เห็นนางวิจารณ์คนนู้นคนนี้ไปทั่ว แม้แต่พระ, เจ้า ก็ยังไม่เว้นนี่มาอีกแล้วจ้าาาา #ตั้งสติหน่อยค่อยโซเชียล มั๊ย เรื่องเก่าๆของตัวเองก็ใช่ย่อยนะ หึหึ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้มีข่าวดาราวัยรุ่นไทยไปสนุกสนานทั้งร้องทั้งเต้นบนรถไฟญี่ปุ่นอีกทั้งยังโพสต์ภาพลงโซเชียลมีเดียเพื่อแบ่งปันความสุขนั้นกับคนอื่นๆ
แต่ปรากฏว่ามีคนที่ไม่สนุกด้วยจำนวนมากและได้ตำหนิดาราวัยรุ่นกลุ่มนั้นว่าทำให้คนไทยขายหน้าไม่เคารพมารยาทการใช้รถไฟหรือรถสาธารณะญี่ปุ่น
หลายๆ คนบอกว่า ในขณะที่คนไทยก่นด่า ดูถูกนักท่องเที่ยวจีน ที่กะเร้อกะรัง เชย เฉิ่ม ทำอะไรแปลกๆ เช่น ล้างเท้าในอ่างล้างมือ ไม่เข้าคิว เสียงดังโหวกเหวก โวยวาย แต่นักท่องเที่ยวไทย เมื่อไปปรากฏตัวตามที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ ก็มีพฤติกรรมกะเร้อกะรัง โหวกเหวก โวยวาย
สร้างความปั่นป่วนไม่น้อยไปกว่าคนจีน แต่ที่ยังไม่เป็นประเด็นมากก็เพราะจำนวนประชากรไทยยังน้อยกว่าจีนมาก"โวลุ่ม" ของความกะเร้อกะรังจึงยังไม่สูงนัก
และสำหรับหลายๆ ประเทศ การขอวีซ่าท่องเที่ยวยังค่อนข้างยุ่งยาก ซับซ้อน จึงทำให้คนไทยไม่มีโอกาสไปสร้างความป่วนได้มากนัก
แล้วนี่ที่เห็นเป็นข่าวมากขึ้นในกรณีญี่ปุ่นก็เนื่องมาจากการยกเลิกวีซ่าท่องเที่ยวนั่นเองทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวชาวไทยในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอยากน่าตกใจ
และแน่นอนว่าย่อมทำให้คนญี่ปุ่นแทบจะเตรียมตัวเตรียมใจรับ"วัฒนธรรม"ไทยที่คนไทยพกไปเที่ยวญี่ปุ่นไม่ค่อยจะทัน
ก่อนอื่นเราต้องตระหนักได้ว่าคนญี่ปุ่น(ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากคนอีกจำนวนมากในโลกนี้รวมทั้งคนไทยด้วย)ยังมีสำนึกของการรู้สึกว่าตนเองอยู่เหนือกว่าคนเอเชียเชื้อชาติอื่นๆ
อีกทั้งคนญี่ปุ่นที่เป็นชาวบ้านร้านช่องทั่วไป(จำนวนมากอาจจะไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศ)ก็ยังมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคน "ต่างชาติ" น้อยมาก
เช่น อาจจะคิดว่า ไทยกับไต้หวันคือชาติเดียวกัน หรือไม่ได้แยกไทยออกจากความเป็น "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้" โดยรวม
คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยยังรังเกียจคนผิวดำ ยังเห็นคนแอฟริกันเป็นของแปลก ยังมองคนเอเชียด้วยสายตาที่มี "คำถาม" และเห็นเป็นสิ่ง "แปลกปลอม" ของสังคมอยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้น หากบรรดาคน "แปลกปลอม" เช่นนักท่องเที่ยว ได้กระทำสิ่งใดที่ละเมิด "บรรทัดฐาน" ของสังคมญี่ปุ่น การกระทำนั้นมันจะยิ่งโดดเด่นออกมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจ พร้อมกลอกตามองเพดานก่อนจะพึมพำออกมาว่า "เฮ้อ พวกไกจิน (ต่างชาติ) ก็เป็นแบบนี้"
