การรักษาพยาบาลในปัจจุบันที่อยากให้เป็นอุทาหรณ์ เป็นข้อคิดกับทุกคน

กระทู้สนทนา
ต้องขออนุญาตเกริ่นก่อนว่าไม่ต้องการที่จะสร้างกระทู้นี้เพื่อจะว่าใครหรือโจมตีใคร แต่อยากให้เป็นข้อคิดสำหรับทุกๆ ฝ่าย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกับที่เราเจอ

ตัวเราเองนั้นเป็นโปรแกรมเมอร์คนนึง ไม่มีความรู้ทางการแพทย์อะไรเลย ไม่ค่อยป่วย ไม่คุ้นชินกับการเห็นว่าอาการนี้ที่เกิดขึ้นคืออะไร ควรจะแก่การรักษาอย่างไร

เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อช่วงเดือน มี.ค. 2558 ที่คุณป้าของเรามีอาการปัสสาวะไม่ออก เข้าไปตรวจเอ๊กซเรย์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งพบก้อนเนื้อเกิดขึ้นที่บริเวณช่องท้อง ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นก้อนเนื้อมะเร็งที่ยังมีเชื้อลุกลาม เพราะคุณป้าเคยผ่าตัดเอารังไข่ และมดลูกออกไปแล้ว ตั้งแต่ ปี 2555 เพราะพบว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 2

เนื่องจากคุณป้าของเราไม่มีประกันสังคม ไม่มีประกันสุขภาพใดๆ ไม่มีรายได้มากมายสำหรับการรักษาโรคนี้ ก็จำเป็นต้องใช้บัตรทองรักษา ซึ่งโรงพยาบาลต้นสังกัดไม่มีหมอหรือเครื่องมือในการผ่าตัดรักษาโรคมะเร็ง จึงทำการส่งตัวไปโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง

ณ โรงพยาบาลรัฐแห่งนี้ คุณหมอได้นัดให้ทำการผ่าตัดเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2558 ที่ผ่านมา ปรากฎพบว่าเมื่อเข้าห้องผ่า และผ่าลงไปแล้ว ไม่สามารถที่จะผ่านำก้อนเนื้อนั้นออกมาได้ เนื่องจากคุณป้าเป็นคนอ้วน และมีพังผืดเยอะมาก คุณหมอจึงปิดแผลกลับ และเปลี่ยนวิธีการรักษาใหม่ โดยใช้จะใช้คีโมแทน  หลังจากนั้น คุณป้าจำเป็นต้องนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลาหนึ่ง ช่วงระหว่างนั้นคุณป้ามีอาการไข้ขึ้น ซึ่งไม่รุนแรงอะไร และหลังจากตัดไหมเสร็จพร้อมจะกลับบ้าน คุณป้ากลับมีอาการเหนื่อย หอบ และหายใจไม่ออกทุกครั้งที่มีการลุกเดินเข้าห้องน้ำ  พยาบาลและหมอทั้งหลายก็เข้ามาช่วยกันดู แต่ก็ไม่ทราบสาเหตุ   เพราะคุณป้าจะอาการดีขึ้นหากได้นอนหรือนั่งเฉยๆ   และระหว่างนั้นก็มีการตรวจร่างกาย ตั้งแต่เอ๊กซเรย์ปอด ตรวจเลือด ตรวจโซเดียม ตรวจความดัน ตรวจเบาหวาน ซึ่งรายการตรวจดังกล่าว ทางแพทย์และพยาบาลก็บอกว่าปกติ ไม่น่าเป็นห่วง กลับบ้านได้

