มารยาทสังคม!! กับการพาสุนัขเข้าไปในร้านอาหาร (ถึงแม้ว่าร้านจะไม่ได้มีป้ายห้ามพาสัตว์เข้ามา)

คือว่า ดิฉัน กับลูก ได้ไปทานอาหารที่ หนึ่ง  ซึ่งเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นในต่างจังหวัด
ลูกดิฉันอายุเพียง สองขวบครึ่ง แต่ก็พาไปทุกที่
ซึ่งลูกจะเอ็นจอยมากเวลาที่ไปทานอาหารนอกบ้าน จะมีความสุขสุดๆ ก็เป็นแบบนี้สัปดาห์ละครั้ง ซึ่งก็เปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ

แต่วันนั้นไปที่นั่นแล้วโต็ะเต็ม
จึงได้นั่งหน้าบาร์ ซึ่งเป็นบาร์ซูชิโชว์ปั้นสดๆ

ลูกดิฉันได้นั่งตรงหัวมุมของด้านหนึ่ง แล้วดิฉันก็นั่งถัดมาข้างใน ซึ่งหมายความว่าลูกนั่งด้านนอก

ตอนนั้นก็สั่งเมนู รออาหารมาเสิร์ฟ   แล้วหัวมุมข้างๆก็เช็คบิลไป

แล้วก็มีสอง ผู้หญิงเดินเข้ามานั่ง

แล้วก็อุ้มสุนัขเข้ามาด้วย แล้วก็นั่งที่ว่างตรงนั้น

สุนัขซึ่งไม่ใช่ลูกสุนัข ก็มีขนาดตัวย่อมๆ ขนาด ครึ่งหนึ่งของลูกดิฉัน

ลูกหันไปเห็นเข้าก็ทำท่าจะร้องไห้ แล้วก็เรียกดิฉัน

ซึ่งดิฉันก็หันไปเห็นเขากำลังอุ้มสุนัขอยู่ในอก

ก็ไปโอ๋ลูก บอกว่าไม่ต้องกลัว แต่ในใจก็คิดว่า กล้าเนอะ พามาร่วมโต๊ะ แถมเป็นโต๊ะส่วนรวมด้วย

แต่สุนัขก็เห็นว่าเป็นเด็ก คงอยากจะเล่นด้วยหรืออย่างไร

ก็พยายามที่จะกระยิ้มกระสนมาเล่นกับลูกดิฉัน ซึ่งตอนนั้นลูก ร้องไห้อโฮแล้วบอกกว่ากลัวๆๆๆๆๆ

ทางพนักงานได้เข้ามารับออเดอร์ แล้วเห็นเหตุการณ์เข้า

ก็บอกว่าให้เราสลับเก้าอี้กับลูก ให้ลูกเข้าไปอยู่ด้านใน

ก็เลยหันไปมองหน้าพนักงาน แต่ไม่มีคำพูดใดๆ ออกจากปากดิฉัน แต่คงไว้ซึ่งสายตา อำมหิตใส่แทน แต่ในใจคิดว่า

ทำไม เราต้องย้าย เรามาก่อน ใช้สิทธิ์ของเราก่อน แล้วลูกของฉันก็ไม่ได้ไปกวนใจใคร
พาไปที่ไหน ก็อารมณ์ดีมีความสุขตลอด ซึ่งก๋ไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรกซะหน่อย

พนักงานจึงบอกให้อีกฝั่งย้ายคนอุ้มสุนัขแทน คือย้ายสุนัขไปอยู่ด้านในของผู้หญิงอีกคนที่มาด้วย

ซึ่งเขาสามารถแก้ปัญหาได้แค่นั้น   เฮ้อ!!!!!!!!!

ดิฉันก็ปลอบลูกจนสงบ  แล้วก็ทานอาหารตามปกติ

เช็คบิล

ไม่ให้ทิป เหมือนทุกครั้ง

ไม่คอมเพลน

และก็ไม่ไปเหยียบอีกเลย จนวันนี้

ดิฉันไม่ได้ใจแคบสำหรับสัตว์นะคะ

แต่สิ่งที่เราสื่อสารกันไม่ได้ และไม่คุ้นเคย  อันตรายนะคะ

คุณอาจจะคิดว่า คุณเลี้ยงเชื่องแล้ว ไม่อันตราย นั่นคุณคิดค่ะ

เราไม่ได้สัมผัส เราไม่รู้หรอกค่ะ

สุนัขกัดเจ้าของตาย มีให้เห็นในข่าว

ห่วงความปลอดภัยของคนอื่นบ้างนะคะ

ปล.ขออภัยสำหรับคนที่รักสุนัขทุกท่าน

ช่วยตอบให้หายข้องใจหน่อยเถอะค่ะ ว่าท่านทำอย่างไร ในเมื่อต้องพาสุนัขไปทุกที่
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 70
สวัสดีค่ะ

ขอขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ทุกอัน ที่เป็นข้อคิดให้ท่านหลายๆท่านที่ได้เข้ามาอ่าน กระทู้ ณ ที่นี้

ดิฉัน หายไป เพิ่งได้เข้ามาอ่านกระทู้ที่ตัวเองได้ตั้งไว้นั้น

ดิฉันได้อ่านและพยายาม เข้าใจเหตุผลของทุกท่าน

ทั้งท่านที่

รัก...........สุนัข
เฉยๆ........กับสุนัข
เกลียด .....สุนัข


รัก...........เด็ก
เฉยๆ........กับเด็ก
เกลียด.....เด็ก

เนื่องจากน้องสาวของดิฉันก็ได้เลี้ยงสุนัข เช่นกัน แต่เราแยกอยู่แบบต่างครอบครัว
(และน้องสาวของดิฉันก็เกลียดเด็กด้วย โดยเฉพาะเด็กที่ร้องกรี๊ดกร๊าด ได้ยินแล้ว  ไมเกรนจะขึ้น)

แน่นอนดิฉันไม่ได้สัมผัสกับสุนัขอยู่แล้ว ซึ่งตอนนี้สุนัขได้ตายไปแล้วเนื่องจากเป็นโรค
และดิฉันก็ไม่อยากให้น้องสาวเลี้ยงอีกเนื่องจากมีเวลาอยู่ด้วยกันวันละไม่นาน ซึ่ง น้องสาวทำงานประจำเช่นกัน  จะต้องหายไปวันละ เกือบสิบชั่วโมง ซึ่งมีเวลาดูแลไม่เต็มที่เพราะไม่มีคนอยู่บ้าน จึงได้ขังสุนัขไว้ในบ้าน ซึ่งมีห้องๆ หนึ่งจำเพาะของสุนัขนั้นเลย **น้องสาวของดิฉันมีบ้านแต่ไม่มีลูก จึงสามารถ ทำห้องสำหรับสุนัขโดยเฉพาะได้ แต่ตอนนี้ก็ได้เป็นห้องปกติแล้ว

แต่น้องสาวดิฉันมีจิตสาธารณะและมารยาททางสังคมสูงมาก
(ขนาดเมื่อวานขับรถ ไปด้วยกัน ดิฉันเป็นคนขับ น้าดิฉัน ปวดเข้าห้องน้ำ มาก จึงได้แวะปั๊มแล้วไม่ทันมองว่าเป็นที่จอดรถ คนพิการ ด้วยความรีบ เห็นที่ว่างก็จอดเลย พอน้าลงไปห้องน้ำ น้องเห็น ก็บอกว่านี่ที่จอดรถคนพิการให้ถอยออกไปจอดที่อื่น อายคนอื่นเขานะ ดิฉันก็เลื่อนไปจอดตรงที่อื่น)  

น้องสาว  เวลาพาสุนัขไปไหน จะใส่ กระเป่าสำหรับสุนัข หรือรถเข็นสุนัข ที่คล้ายๆกับรถเข็นเด็ก พาไปตลาดได้ พาไปสวนสาธารณะได้ แต่วันไหนจะไปทานอาหารที่ห้าง น้องสาวก็จะเลือกห้างที่มีร้านอาบน้ำ ตัดขน หรือรับฝากสุนัข


ขอยืนยันอีกครั้ง ว่าเหตุการ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

ดิฉันก็ไปไหนมาไหนกับลูกตลอด เนื่องจากสามีทำงานประจำ  แต่ดิฉันทำธุรกิจส่วนตัว

ดิฉันไม่ได้เป็นแม่ที่รักและหลงลูกจนโอเวอร์

แต่ก็พยายามสอนให้เขามีจิตสาธารณะ สำหรับพื้นที่สาธารณะ

และยังคงยืนยัน ว่าไม่ได้ใจแคบสำหรับสัตว์เลี้ยง และ เพื่อนร่วมโลก

แต่ดิฉันได้เลือกสิทธิ์ที่ดิฉันควรได้รับ

ในเมื่อลูกดิฉันกล้ว ดิฉัน จึงต้องปลอบ

ที่ดิฉันไม่เปลี่ยนที่ เพราะดิฉันได้เลือกสิทธ์ของดิฉันที่ได้เข้ามาก่อน
และไม่สามารถเลือกโต๊ะได้ เพราะได้บอกไปแล้วว่าโต๊ะส่วนตัวนั้นเต็ม
จึงต้องนั่งที่หน้าบาร์