และเพื่อให้คนไทยได้รู้สึกดีกับตัวเองขึ้นบ้าง ฉันก็ต้องบอกว่า ไม่ได้มีแต่คนไทยเท่านั้นที่มีกิริยามารยาทชวนให้ต้องทอดถอนใจ ล้าใจกับพวก "ไกจิน"
บรรดาคนผิวขาวต่างชาติที่เอะอะมะเทิ่งพอๆ กับคนไทยก็สามารถไปทำอะไรแปลกๆ ให้คนญี่ปุ่นเจ้าบ้านต้องปวดหัวก็มีไม่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้น ในฐานะที่เราคนไทยกำลังจะ "ร่ำรวย" ขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถไปเที่ยวญี่ปุ่นหรือไปเที่ยวต่างประเทศได้บ่อยครั้งกว่าสมัยก่อน
(และเราจะยังไม่อภิปรายว่า เหตุใดชนชั้นกลางที่มีความสามารถเที่ยวต่างประเทศได้นี้จึงเพิ่มขึ้น? เช่น เป็นเพราะผลแห่งการงอกงามของระบอบประชาธิปไตยหลังปี 2540 หรือไม่ที่ช่วยกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างชนชั้นกลางกลุ่มใหม่ เกิดการแตกตัวของธุรกิจที่ตอบสนองต่อกำลังซื้อระดับปานกลางมากขึ้นและถ่างขยายโอกาสการบริโภคของคนหมู่มากให้ได้ลิ้มรสขอบๆของ"รสนิยม"ของชนชั้นผู้มั่งคั่งกลุ่มเดิมๆ ได้ เช่น ธุรกิจการท่องเที่ยวราคาประหยัด สายการบินโลว์คอสต์ การเข้าถึงข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต ทำให้ความรู้หรือข้อมูลข่าวสารไม่ได้ถูกผูกขาดไว้กับชนชั้นบนๆ ของสังคมอีกต่อไป)
เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็น่าจะมาทำความรู้จักปัญหาที่เราไปก่อในดินแดนอื่นๆว่าทำไมสิ่งที่เราทำได้ในประเทศของเราจึงเป็นสิ่งต้องห้ามในประเทศอื่น
สําหรับฉันแล้ว ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจาก คนญี่ปุ่นดี คนไทยแย่ คนญี่ปุ่นมีวินัย คนไทยไร้ระเบียบ ฯลฯ เพราะความมี "วินัย" นั้นคงไม่ได้ติดมากับโครโมโซมของคนเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง แต่น่าจะมาจาก "ระดับ" ของการก้าวเข้าสู่ความเป็น "สมัยใหม่" ที่ลักลั่นของสังคมแบบไทยนั่นเอง
ความเป็นสมัยใหม่ในที่นี้คืออะไร?
หนึ่งในความเป็นสมัยใหม่(ไม่ใช่ทันสมัย)หรือModernity อันเป็นพัฒนาการทางสังคม การเมืองที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตกก่อนในต้นศตวรรษที่ 19 (เขียนประโยคนี้เป็นครั้งที่พันแล้วกระมังในชีวิตของการเป็นนักเขียน) คือสำนึกใหม่ที่มีต่อเวลาและพื้นที่
ดังที่ได้เคยเขียนไว้ในหลายแห่งว่า จะวัดความเป็นสมัยใหม่ของสังคมไหน ให้ดูที่การบอก "เวลา" ของคนในสังคมนั้น สังคมที่ก้าวเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่แล้วจะบอกเวลาอย่างจำเพาะเจาะจง เช่น "เราจะนัดเจอกันเวลา 19.45 น."