ในวันที่ 12 เม.ย. 2558 เราจึงไปรับคุณป้า ออกจากโรงพยาบาล เพื่อกลับมารักษาตัวกับเราที่บ้าน ไปถึงโรงพยาบาลตอนประมาณ 11.30 น. คุณป้าใส่เสื้อผ้านั่งรอเรา เพื่อจะกลับบ้านแล้ว  เราก็ดูตอนนั่งดูปกติดี พยาบาลเข้ามาชี้แจงรายการยาต่างๆ ที่ต้องรับประทาน  จากนั้นคุณป้าก็ขึ้นรถเข็น เพื่อไปที่รถ เราวิ่งไปเอารถมาจอดเทียบ คุณป้าลุกจากเก้าอี้รถเข็นมาขึ้นรถเรา (รถแจ๊ส) พอนั่งลงเสร็จปุ๊ป เราเริ่มเห็นอาการของป้า ปากซีด พอเราทักว่า "ป้าปากซีดอ่ะ" เขาก็มองน่าเราแล้วตกใจจากนั้นก็มีอาการตาเหลือก พ่นลมออกทางปาก กำมือแน่น เหมือนจะช็อก เราตกใจมาก บอกน้องที่ดูแลป้ากับเพื่อนที่มารับอีกคนให้ไปเรียกหมอพยาบาลลงมาเร็ว ระหว่างนั้น เราก็มี รปภ.มาช่วย เอายาดมมาให้ ป้าเริ่มดีขึ้น หายใจเหนื่อยหอบดังๆ แทน  พยาบาลก็ลงมาดูอาการ และบอกว่า "คุณป้าไม่เป็นไรค่ะ เป็นอาการปกติของคุณป้าค่ะ แค่คนที่มีอาการ Hyper หายใจสั้น ไม่เป็นไร กลับบ้านได้" เราก็แบบเห้ย จริงดิ อาการดูรุนแรงนะตาเหลือกเลย พยาบาลก็ยังยืนยันเหมือนเดิม เราก็เลยถามต่อแล้วถ้าป้าเป็นอีกต้องทำอย่างไร พยาบาลก็แนะนำว่าให้ใช้ถุงพลาสติกครอบที่จมูกกับปาก เพื่อให้เกิดการถ่ายเท อ๊อกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ไป ประมาณนี้  จริงๆ เราไม่อยากให้ป้ากลับเลย แต่ตัวป้าเองก็อยากกลับ พยาบาลก็บอกกลับได้  เราก็เลยโอเคร ดูป้ามีอาการคงที่ (ยังเหนื่อยหอบคงที่) เราค่อยๆ เคลื่อนรถออกไปช้าๆ เพื่อดูว่าโอเครไหม เผื่อวนรถกลับมาทัน แต่ด้วยป้าก็หายใจเหนื่อยหอบ เหมือนตั้งแต่ตอนพยาบาลบอก เราเลยตัดสินใจวิ่งรถกลับบ้านต่อ เผื่อพอลงจากรถไปนอนที่บ้านแล้วอาการจะดีขึ้น เราก็ขึ้นทางด่วนมุ่งหน้าไปงามวงศ์วาน  ระหว่างทาง เราก็ขับสปีดปกติ บนทางด่วน  แต่ช่วงบริเวณทางลงรัชดาภิเษก คุณป้ามีอาการตาเหลือกเหมือนตอนแรกอีกแล้ว แล้วป้าก็นิ่งไป เรารู้เลยว่าป้ามือตกลงข้างตัวเราไปแล้ว (คุณป้านั่งข้างคนขับ) เราตกใจ แต่เพื่อนก็พยายามคุมสติให้เรา บอกให้รีบไปโรงพยาบาลเถอะ เราแมร่งสปีดเลย ไม่สนใจไรแล้ว เข้าห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลเอกชน แถวงามวงวาน ใช้เวลารวมประมาณ 8 นาที (รถติดหน้าโรงพยาบาลนิดนึงเพราะอยู่ติดห้าง)  

