จากมนุษย์เงินเดือนธรรมดา มาวันหนึ่งได้มีเงินสิบล้าน

 
กระทู้นี้ ผมตั้งขึ้น เพื่อเป็นกำลังใจให้กับหลาย ๆ คน ในการดำเนินชีวิต  คนที่เคยท้อแท้ คนที่เคยไม่ไหว กำลังจะฆ่าตัวตาย หมดสิ้นหวัง เหน็ดเหนื่อย ลำบากตรากตรำกับชีวิต  ชีวิตวันคืนผ่านไปแบบเดิม ๆ เหนื่อย ๆ เศร้า ๆ หมดหวัง ทำงานแบบจำใจ  เหมือนไม่มีทางออก  ผมจะเป็นสักขีพยานให้กับทุก ๆ คน ณ นาทีนี้  ว่าวันหนึ่ง คนที่ไม่มีอะไรเลย จากจุดที่ติดลบ มาวันนี้ ได้มีในสิ่งที่ใครหลายคนปรารถนา  แต่ผมใช้หลักธรรมะข้อหนึ่ง พยายามทำ  จนได้ผลสัมฤทธิ์ออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ 


ขอตั้งห้องหลักคือห้องศาสนา และห้องศาลาประชาคม  เพราะผลที่ผมได้รับนั้น ผมเชื่อมั่นพันเปอร์เซ็นต์ว่ามีผลมาจาก "พระพุทธศาสนา"

เรื่องก็ไม่ซับซ้อนมากมาย  ผมไม่มีจุดเริ่มต้นทางธุรกิจอะไร  ผมข้ามแบบก้าวกระโดด  แต่มันไม่ง่ายเหมือนการกระโดด  เพราะผมกำลังพูดถึงวิธีกระโดด  สิ่งที่ผมจะเล่านี้อาจจะขัดกับความเชื่อของบางท่าน  แต่ในขณะที่เล่า ผมก็ใคร่ขอความรู้จากผู้ที่ "อยู่จุดที่สูงกว่า"  ช่วยชี้แนะด้วยครับ



ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน

ผมเริ่มมาจากพนักงานเงินเดือนเก้าพันบาทเมื่อสามปีก่อน จนปัจจุบันเงินเดือนอยู่ที่ราวสองหมื่น  อายุปัจจุบัน 30 ปี  เงินเดือนสองหมื่นในอายุระดับนี้ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับหลาย ๆ คน  แต่กว่าที่ผมจะถึงจุดนี้ ก็ผ่านความลำบากมามาย 
ในระหว่างที่ลำบาก ผมมองคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต หรืออย่างน้อยเลยก็คือคนที่เค้าพอมีฐานะ  ผมถามตัวเองมาตลอดว่าจะมีไหมวันที่เราลืมตาอ้าปากได้ ผมยอมรับว่าทำบุญเองก็เคยหวังเรื่องนี้ไว้ แต่เชื่อว่าใครอื่น ๆ อีกหลายคนก็เคยทำบุญแล้วหวังเรื่องนี้ แต่ของผมมีบางสิ่งที่ต่างออกไป


เมื่อช่วงก่อนเข้าพรรษา ชีวิตผมเจอมรสุมหนัก ทั้งในเรื่องความรัก เรื่องชีวิต เรื่องฐานะการเงิน  ผมมีพ่อแม่ที่อายุราว 70 ทั้งคู่ ท่านก็ยังค้าขายอยู่ ทั้งสองท่านหยุดทำงานไม่ได้เลย เช่นเดียวกับผม เพราะเหตุผลคือ ถ้าเราหยุด เราจะไม่มีเงิน เมื่อไม่มีเงิน แปลว่าตาย  แต่ ณ ตรงนี้ ถ้าจะให้ผมเล่าว่าผมลำบากอย่างนั้นอย่างนั้น ก็เกรงจะดูเยิ่นเย้อ เพราะชีวิตทุกคนก็มีมรสุมไม่ต่างกัน  เราอยู่บนโลก โลกธรรมที่ผมพบเจอ ทุกคนก็ต้องเคยเจอ  ลาภ เสื่อมลาภ ยศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ ทุกข์ สุข ไม่มีใครหนีพ้น   แต่ปัญหาที่ผมเจอนั้นมากมายเหลือเกินจนทำให้ผมเลือกทางเลือกสองทาง


หนึ่ง ฆ่าตัวตาย
สอง ลาออกจากงานที่ทำ เพื่อมาทำบางอย่าง.... โดยใช้เวลา 3 เดือนถ้วน