แต่ถ้าสังคมที่ยังไม่ก้าวเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ จะบอกเวลากันอย่างหลวมๆ เช่น
"ของจากบริษัทจะมาส่งที่บ้านดิฉันกี่โมงคะ"
"สายๆอ่ะพี่"หรือถ้าเราถามว่า
"จะใช้เวลาเดินทางกี่นาทีคะ"เราจะได้รับคำตอบว่า
"เดี๋ยวก็ถึงพี่ เนี่ยะ ผมกำลังจะออก" เอิ่ม...แล้วตรูจะรู้ไหมเนี่ยะว่าออกมาจากไหน???)
หากเราเจออะไรอย่างนี้บ่อยๆจากสังคมไหนก็ตามก็เป็นอันรู้ว่าสังคมนั้นยัง"เก่า" อยู่
สํานึกใหม่ต่อพื้นที่ที่สำคัญคือการแยกพื้นที่ส่วนตัวออกจากพื้นที่สาธารณะ
และในพื้นที่สาธารณะย่อมมีความหมายที่เกี่ยวพันกับสำนึกแบบประชาธิปไตยนั่นคือ มันเป็นพื้นที่ของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
สำนึกว่าด้วยการมี ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ หรือสวนสาธารณะจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากปราศจากแนวคิดว่าทุกคนพึงมีสิทธิในการเข้าถึง ใช้สอยพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งอย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร จะเป็นชนชั้นขุนนางหรือจะเป็น นาย ก. นาย ข. เมื่ออยู่ในพื้นสาธารณะนี้ ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันและอยู่ภายใต้กฎระเบียบเดียวกันอย่างปราศจากข้อยกเว้น
ประเทศที่เป็น"สมัยใหม่"แล้วมีสำนึกว่าด้วยความเป็น "พลเมือง" แล้ว วัฒนธรรม ประชาธิปไตย ลงหลักปักฐานแน่นหนาแล้ว จึงมีกติกามารยาทในการใช้ทรัพย์สินที่เป็น "สาธารณะ" หรือสาธารณูปโภค ที่พลเมืองปฏิบัติตามอย่างค่อนข้างเคร่งครัด เพราะการละเมิดกติกา ย่อมหมายถึงการละเมิด "สิทธิ" ของผู้อื่น
แต่กติกาของสังคมไหนจะเข้มงวด จุกจิก อย่างไร ก็คงมีต่างๆ กันไป ขึ้นอยู่กับบริบทของประเทศนั้นๆ
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีพื้นที่น้อย แต่มีความหนาแน่นของพลเมืองต่อตารางเมตรสูงมาก เมื่อคนต้องมาอยู่รวมกันแน่นๆ ในพื้นที่แคบๆ กติกามารยาทในการใช้พื้นที่สาธารณะของญี่ปุ่นจึงจุกจิกมากมายกว่าประเทศอื่นๆ เพราะไม่เช่นนั้นอาจลุกขึ้นมาต่อยตีกันเอาง่ายๆ เพราะโอกาสของการปะทะกันสูงมาก
สำหรับคนที่ไม่เข้าใจว่าทำไมญี่ปุ่นจะมาอะไรกันนักกันหนากับเรื่องการใช้เสียงการไม่โหวกเหวกโวยวายในพื้นที่เล็กๆแคบๆ ก็พึงเข้าใจว่ามันเกิดจากเงื่อนไขเฉพาะของสังคมของเขา
นอกจากสังคมประชาธิปไตยจะต้องคำนึงถึงการเคารพสิทธิของผู้อื่นที่มีเสมอกันกับตัวเองแล้ว เมื่อต้องอยู่ในพื้นที่ "สาธารณะ" พลเมืองพึงรำลึกว่า พื้นที่นี้เป็นของคน "ทุกคน" ไม่ใช่ของเราคนเดียว