ซึ่งดิฉันก็อยากเลือกโต๊ะส่วนตัวมากกว่า ถ้าเป็นไปได้ เพราะถ้าหากลูกของดิฉันไปรบกวนลูกค้าท่านอื่นที่นั่งรวมกัน ดิฉันก็คงพาลูกไปที่อื่นหรือนำออกจากร้าน เช่น กัน แต่บังเอิญลูกไม่เป็น ถึงแม่ว่าลูกจะไม่ได้เรียบร้อย ความซนอยู่ในระดับวัย แต่ไม่เคยทำให้ใครเป็นปัญหา ไม่ก้าวก่าย ไม่ระราน โต๊ะอื่นๆ ไม่เสียงดัง

ดิฉัน อ่านข่าวเจอที่ว่า MK เหตุการณ์ที่เอาน้ำร้อนราดหรือสาดใส่โต๊ะที่มีเด็กนั้น เนื่องจาก เด็กร้องกรี๊ดกร๊าดเสียงดัง แต่ดิฉันก็ยังพาลูกไปกินตลอด  โดยฉพาะอาหารญี่ปุ่น ในเครือ MK ซึ่งทุกครั้งที่ไป แต่ดิฉันจะให้ลูกทานเอง  ดิฉันก็กลัวว่ามือที่ยังไม่แข็งแรงของเด็กวัยนั้น จะทำ แก้ว จาน ชาม ของร้านนั้นๆ แตก ก็ขอภาชนะทุกอย่างที่เป็นพลาสติก เพื่อ เราและร้านจะได้ไม่ต้องมีเหตุการณ์อนาคตต่อกัน


และที่ดิฉันไมพูด SPEAK OUT ออกไปนั้น ก็เพราะว่าในเมื่อ ร้านไม่ได้ห้าม

อีกทั้ง พนักงานได้แก้ปัญหาแบบนั้นแล้ว

ดิฉันจึงเลือกสิทธิ์ของดิฉัน

คือ    ไม่ คอมเพลน
         เพราะพูดไป ดิฉันเป็นคนที่เสียประโยช์ค่ะ เพราะนอกจากอาจจะต้องทะเลาะกับลูกค้าท่านนั้น ในเมื่อถ้าเขาไม่ยินดีที่จะ Move Out น้องหมา  
        ตัวนั้นออกไป ดิฉันจะทำอย่างไร ต้องให้ดิฉันMove Out ลูกของดิฉันออกไป เหรอคะ ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดกับท่านอื่นดิฉันก็ไม่ทราบว่าท่านอื่น  
       อาจจะทำตามคอมเมนต์ข้างต้น หลายๆคอมเมนต์นั้น  แต่พนักงานก็ได้แก้ปัญหาเบื้องต้น ให้ดิฉันแล้ว ซึ่งเหตุการณ์การณก็จบ โดยไม่ต้องมา
       ทะเลาะให้เสียงดัง หรือตบ ตีกัน ถ้าอารมณ์ แบบว่ายิ่งได้เถียง ไฟยิ่งลุก และสายตาที่มองพนักงานเป็นสายตาอำมหิต แบบว่า เหลือกตานิดๆ    
        แบบมีคำถามว่าทำไมเป็นเราที่ต้องขยับ แต่ดิฉันเลือกที่จะเงียบและไม่ขยับเปลี่ยนที่นั่นเอง  ซึ่งไม่ได้เป็นสายตาที่จิกกัด หรือดูถูกว่าเป็น
        พนักงานระดับใด หรืออาชีพใด เพราะที่ร้านนี้ไม่ได้มีชุดยูนิฟอร์มสำหรับพนักงาน อาจเป็นเจ้าของร้านที่มารับออเดอร์เองก็เป็นได้พนักงานที่
        ร้านนี้ แต่งตัวปกติ และหน้าตาดีทุกคนเลย เหมือนกับว่าเป็นหุ้นส่วนของร้านหรือเพื่อนๆกันมารับออเดอร์ แลไม่ได้มีเจตนาทำให้พนักงานโดน
        ดู หรือถูกไล่ออกแต่อย่างใด กลัวเป้นตนเองมากกว่าที่ถูกไล่ออกจากร้าน เพราะถ้าทางร้านยินดีต้อนรับสุนัขจริงๆ
        