เมื่อถึงห้องฉุกเฉินก็มีการปั๊มหัวใจ ใช้ยาทุกโดส (หมอห้องฉุกเฉินบอก) เพื่อให้ป้าฟื้นกลับมา เราแทบคลั่ง หมอออกมาบอกว่า ม่านตาไม่มีการตอบสนองแล้ว คนไข้ปั๊มหัวใจจะเกิน 1 ชั่วโมงแล้ว  เราก็ตระหนักได้นะเห็นภาพเลย ม่านตาไม่ตอบสนองหมายถึงป้าไม่รับรู้แล้ว แต่เราไม่สนใจบอกให้ช่วยให้เต็มที่ทำยังไงให้ฟื้นขึ้นมาเถอะ ได้โปรด  สุดท้ายป้าหัวใจกลับมาเต้น แต่เต้นได้ด้วยยา ไม่ใช่ก้านสมองสั่งงาน หลังจากนั้นก็เข้าห้อง ICU เพื่อรักษาอาการต่อไป หมอที่ดูแลก็พูดกับเราเลยว่า ปัจจุบันทางการแพทย์มองว่าการมีชีวิตอยู่ ไม่ได้หมายถึงการที่หัวใจเต้นอีกต่อไป แต่หมายถึงก้านสมองยังทำงานอยู่หรือเปล่า ซึ่งคุณหมอก็ได้บอกเราตรงๆ ว่าม่านตาของคุณป้าไม่ตอบสนองนั่นหมายถึงก้านสมองได้รับความเสียหายมาก เนื่องจากการขาดอ๊อกซิเจนที่นานเกินไป (เกิน 4 นาที)  เรารับไม่ได้เราก็ถามโง่ๆ ออกไปว่าก้านสมองคนเรามันรักษากันไม่ได้เหรอ ทำยังไงก็ได้ให้ก้านสมองป้ากลับมา คุณหมอก็ยืนนิ่งๆ แล้วบอกว่ามันเป็นไปได้ยากมากครับ TT  อย่างไรเราและญาติๆ ก็ขอให้คุณหมอรักษาให้เต็มที่ คุณหมอจึงสอดท่ออาหารลงไป พบว่ามีเลือดออกในกระเพาะอาหาร มีแผลที่กระเพาะเยอะมาก  จากนั้นก็มีหมอโรคหัวใจมาดู ก็พบสาเหตุของอาการที่ป้าหายใจไม่ออก นั่นคือป้ามีลิ่มเลือดที่บริเวณต้นขา และลิ่มเลือดค่อยๆ กระจายไปตามหลอดเลือด ที่เป็นเหตุให้ป้ามีอาการเหนื่อย หอบ จนจังหวะหนึ่งลิ่มเลือดได้หลุดเข้าไปทั้งก้อนไปอุดตันหลอดเลือดที่จะเลี้ยงเหลือเข้าไปหัวใจอีกข้างหนึ่ง เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดปอดเฉียบพลัน เป็นสาเหตุที่ทำให้ป้าเราเหนื่อยหอบรุนแรง และหยุดหายใจไป  โดยในวันเดียวกัน เวลา 20.25 น. ความดันของคุณป้าก็ค่อยๆ ลดต่ำลงมาก ซึ่งเราและญาติก็ตัดสินใจที่จะไม่ยื้อคุณป้าไว้  

บทสรุปของเหตุการณ์และข้อคิดที่เราจะไม่มีวันลืมเลยในชาตินี้
1. บางทีญาติสนิทอย่างเรา ควรจะแนะนำหมอหรือพยาบาลได้ หากเห็นอาการที่ผิดปกติ ไม่ใช่ปล่อยให้ แพทย์ พยาบาล ดูตามแต่ตำราแล้ววินิจฉัยว่าเป็นอะไรหรือไม่เป็นอะไร  เช่น ลองตรวจหัวใจคุณป้าหน่อยดีไหมคะ
2. การตัดสินใจอะไรบางอย่างง่ายๆ เกินไป เพราะคิดว่าไม่เป็นอะไร เป็นความประมาทอย่างร้ายแรง มีชีวิตของคนคนนึงฝากไว้กับเรา ต้องคิดให้รอบคอบ ถ้าเราแค่ไม่เชื่อและไม่ยอม บอกให้หาสาเหตุให้พบก่อนว่าทำไมป้าถึงมีอาการเหนื่อยหอบผิดปกติ ทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  คุณป้าเราอาจจะไม่ต้องเสียชีวิต
3. โรงพยาบาลรัฐ กับโรงพยาบาลเอกชน แตกต่างกันจริงๆ ราวฟ้ากับเหว เรื่องของการใส่ใจ การตรวจสอบ การให้เวลาในการอธิบายอาการหรือสาเหตุต่างๆ ให้แก่ญาติผู้ป่วย
4. เราอยากให้เพื่อนๆ ทุกคนที่ได้อ่าน เห็นเรื่องของเราเป็นบทเรียน ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใครอีก

หากบทความนี้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆที่ได้อ่าน ขออุทิศผลบุญจากการแบ่งปันความรู้ดีๆ นี้ให้แก่คุณป้าของเราด้วยเทอญ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่