ผมตัดสินใจบอกหัวหน้าที่ทำงานปัจจุบัน (ตอนนี้ผมได้กลับมาทำที่เดิม) ว่าผมจำเป็นต้องลาออก  เพราะชีวิตผมมันไม่ไหว  อยากได้บุญเพิ่ม อยากได้สติปัญญา และสำคัญเหนืออื่นใด ผมอยากใช้สัจจะวาจาทำบางอย่าง  ซึ่งสิ่งนี้เองที่ผมจะขอเล่าให้ทุกท่านได้ทราบ  ท่านไม่ต้องเชื่อ  แต่ผมจะบอกว่า จุดเริ่มต้น กับ ผลตอนจบ ทำไมช่างตรงกันเหลือเกิน


ผมลาออกในตอนนั้นเพื่อทำสิ่งสิ่งหนึ่ง คือ ตัดสินใจลาออกจากพนักงานเงินเดือน 20,000 บาท เพื่อออกมารักษาสิ่งที่เรียกว่า "ปาฏิหาริยอุโบสถศีล"  เป็นศีลชนิดพิเศษ สำหรับท่านที่ไม่ทราบสามารถเปิดดูจาก google ได้ เพราะหลายเวปก็อธิบายไว้มาก  ศีลชนิดนี้ ต่อปีจะรักษาได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และใช้เวลานานถึงสามเดือน  ข้อสำคัญคือ ห้ามขาดแม้แต่ข้อเดียว ทำให้ได้สามเดือน ถ้าทำได้ ถือว่ารักษาได้บริสุทธิ์  แต่ถ้าขาด ถึงแม้จะขาดแค่วันที่สอง  ก็ถือว่าปีนั้นหมดสิทธิ์ที่จะทำ

ผมลาออก และตัดสินใจมารักษาศีลนี้  โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน  เพราะผมไม่มีอะไรจะเสีย  งานก็ทำได้ไม่ค่อยดี จะถูกให้ออกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เลยชิงออกก่อน มาตั้งหลักใหม่  เงินก็ไม่มี ทางบ้านก็ลำบาก  ความรักก็ย่ำแย่  คนที่เคยไว้ใจเคยรักที่สุดในชีวิตมาเหยียบย่ำทุกอย่าง นอนเสียใจ ตื่นมาใจหาย ใช้ชีวิตเหมือนไม่มีลมหายใจ มันลอยละล่อง ร้อนรน  ไฟสุม ทุกอย่าง ไม่ไหว ผมรู้ว่าถ้าไม่ตายก็ต้องทำให้ได้ ไม่มีทางออกใดๆ เลย  ซึ่งผมคิดว่าคนที่เคยเข้าวัดนุ่งชุดขาวบางคน  อ่านข้อความของผมแล้วคงเข้าใจเป็นอย่างดี ว่าสภาพที่ผมพูดถึง มันคืออะไร เชื่อมั่นอย่างเดียวว่า ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ  "ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม" เอาน่า ยังไงก็ไม่มีอะไรให้เสียแล้ว  ดีกว่าตาย


ลาออก.... ผมได้ออกมาอยู่เงียบ ๆ ที่บ้านประมาณหนึ่งสัปดาห์  ทีแรก ที่บ้านไม่เห็นด้วยกับการลาออก เพราะเค้ากังวลเรื่องการเงิน แต่เมื่อผมได้เล่าความทุกข์ในใจว่ามันทรมานแค่ไหน เค้าจึงยินยอม  แต่โดยปรกติ การถือศีลให้บริสุทธิ์จะต้องถือที่วัด แต่ผมตกลงกับแม่ว่าจะขออยู่บ้าน ทานข้าวก่อนเที่ยง ไม่ดูหนังฟังเพลงอะไร จะขออยู่เงียบ ๆ นั่งสมาธิ  ถือปาฏิหาริยอุโบสถศีลให้ได้จนจบพรรษา   วันอาสาฬหบูชา ก่อนเข้าพรรษา ผมไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุที่ภูเขาทอง วัดสระเกศ  ในใจยังคิดคำอธิษฐานไม่ออก  แต่ตั้งสัจจะว่า จะรักษาให้ได้ตลอดพรรษา หากทำได้ ขอให้สิ่งที่ปรารถนา สัมฤทธิ์ผล


ตื่นเต้นมากที่จะได้สมาทานศีลที่ใหญ่แบบนี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จนมาถึงวันแรก เมื่อสมาทานแล้ว ใจไม่ค่อยนิ่ง ไม่ค่อยสงบ แต่ประคองครบทุกข้อ จนถึงวันที่สอง สาม สี่ ห้า และเป็นสัปดาห์  จนกระทั่งผมเริ่มอึดอัดกับการรอ เลยโหลดแอพ Countdown มาเปิดนับเวลาไว้   แต่ระหว่างนั้น ก็ทำประโยชน์ต่าง ๆ เท่าที่ทำได้  ช่วยงานที่บ้านบ้างประปราย  แต่สิ่งใดที่จะทำให้ศีลต้องขาด จะขอเลี่ยงที่บ้านว่า ไม่ทำ


