะไรให้ใหม่ๆให้เราเสมอๆ ครั้งนี้ก้อเช่นกันจากความคิดที่ว่า "ญี่ปุ่นหรอ??? ก็งั้นๆอ่ะ" กลับกลายมาเป็นความประทับใจ ในวัฒนธรรม แนวคิด วิถีชีวิต ธรรมชาติ และนิสัยใจคอของคนญี่ปุ่น จนคิดในใจว่าครั้งนี้คงเป็นครั้งแรกและไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน

สืบเนื่องจากการมีชีวิตอยู่ในเมืองวุ่นวายมานาน จุดหมายการเดินทางหลักๆของทริปนี้ส่วนมากจะเป็นเมืองชนบท เน้นธรรมชาติ มากกว่าการเข้าเมืองใหญ่ๆ การเดินทางของเราเริ่มจาก OSAKA - KYOTO- GIFU - TOYAMA - TATEYAMA - MT. FUJI - TOKYO

เราเดินทางโดยสายการบินประจำชาติ ซึ่งมีไฟท์จากสุวรรณภูมิ (BKK) ถึงสนามบินคันไซ (KIX) ที่โอซาก้าวันละ 2 ไฟท์  เราเลือก TG662 ออกจากสุวรรณภูมิ 23.30 ถึงสนามบินคันไซ เวลา 07.00  ราคาตั๋ว TG ค่อนข้างที่จะสูงกว่าสายการบินอื่นๆนิดหน่อย แต่เมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ในการเดินทางแค่ 4 ชม (สายการบิน LOW COST ส่วนมาใช้เวลา  6 ชม) บวกความสะดวกสบายนอนพักในเครื่อง ถึงเช้าได้ออกเที่ยวเลย ก้อนับว่าคุ้มค่าที่จะจ่ายเพิ่มเลยทีเดียว

ถึงโอซาก้าเร็วกว่ากำหนดนิดหน่อย ผ่าน immigration ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เราเดินก้าวผ่านประตูอัตโนมัติออกจากสนามบินคันไซอย่างรวดเร็ว สัมผัสได้ถึงกลิ่นไอทะเล และอากาศที่เย็นกำลังดีของฤดูใบไม่ร่วง เพียงแค่ออกจากสนามบิน ก็ไม่แปลกใจเลยที่โอซาก้าจะเป็นจุดหมายยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของผู้มาเยือนญี่ปุ่น

โอซาก้าตั้งอยู่บนเกาะฮอนชู  ขื้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอันดับต้นๆของญี่ปุ่นเลยทีเดียวด้วยลักษณะตึกราบ้านช่องสูงระฟ้าเมื่อเดินทางผ่านใจกลางเมืองแห่งนี้ ประกอบกับจังหวะการเดินที่รวดเร็วของผู้คนที่นี่ แสดงให้เห็นถึงความเจริญเติบโตทางด้านเศรฐกิจ และความก้าวหน้าอย่างยากที่จะหยุดยั้งของเมืองแห่งนี้

ถึงโอซาก้าแล้วถ้าไม่มาเยือนปราสาทโอซาก้า ก้อคงเหมือนมาไม่ถึง วันที่เราไปคนค่อนข้างเยอะมาก จึงขอชมปราสาทแต่ภายนอกละกันนะคะ

ความโอ่อ่าใหญ่โตของปราสาทแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความรุ่งเรืองของญี่ปุ่นเมื่อครั้งอดีตกาล เมื่อกว่า 400 ปีมาแล้ว ปราสาทโอซาก้าถือเป็นศุนย์กลางทางการเมืองและการปรกครองของที่สำคัญของเมืองแห่งนี้มาจวบจนปัจจุบัน



จากปราสาทโอซาก้า เดินเล่นในตัวเมืองโอซาก้าซักนิด นั่งมองความวุ่นวายของทั้งผู้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว เราจึงเดินทางมาต่อกันที่เกียวโต ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมงโดยรถไฟ เสน่ห์ของเกียวโตนอกจากจะเคยเป็นอตีดเมืองหลวงอีกเมืองหนึงของญี่ปุ่นแล้ว เกียวโตยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัดวาอาราม ว่ากันว่าเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของศาสนาพุทธในญี่ปุ่นเลยที่เดียว วัดแรกที่เรามุ่งหน้าไปคือวัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji) หรือวัดเงิน หากใครเกิดทันการ์ตูนปุจฉา - วิสัชนา อิ๊กคิวซัง คงไม่มีใครไม่รู้กันวัดนี้เป็นแน่

จากอิ๊กคิวซังเลยค่ะ วัดนี้มีปราสาทองคำอยู่กลางน้ำ ซึ่งเงาของตัวปราสาทจะสะท้อนลงน้ำ ทำให้เหมือนกับว่ามีปราสาทอีกหลังนึงอยู่