เมื่อเราตระหนักอยู่เสมอว่าที่นี่ไม่ใช่ "บ้าน" ของเราคนเดียว แต่เป็นพื้นที่ที่ต้องแชร์กับคนอื่นๆ เพราะเรามีสิทธิแห่งความเป็นเจ้าของ "เท่ากัน"
ตระหนักเช่นนี้แล้ว เราย่อมจะไม่เดินเอ้อระเหยลอยชาย กดโทรศัพท์ เดินไปคุยโทรศัพท์ไป เดินเรียงแถวหน้ากระดานเป็นแพ กีดขวางทางผู้อื่น ในยามที่เราเดินอยู่ในพื้นที่สาธารณะใดก็ตาม
แต่เราจะเดินด้วยการตระหนักว่า ต้องเดินอย่างไม่เป็นภาระแก่ผู้อื่น
แต่สิ่งที่เรามักพบเจอประจำในประเทศไทยคือ ไม่ว่าจะอยู่ในห้าง ตามสถานีรถไฟฟ้า ใต้ดิน เราก็มักจะเดินเหม่อลอย เดินตามสบาย เดินขวางทางคนอื่น เดินเกะกะ โดยไม่ได้คิดว่าเราทำอะไรผิด
เราจึงมักพบว่าในเก้าอี้รอขึ้นเครื่องที่สนามบิน มนุษย์หนึ่งคนมักใช้เก้าอี้สามตัวเสมอ คือ นั่งหนึ่งตัว วางข้าววางของอีกสองตัวซ้ายขวา
เมื่อไม่ตระหนัก เราจึงทิ้งขยะตามถนนหนทาง
เราจึงเอาเชือกมากั้น เอากระถางต้นไม้มาวางบนถนนหน้าบ้าน สงวนไว้ที่จอดรถส่วนตัว
และสิ่งคลาสสิคมากที่ฉันพบประจำคือ ตรงประตูรถแท็กซี่ส่วนที่เป็นด้ามจับสำหรับเปิดประตู จะต้องมีเศษขยะเล็กๆ เศษทิชชู ซองลูกอมอยู่ในนั้นเสมอ
เป็นการยืนยันว่าผู้โดยสารชาวไทยนิยมทิ้งเศษขยะเล็กๆ ไว้ในหลุมเล็กๆ ของรถที่ไม่ใช่รถตนเอง
ทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่า คนไทยนิสัยไม่ดี คนไทยมียีนอะไรบางอย่างที่บกพร่อง
แต่มันเป็นการชี้ว่า เรายังไม่ได้ครอบครองสำนึกแบบโลกสมัยใหม่แม้จะสามารถครอบครองทุกวัตถุที่ทันสมัย (เสื้อผ้า สมาร์ตโฟน เทคโนโลยี อุปกรณ์การสื่อสาร ฯลฯ) ซึ่งความสามารถในการครอบครองสำนึกสมัยใหม่นี้สัมพันธ์กับสำนึกประชาธิปไตย
ฉันออกจะสงสัยว่าถ้าดาราไทยที่หน้าตาสวยงามน่ารักถ่ายคลิปเต้นบนรถไฟฟ้าที่กรุงเทพฯแล้วโพสต์ลงในอินสตาแกรมคนจะด่าหรือจะชื่นชม
เดาว่าน่าจะชื่นชมมากกว่า น่ารัก น่าเอ็นดู ไม่ถือตัว
เผลอๆ เหล่าผู้โดยสารร่วมขบวนรถจะพากันยกกล้องขึ้นมาถ่ายแล้วแข่งกันอัพรูปขึ้นในโซเชียลมีเดียรัวๆ พร้อมคำบรรยายว่า "เจอน้อง...ที่แสดงหนังเรื่องนั้น ลุกขึ้นเต้นบนบีทีเอส น่ารักมากๆ เลย ขอบคุณนะคะ ที่มาทำให้วันอันน่าเบื่อนี้มีสีสัน บลา บลา บลา"
แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อหลายๆ ประเทศในโลกนี้ เขาไม่ได้อนุรักษ์สภาวะก่อนสมัยใหม่เอาไว้เหมือนที่บ้านเรา เมื่อเราไปเที่ยว เราก็พึงระมัดระวังว่า เหตุที่คนญี่ปุ่นเขานั่งรถไฟเงียบๆ ทำตัวเป็นสังคมก้มหน้า ปิดเสียงโทรศัพท์ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนดีหรือเป็นคนมีวินัย