         ไม่ให้ทิป
         ก็เป็นเหตุผลส่วนตัวค่ะ เหมือนที่ทุกท่านเป็นกัน
        
         และไม่ไป
         เนื่องจากทางร้านได้แก้ปัญหาแบบนั้น
         ทางดิฉัน จึงเลือกที่จะไม่ไป

          เพราะถ้าหากเขายินดีต้อนรับสุนัข

          แต่ลูกดิฉันกลัว ดิฉันจึงไม่พาลูกไป อีก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลังค่ะ

           เพราะตอนนี้เรารู้ปัญหาของเราแล้ว คือลูกกลัวสุนัข

           ต่อให้สุนัข หรือลูกยินดีที่จะเล่นร่วมกัน ดิฉันก็ห้ามค่ะ เพราะเราก็ไม่รู้เขาไงคะ เราไม่รู้ว่าสุนัขเขานิสัยอย่างไร เด็กพูดภาษาเดียวกัน เล่นกัน
           บางครั้งก็ยังทะเลาะกัน

           ยิ่งถ้าสัตว์ พูดภาษาเดียวกันไม่ได้ นี่ ดิฮันไม่ทราบจริง ว่าต้องทำอย่างไร

           ดิฉันไม่อยากให้กระทู้นี้เป็นปัญหาของสังคม เพราะสุนัข มีข้อดี มีเยอะ เด็กมีข้อดีมีเยอะ สุนัข มีข้อเสีย มีเยอะ เด็กมีข้อเสีย มีเยอะ

           ถ้าเป็นคุณ ระหว่าง     "ลูก"  กับ "สุนัข"

           ดิฉันเป็นแม่ ก็ขอเลือกลูก   ที่ดิฉัน ได้เบ่ง ออกมา และพยายามอบรมสั่งสอน ให้เป็นไปตาม กฎ กติกา ระเบียบ และมารยามทางสังคม ที่  
           พึงมี ต่อกัน เพื่อจะได้เป็นเพื่อน ร่วมโลก กันต่อไปค่ะ

           ขอบคุณค่ะดอกไม้

          ปล.  วันนั้นพาลูกไปห้าง  กล่าวถึงโดนัท  เวลาดิฉันพาลูกไป ซื้อโดนัท ก็ไม่พาลูกไปเลือกนะคะ  บังเอิญตรงนั้นมีตู้ของเล่นหยอดเหรียญ  
          แบบว่า Surprise Eggs แต่ไม่ไช่ เพราะหยอดแค่เหรียญ 10 ดิฉันรีบไปหยอดก่อนเลยค่ะ และให้ลูกพยายามไข ให้เขาสนใจตรงนั้น

           และดิฉันหันหลังไปเลือก   โดนัทด้วยความรวดเร็ว แบบสงบปากสงบคำ
           ก็ได้เป็นหน้าตาน้องหมีที่ถูกใจลูกสาว
  
          แล้วก็หันหลังมาไขตู้ให้ของเล่นหล่นมา เป็นอันว่า ช็อปปิ้งได้อย่างสบายใจ เพราะลูกสาวได้ของเล่นแล้ว ถึงแม้เป็นอันน้อยเธอก็ดีใจมาก
          เหมือนว่าเธอได้ทำด้วยตัวเอง ถ้าอยากได้นู่นได้นีอีก ก็เอาโดนัทน้องหมีมาล่อ ไปเรื่อย ๆ

          แต่ไม่วาย
           มาถึงซุ้ม ของเปรี้ยว คุณแม่อยากทาน  (หมายถึงดิฉันเอง)
          ร้านเขาวางไว้ชิมล่อตา ล่อปากมาก  เห็นแล้วน้ำลายไหล เลยค่ะ
          
           ชิมมะม่วงของเขา เลยตัดสินใจซื้อ ช่วงที่กำลังซื้อ ลูกสาวหันไปเห็น ชมพู่ของร้าน ที่วางไว้ ตำแหน่ง พอดีกับที่ลูกสาวเอื้อมถึง ก็เอื้อม
           หยิบ

          หันไปเห็นพอดีค่ะ กำลังเอาเข้าปาก เลย กลายเป็นว่าชมพู่นั้น จมรอยฟันอยู่นิดหน่อย
          แต่พ่อค้า แม่ค้าไม่เห็นนะคะ เลยหันไปดูลูก ว่าทำไมทำแบบนี้ ห้ามเอาของอะไรเข้าปาก จนกว่าแม่จะอนุญาต
          