บรรยากาศรอบๆวัด เป็นสวนญี่ปุ่น มีต้นไม้หน้าตาแปลกตาให้ได้ชมกัน อากาศเย็นๆ กับสีแดงสลับส้มของต้นไม้ใบหญ้า...มีความสุขแบบบอกไม่ถูก



จากวัดคินคะคุจิ อีกวัดยอดนิยมที่ผู้มาเยือนเกียวโตทุกคนต้องไปคือคือวัดคิโยมิสึ (Kiyomizu Dera) หรือที่คนไทยเรียกกันว่าวัดน้ำใส วัดนี้สร้างอยู่ข้างเนินเขาโดยมีท่อนซุงกว่าร้อยต้นรองรับตัวระเบียงวัดอยู่ ด้านใต้ตัวอาคารหลักมีน้ำตกโอตะวะ สามสายไหลมารวมกันลงสู่บ่อน้ำ คนญี่ปุ่นเชื่อว่าถ้านำถ้วยโลหะ มาตักน้ำจากบ่อดื่มจะช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง อีกทั้งจะทำให้ประสบความสำเร็จสามด้านคือ "อายุยืน ความรัก การศึกษา"  

เนื่องจากวัดคินคะคุจิตั้งอยู่ข้างเนินเขา การเดินเท้าขึ้นไปจากที่จอดรถค่อนข้างจะไกลและคนแน่นมาก แนะนำให้ไปช่วงเช้ามาก หรือช่วงเย็นไปเลยนะคะ ทางเดินในวัดค่อนข้างวงวน ส่วนมากจะเป็นบันไดขึ้นๆลงๆ อากง อาม่า ผู้สูงอายุอาจจะลำบางนิดนึงค่ะ









จากเกียวโต เราเดินทางต่อมาทางตะวันออกสู่จังหวัดกิฟู (Gifu)  ซึ่งการเดินทางมาที่กิฟูนั้น เหมือนกับการเดินทางย้อนเวลากลับไปในอดีตของญี่ปุ่น ถนนหนทาง ตึกราบ้านเมืองริมทางมันช่างดูย้อนยุคไปหมด และจุดหมายแรกของเราที่กิฟู คือหมู่บ้านมรดกโลกชิราคาวาโก๊ะ (Shirakawa-ka - UNESCO World Heritage)

หมู่บ้านชิราคาวาตั้งอยู่ในหุบเขา เดิมเป็นเพียงหมู่บ้านชาวนาเล็กๆ เพียงเราหยุดรถมองดูหมู่บ้านชิราคาวาจากจุดชมวิวบนเขา เราก้อตกหลุมรักหมู่บ้านชาวนาเล็กๆธรรมดา ที่มีอะไรมากกว่าความธรรมดาแห่งนี้ซะแล้ว




ด้วยทำเลที่ตั้งกลางหุบเขา ร้อมลอบไปด้วยภูเขาสูง ผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้จึงมีวิถีชิวิตที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากชุมชนอื่นๆในญี่ปุ่นมาช้านาน signature หนึ่งของหมู่บ้านนี้คือ หลังคาทรงกัซโซ่ (Gassho) ซึ่งแปลว่าทรงพนมมือ ซึ่งการสร้างหลังคาทรงนี้ทำเพื่อป้องกันหลังคาถล่ม เมื่อต้องรับน้ำและหิมะในฤดูหนาวของญี่ปุ่น






จากจังหวัดกิฟู เราเดินทางต่อมายังจังหวักนางาโน๊ะ (Nangano) เพื่อเยี่มชมปราสาทมัตสึโมโต๊ะหรือปราสาทอีกา ชื่อปราสาทอีกานี้ได้มาจากตัวโครงสร้างขอปราสาทซึ่งมีสีดำ ปีกหลังคาของตัวปราสาทกางออกเหมือนปีกอีกา ล้อมรอบด้วยน้ำ จากตัวปราสาทเราสามารถมองเห็นเจเปนแอลป์จากไกลๆอีกด้วย (Japan Alps)  แค่เห็นไกลๆก้ออดตื่นเต้นไม่ได้ อดทนรอที่จะขึ้นไปชมเจเปนแอลป์แทบจะไม่ไหวแล้ว



เวลาตื่นนอนตอนเช้าไปทำงานมันย๊ากยาก แต่ตื่นเช้าไปเที่ยวนี่สิ นาฬิกาปลุกปุ๊บ เด้งปั๊ปเลยค่ะ วันนี้แล้วสินะเจเปนแอลป์ที่รอคอย การเดินทางในวันนี้ของเรามีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ยอดเขาทาเทยามะ (Tateyama)  เส้นทางขึ้นยอดเขาทาเทยามะนั้น ได้รับการขนานนามว่าเป็นเส้นทาง Alpine Route หากเดินทางมาในหน้าหนาว จะได้เยี่ยมชมความงดงามของกำแพงน้ำแข็ง แต่หากเดินทางมาในฤดูใบไม่ร่วงก้อจะได้พบกับบรรยากาศของท้องฟ้าสีสด และใบไม้เปลี่ยนสี