แต่สังคมประชาธิปไตยบังคับให้เราต้องจำนนต่อหลักการที่ว่าพื้นที่สาธารณะนั้นไม่ใช่"บ้าน"ไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัวไม่ใช่พื้นที่ของเราคนเดียว แต่เราต้องใช้มันร่วมกับคนอื่นๆ
ดังนั้น เราจึงไม่อาจลุกขึ้นมาทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ไม่ว่าเราจะคิดว่าสิ่งนั้นมันน่ารักขนาดไหน
ดังนั้น เราจึงไม่ควรที่จะตะโกนคุยกันในรถสาธารณะเพียงเพราะคิดว่าคนอื่นฟังเราไม่รู้เรื่อง
เราไม่พึงเดินเอ้อระเหยกีดขวางทางเดินของคนอื่น
เราไม่ควรหยุดถ่ายรูปทุกจุดที่เราอยากถ่ายโดยไม่คำนึงว่าเราจะกลายเป็นเหตุของความล่าช้าของใครบ้าง
เราไม่ควรวางสัมภาระส่วนตัวเช่นกระเป๋าของเราเกะกะทางเดินคนอื่น
เราไม่ควรจับจองที่นั่งกว้างขวางเกินความจำเป็น ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนฐานคิดเดียวเท่านั้นคือ "เผื่อว่าคนอื่นก็จำเป็นต้องใช้มันเหมือนกัน"
ถามว่าเรื่องนี้สำคัญไหม?
ก็ต้องตอบว่า สำคัญและสำคัญมากๆ ด้วย สำนึกของโลกสมัยใหม่ สำนึกต่อพื้นที่สาธารณะ สำนึกที่ว่าเราอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างเสมอภาค และพึงเคารพกันและกัน อีกทั้งไม่พึงเป็น "ภาระ" ของคนอื่น เพราะเขากับเรานั้นเท่ากัน มันสะท้อนอยู่ใน "วัตรปฏิบัติ" ในชีวิตประจำวันของเราและในการเลี้ยงดูอบรมมาตั้งแต่เด็ก
เราเคารพกฎจราจรไม่ใช่เพราะเราเป็นคนดีหรือเราเคารพกฎหมายเท่านั้นแต่เราเคารพทำตามกฎด้วยสำนึกที่ว่าเราไม่พึงเป็นส่วนหนึ่งของการก่ออุบัติเหตุอันจะทำให้คนอื่นๆเดือดร้อน
สังคมไทยยังเป็นสังคมที่ลักลั่นกันอยู่ระหว่างความเป็นสมัยใหม่กับความเป็นก่อนสมัยใหม่
เราอยู่อย่างคนทันสมัยมีกฎกติกากฎหมายที่คล้ายกับโลกสมัยใหม่แต่การบังคับใช้กติกาเหล่านั้น บังคับใช้อย่างโลกก่อนสมัยใหม่คือ ขึ้นอยู่กับลำดับชั้นต่ำสูง สถานะของตัวบุคคล คนสองคนทำผิดอย่างเดียว คนหนึ่งไม่ได้รับโทษ เพราะเป็น somebody อีกคนถูกลงโทษเพราะเป็น nobody
มิหนำซ้ำ เรายังไม่มีสำนึกว่าด้วยความเป็น "พลเมือง" เราใช้พื้นที่สาธารณะ โดยไม่เคยเข้าใจความหมายหรือที่มาของสิ่งที่เรียกว่าพื้นที่สาธารณะ
เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าทำไมเราไม่เข้าใจและอยากจะถามว่า "แล้วมันใช่เรื่องที่ต้องมาจริงจังกันปะ"
เพราะถ้าเราเป็นคนในโลก modernity นอกจากเราจะไม่ตั้งคำถามนี้แล้ว เรายังจะไม่ทำอะไรแบบนี้ด้วย
ที่มา : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1429070277
ยังไม่จบ!! "คำผกา" จัดหนัก เรื่องแก๊งฮอร์โมนอินแจแปน บอกเลยว่าแรว๊งงงงงงงงงงงงง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้