ผมลืมเล่าไป ว่าตอนที่ผมสมาทาน ผมได้อธิษฐานไว้เก้าข้อ  สองในเก้าข้อนั้นคือ

1. ขอให้เรื่องของผมกับ"เค้า" กลับร้ายกลายดี  ได้กลับมาดีกัน

2. ขอให้ผมได้มีฐานะ ได้ประสบความสำเร็จ คนที่มีอายุ 30 ได้ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างไร ผมขอให้ผมได้เป็นแบบนั้นบ้าง  เมื่อออกพรรษามาแล้ว หากผมทำได้ ขอให้ผมมีฐานะ ได้มี มีชีวิตที่ไม่ลำบาก ได้มีชีวิตเหนือใครบางคนที่เค้าเคยดูแคลนไว้  แต่ไม่ใช่เพื่อไปเอาคืนหรือไปเย้ย  ผมอยากให้ผมได้ยืนในจุดที่ดีที่สุด เพื่อให้คนคนนั้นได้เห็นว่า "สิ่งที่เค้าคิดว่ามันถูก มันผิด และดูสิ ผมเป็นแบบนี้ได้เพราะความดีที่ทำ"


ผมอธิษฐานไป และตั้งสัจจะ หน้าเครียด เอาจริง   กลั้นใจประคองศีลให้บริสุทธิ์จนถึงวันสุดท้ายออกพรรษา   ทุกอย่างสดชื่น  ราบรื่น  แต่มีเรื่องบางเรื่องเท่านั้นที่ไม่เคลียร์ก่อนเข้าพรรษาที่ยังค้างคาใจและเป็นเรื่องใหญ่ที่ยังไม่สำเร็จ  ปรากฎว่าผมออกพรรษาวันที่ 8 ตุลาคม พอมาวันที่ 10 เท่านั้น ผมได้กลับไปคืนดีกับคนคนนั้น
ความจริง เรื่องของผมกับคนคนนั้น ไม่ใช่เรื่องของความรักชายหนุ่มหญิงสาว  แต่เป็นความรักของเพื่อน  ผมได้กลับมาคืนดีกับเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดคนเดียวในโลก  แต่นั่นก็ยังไม่สำคัญเท่าเรื่องที่เกิดกับผมไม่กี่วันก่อน


ย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน ตระกูลของผม  ลุงได้เคยซื้อที่ดินแปลงหนึ่งไว้ 50 ไร่   เมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อน สมัยนายกชาติชาย เศรษฐกิจบูมมาก เคยมีผู้ติดต่อขอซื้อไร่ละหนึ่งล้านบาท แต่ลุงผมไม่ขาย   จากนั้นเศรษฐกิจก็ตกลงมาตลอด  เมื่อเวลาผ่านไป อายุมากขึ้น ทำมาค้าขายก็ไม่ดี สุขภาพก็แย่ลง แต่ที่ดินก็ยังขายไม่ได้ 
ลุงให้ผมลงประกาศขายในเวปไซด์ขายที่ดินมาเป็นเวลาสิบปี  บางครั้งก็ขอให้เอาป้ายมาประกาศติดขาย  ติดป้ายหน้าร้าน  หรือไม่ก็ให้ผมทำป้ายไปติดที่หน้าที่ดิน  มีป้ายติด วัวก็ไปเดินชนล้มกันบ้าง แดดบ้าง ความหวังเหมือนลม ๆ แล้ง ๆ


สามวันที่แล้ว ผมเข้างานมาด้วยใจที่ห่อเหี่ยว ไม่สดชื่น  คิดอยู่ว่าชีวิตมีแค่นี้จริง ๆ หรีอ เราจะมีชีวิตแบบนี้ไปวัน ๆ จะอยู่ในกรง แค่นี้ อย่างนั้นจริง ๆ ใช่ไหม
เลิกงานช่วงหัวค่ำ ผมโทรหาแม่ คุยกับแม่ทั่วไปว่าแม่เป็นยังไงบ้าง แมวกินข้าวหรือยัง  แล้วแม่ก็พูดมาคำหนึ่ง

"กู๋เค้าขายที่ได้แล้วนะ"
"ขายได้เท่าไหร่แม่"
"หมดเลย!"
........ (มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่