          ก็เลยควักเงินจ่ายเพิ่มไป อีก 5 บาท สำหรับชมพู่ลูกนั้น

          พ่อค้า แม่ค้าใจดี เห็นว่าเราคงซื้อของร้านเขา ก็เลยให้โดยไม่คิดเงิน ดิฉันก็เลยเนียน แบบว่า ขอบคุณนะคะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ประเด็นของกระทู้คือสุนัข

แต่ทำไมบางพยายามเบี่ยงประเด็นไปเป็นเรื่องของเด็ก
ความคิดเห็นที่ 10
เราเฉยๆนะ ถ้าร้านไม่มีป้ายห้ามและหมาไม่ได้ยุ่งกับภาชนะคน ไม่ได้รบกวนคนอื่น

แต่ถ้ามีร้านที่มีป้ายห้ามเด็กเข้าเราจะดีใจมาก ประสาทเสียกับเสียงเด็กกรี๊ดกร๊าดโวยวายร้องไห้จนต้องออกจากร้านทั้งที่กินยังไม่อิ่มหลายรอบแล้ว จะต่อว่าก็ไม่ได้
เคยเจอเด็กนรกที่มาดึงผมแฟนจนหน้าหงาย พ่อแม่ดุ พอเผลอก็ทำอีก แต่กับหมาในร้านอาหารไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่มายุ่งกับเราเลย

แต่ถ้าเป็นร้านที่ห้ามหมาเข้า หรือต่อให้ไม่ห้ามแต่หมามาสัมผัสกับภาชนะหรือช้อนส้อม เราก็ว่าไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง
ความคิดเห็นที่ 2
เห็นด้วยเลยค่ะ รังเกียจมากค่ะ ต่อให้เลี้ยงแบบอนามัยขนาดไหนก็ไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะ
อย่างพาลูกไปด้วยนี่น่าเห็นใจค่ะ ต่อให้เด็กงอแงก็รับได้
แต่รับไม่ได้จริงๆ กับคนที่เอาหมาหรือสัตว์ใดๆ มานั่งในร้านแบบนี้ไม่มีมารยาทมากๆค่ะ

ปล. ที่บ้านก็เลี้ยงหมาค่ะ เลี้ยงแบบไม่เคยมาจูบปากหรือนั่งร่วมวงทานข้าวน่ะค่ะ เวลาเจอพวกโอเว่อร์แบบนี้เลยไม่เข้าใจจริงๆ
ความคิดเห็นที่ 17
ถ้าเป็นห้องแอร์ แล้วเป็นร้านลักษณะซูชิปั้นสดแบบนั้น ต่อให้ไม่มีป้ายว่าห้ามหมาเข้า เราก็ว่าไม่เหมาะไม่ควรอ่ะ
เราก็เลี้ยงหมานะ แล้วเราก็เป็นทาสหมาด้วยอ่ะ  

ถ้าเราไปร้านอาหาร แล้วพาหมาเราไปด้วย เราจะเลือกที่นั่งโซนด้านนอก ที่ไกลจากชาวบ้านชาวช่อง แล้วให้หมาเราอยู่แต่ใต้โต้ะด้วย
เกรงใจคนอื่นที่เค้าไม่ได้รักหมาเหมือนเรา

โชคดีที่หมาเราเรียบร้อย พูดได้สั่งได้ ก็เลยไม่ค่อยมีปัญหากับกรณีนี้
อันนี้ก็เห็นใจ จขกท นะคะ  

คนรักหมาก็มีทั้งคนที่นึกถึงแต่ตัวเอง และคนที่คำนึงถึงคนอื่นด้วยเหมือนกัน  ไม่งั้นคงจะไม่เห็นคนพาหมาไปเดินเล่นในห้างทั้งที่มีป้ายว่าห้ามที่หน้าประตูหรอกค่ะ
ความคิดเห็นที่ 23



เกลียดทั้งเด็ก ทั้งหมา เลยต้องเลี้ยงไว้ เด็ก2 หมา9 รวมเป็น 11 ต้ว

ปล.ไม่เห็นด้วยกับการนำสัตว์เลี้ยงเข้าร้านอาหาร หรือตลาด แต่สนับสนุนให้เด็กมีนิสัยชอบเลี้ยงสัตว์ จากประสพการณ์ เด็กที่มีสัตว์เลี้ยงจะมีพัฒนาการทางอารมณ์ และจินตนาการ ในทางบวก เป็นเด็กขี้สงสาร เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อารมณ์ดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่