การขึ้นไปยังจุดสูงสุดของเทือกเขาทาเทยามะนั้น เริ่มจากกานั่งรถไฟจากสถานนีโทยาม่า (Toyama) ไปยังสถานนีทาเทยาม่า (Tateyama) จากนั้นนั่งเคเบิ้ลคาร์ขึ้นสู่สถานนีบิโจดัยระ (Bijodaira) จากนั้นต่อรถประจำทางไปยังสถานนีมูโรโด๊ะ (Murodo) จากสถานนีมูโรดะ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดของเทือกเขาทาเทยามะ  จุดนี้แนะนำให้เดินชมวิวรอบๆ จากนั้นนั่งรถโดยสารไฟฟ้าลอดใต้ภูเขาทาเทยามะ ระยะทาง 3.6 กม สู่สถานนีไดคันโบ๊ะ (Daikanbo จากจุดนี้เป็นต้นไปจะเริ่มเป็นทางลง เรานั่งกระเช้าไฟฟ้า ลงสู่สถานนีคุโรเบะไดระ (Kurobedaira) ต่อด้วยเคเบิ้ลคาร์ลอดภูเขาลงสู่สถานนีคุโรเบโกะ (Kurobeko) เพื่อชมเขื่อนคุโรเบะ (Kurobe Dam)



วิวจาก Ropeway จากสถานนีไดคันโบ๊ะ ลงสู่เขื่อนคุโรเบะ (Kurobe Dam)




จุดสูงสุดของเทือกเขาทาเทยามะ อยู่ที่ความสูง 3015 เมตรจากระดับน้ำทะเล และเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดรองจากภูเขาไฟฟูจิ ถึงแม้การเดินทางขึ้นมายังจุดนี้ออกจะยากซักหน่อย แต่การได้ชมบรรยากาศรอบๆ พูดได้เลยว่าคุ้มค่า และไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งในการมาญี่ปุ่น






ขึ้นยอดเขาทาเทยามะแล้ว มีหรือที่เราจะพลาดยอดเขาที่สูงที่สุดของญี่ปุ่น ไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งในการมาเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้ คือการได้ขึ้นไปสัมผัสภูเขาไฟฟูจิ หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า Fujisan ให้ได้ใกล้ที่สุด แต่โบราณคนญี่ปุ่นเชื่อว่าฟูจิเป็นภูเขาไฟศักดิ์สิทธิที่มีสิ่งศักสิทธิอาศัยอยู่ ผู้คนจึงนิยมเดินทางขึ้นไปที่ปากบ่อภูเขาไฟเพื่อเป็นการศักการะสิ่งศักดิสิทธิ ประเพณีการปีนภูเขาไฟฟูจินั้นยังสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน  การเดินทางขึ้นภูเขาไฟฟูจินั้น แบ่งเป็นชั้นๆทั้งหมด 10 ชั้น การขึ้นได้สูงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กะสภาพอากาศในแต่ละวันเนื่องจากสภาพอากาศบนชั้นสูงๆนั้น ค่อนข้างจะแปรปรวนตลอดเวลา

จากภาพวาดที่เคยเห็นเป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นตั้งแต่เด็ก สู่ภาพภูเขาที่ดูสงบนิ่งอยู่ตรงหน้า มีหิมะปลกคลุมยอดอยู่ตลอดเวลา แม้ในวันนั้นเราสามารถจะขึ้นไปได้แค่ชั้น 5  ที่ความสูง 2500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทัศนีย์ภาพของฤดูใบไม้ร่วงสองข้างทาง ทั้งสีเขียวสลับกับสีส้ม ประกอบกับฉากหลังเป็นภูเขาไฟทำให้เราไม่อยากแม้แต่จะกระพริบตา เพราะอยากเก็บเกี่ยวความสวยงามสวยงามนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด





เดินทางกลับบ้านพร้อมกับวิวภูเขาไปฟูจิบางส่วนจากบนฟากฟ้า (อันนี้ต้องโทษกับตันนะคะ เรียกช้าเกินเกือบขับผ่านไปแล้ว) อมยิ้ม16อมยิ้ม16อมยิ้ม16



ว่ากันว่ามีขึ้นก็ต้องมีลง มีพบก็ต้องมีจาก การเดินทางมาญี่ปุ่นครั้งนี้เต็มไปด้วยประสบการณ์ใหม่ๆ และความประทับใจที่ไม่อาจหาได้จากที่ไหน คงจะจิงสินะที่เค้าบอกกันว่า "Travel is the only spending that make richer"....เดินทางกลับบ้านพร้อมความรวยเต็มกระเป๋า!!!!  

พบกันใหม่ทริปหน้าหากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ยิ้มยิ้มยิ้ม
ชื่อสินค้า:   ครั้งแรกและครั้งต่อไปที่จะตามมากับ...OSAKA - KYOTO- GIFU - TOYAMA - TATEYAMA - MT. FUJI - TOKYO
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่