เรื่องเล่าจากซานฟรานซิสโก: กิ๊บหาของเข้าบ้าน



สิ่งแรกที่ทำให้ผมประหลาดใจตอนหาที่อยู่ที่นี่คือ อพาทเมนท์หรือบ้านเช่าที่นี่โดยปกติแล้วจะเป็นแบบไม่มีเฟอร์นิเจอร์ให้ ห้องที่คุณเช่าจะมีลักษณะเป็นห้องโล่งๆ อาจจะมีตู้เย็นกับเตาแก๊ซและเตาอบในครัวให้ แต่นอกจากนั้นคือไม่มีอะไรเลย ไฟในห้องยังมีไม่กี่ดวงเองเลย แล้วอย่างนี้จะหาเฟอร์นิเจอร์ต่างๆจากไหน คำถามอันดับแรกคือคุณมีงบขนาดไหน และคำถามถัดมาคือคุณคิดว่าจะขนกลับมายังไง

ถ้าเรื่องเงินเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่สำคัญ  ผมแนะนำให้คุณลองมองหาของมือสอง ของมือสองที่ว่ามีวิธีการหาได้หลากหลายมาก วิธีแรกอาจจะลองติดต่อกลุ่มนักเรียนไทยและเทศตามบอร์ดโรงเรียน หรือตามเพจนักเรียนไทยบนเฟซบุคในเมืองนั้นๆดู ทุกๆเทอมจะมีทั้งนักเรียนเก่าและใหม่วนเวียนกันเข้าออกอยู่เสมอ ดังนั้นโอกาสที่คุณจะบังเอิญไปถึงแล้วเจอนักเรียนที่กำลังจะกลับไทยมีอยู่สูงเลยทีเดียว ข้อดีของวิธีนี้คือ ซื้อขายง่าย รู้เรื่อง และได้ราคาถูก ของอาจจะเสื่อมไปตามกาลเวลาเล็กน้อย แต่คุณคงไม่ใช้อ้เฟอร์นิเจอร์พวกนี้ไปชั่วชีวิตดังนั้นจะคิดมากไปไม วิธีนี้อาจจะลำบากตอนไปขนของนิดหน่อยดังนั้นเมื่อนัดเวลาแล้วลองชวนเพื่อนไปสักคนเพื่อไปช่วยขนของก็ดีครับ

วิธีที่สองคือ เดินดูตามการาจเซล การาจเซลที่นี่ก็อารมณ์เหมือนเปิดท้ายขายของบ้านเราเนี่ยล่ะ โดยคุณสามารถเช็กว่าบ้านไหนมีเปิดท้ายขายของบ้าง ซึ่งโดยมากแล้วมักจะมีทุกอาทิตย์ บางเจ้าอาจจะแปะตามเสาไฟฟ้าในละแวกบ้านเลยล่ะ คุณก็เดินโฉบๆดูว่าของที่เขาขายนั้น มีชิ้นไหนที่คุณอยากได้บ้าง ซึ่งโดยมากมักเป็นของที่ไม่ใหญ่มากนัก อาจจะเป็น ทีวี เครื่องเล่นเกม หรือ เก้าอี้ แต่ถ้าเอาง่ายๆคุณสามารถเปิดเวบ craigslist.com แล้วเลือกเมืองและย่านที่คุณอยู่ เพื่อนสะดวกต่อการไปเลือกของ โดยบางเจ้าอาจไม่ได้เอาของมาวางหน้าบ้าน แต่ให้คุณเข้าไปเลือกของในห้องเขาเลย ซึ่งคุณสามารถจองและนัดดูของได้ แต่วิธีนี้ขอให้ระมัดระวังก่อนที่จะตัดสินใจไปบ้านคนแปลกหน้าให้ดี มีหลายเคสที่คนซื้อโดนคนขายปล้นกันซึ่งหน้าเลย นอกจากนี้ตามร้านขายของมือสองที่ได้รับการบริจาคมาอย่าง Goodwill เองก็มีเฟอร์นิเจอร์ขายเหมือนกัน ซึ่งถ้าคุณนิยมในของเก่าและมีสายตาที่เฉียบคม คุณอาจได้ของหายากในราคาถูกและสามารถนำไปทำกำไรต่อบนอีเบย์ได้อีกด้วย

ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหา ที่ซานฟรานซิสโกมีร้านเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ท้องถิ่นมากมาย บางร้านเป็นเหมือน showroom เลยก็มี และถ้าคุณไม่อยากได้เฟอร์นิเจอร์แบบตลาดๆทั่วไป อยากได้อะไรที่มันแปลกแหวกแนวและเข้ากับรสนิยมของคุณนั้น ที่นี่เองก็มีร้านที่ขายเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์อยู่หลายร้าน แต่แน่นอนว่าราคาก็จะแปลกตามเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนั้นๆ แถมการซื้อของแบบนี้บางร้านไม่มีบริการส่งเฟอร์นิเจอร์อีกต่างหาก ทำให้อาจจะยุ่งยากเรื่องขนของในภายหลังอีก
เอาล่ะ ถ้างั้นวิธีที่ดีที่สุดคืออะไร ถ้าคุณเพิ่งมาเรียนหรือมาอยู่ใหม่ๆ หลังจากได้ห้องเรียบร้อยแล้ว วิธีที่ง่ายที่สุดและเหนื่อยน้อยสุดคือ ไปอิเกีย ที่เมืองไทยเองก็มีอิเกียเปิดมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยไปเดินมาก่อน แต่ตอนที่ผมไปอยู่นั้น อิเกียคืออะไรผมไม่รู้จัก ไม่เคยแม้จะรู้ว่ามันมีห้างขายเฟอร์นิเจอร์ครบวงจรแบบนี้อยู่ และอิเกียเนี่ยล่ะเป็นที่นิยมของบรรดานักเรียนทั้งหลายไม่ว่าไทยรึเทศ ด้วยราคาที่ไม่สูงและความสะดวกในการที่คุณสามารถไปเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการทั้งหมดในทุกส่วนของบ้านทำให้การเดินเล่นที่อิเกียช่างน่าอภิรมย์ยิ่งนัก และหากคุณไปซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านกับเพื่อนนี่ยิ่งดีใหญ่เพราะสามารถหารค่าขนส่งกันได้อีก ทำให้ค่าใช้จ่ายยิ่งถูกลง ผมไปอิเกียครั้งแรกก็ตอนย้ายเข้าบ้านใหม่กับโฮมเมทเนี่ยล่ะ
แล้วทีนี้ถ้าคุณเกิดอยากได้ของแค่ไม่กี่ชิ้น จะมีปัญหาตอนขนกลับไหม ตัวห้างอิเกียอยู่นอกเมืองซานฟรานซิสโกไปทางฝั่ง Oakland แถบ Emeryville ในกรณีที่ไม่มีรถ คุณสามารถนั่งรถไฟ Bart ข้ามไปและต่อรถเมล์เวียนเพื่อไปถึงอิเกียได้ง่ายดาย เรื่องการขนของล่ะจะทำยังไง ผมขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ด้วยเรื่องของเพื่อนผมชื่อไอ้กิ๊บละกันนะครับ

หลังจากตอนที่ผ่านมากิ๊บได้เตียงเรียบร้อยแล้ว กิ๊บก็เริ่มอยากได้ของมาแต่งห้องและใช้งานอีก หลังจากมันขึ้นมาเมียงๆมองๆเฟอร์นิเจอร์ข้างบนบ้านและในห้องผมแล้ว มันก็เลยถามผมว่ามันจะหาซื้อโต๊ะได้ที่ไหนบ้าง
“เออ กูซื้อมาจากอิเกียเกือบหมดเลยว่ะ” ผมตอบพลางจับตามองไอ้กิ๊บที่กำลังลูบโต๊ะของผมอยู่
“อิเกีย อิเกียคือไรวะ” กิ๊บตอบขณะที่มือมันยังค่อยๆไล้ไปตามพื้นลามิเนตของหน้าโต๊ะ
“อิเกีย มันเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ใหญ่ๆอ่ะ” ผมพูดแล้วเอามือปัดมือมันออกจากโต๊ะของผม
“อารมณ์เหมือนแม๊คโคร แต่ขายเฟอร์นิเจอร์ล้วนๆ โคตรใหญ่เลย คุณอยากได้อะไรล่ะ” ผมต่อให้จบ
“เอ้ย กูรู้จักที่แอดยิ้มได้รางวัลคานส์บ่อยๆไง” กิ๊บตอบในฐานะผู้ช่ำชองในวงการโฆษณา
“คุณจะไปป่ะล่ะ เดี๋ยวเสาร์อาทิตย์กูพาไป” ผมพยายามดึงความสนใจของมันกลับมา
“เสาร์อาทิตย์หรอ อืม เดี๋ยวกูไปเองดีกว่า” กิ๊บตอบ (ตอนหลังกิ๊บบอกว่าที่มันไปเองเพราะเกรงใจผม ไม่น่าเชื่อ!)

ผมคิดว่ากิ๊บคงอยากได้โต๊ะมากตอนนี้  แม้ผมยังไม่ทันถามกิ๊บว่าแล้วมันวางแผนว่าจะเอาของกลับมายังไง แต่ไม่เป็นไร ถ้ากิ๊บอยากโซโล่เดี่ยวผมก็ไม่ขัดข้อง ผมเชื่อว่ากิ๊บสามารถเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว  ผมเลยจัดแจงเปิดกูเกิ้ลแมพให้กิ๊บดูแผนที่แล้วอธิบายว่ามันควรจะไปขึ้นรถอะไรแล้วลงที่ไหน ต่อรถยังไง เมื่อซักซ้อมจนเป็นที่เข้าใจแล้วกิ๊บก็เงียบหายไป

ไม่กี่วันต่อมากิ๊บก็มีโต๊ะใหม่สมใจนึก ผมเดินลงไปดูที่ห้องมันเห็นเป็นโต๊ะสีขาวตัวยอดนิยมในขณะนั้น
“เออ สวยดีนี่” ผมพูดพลางมองไปรอบๆห้องเห็นของที่ไอ้กิ๊บซื้อมาก็มีขนาดเยอะพอควร
“ว่าแต่คุณขนกลับมายังไงวะ” ผมเอ่ยปากพลางคิดว่าไอ้โต๊ะตัวนี้ขนาดใหญ่พอควร มันไม่น่าจะหิ้วกลับมาไหว
“กูขนกลับมาเองเว้ย” กิ๊บตอบด้วยสีหน้าของผู้ชนะ แล้วกิ๊บก็เล่าให้ผมฟังว่า
วันนั้นมันนั่งรถไฟ Bart ตามที่ผมบอกไปถึงอิเกีย และพอมันไปถึงอิเกียสิ่งแรกที่มันทำคือ

โกยดินสอใส่เป้

กิ๊บโกยดินสอไม้แท่งเล็กๆที่เขาแจกไว้ให้คนมาเดินจดว่าอยากได้อะไร กิ๊บโกยดินสอแทบจะหมดชั้นใส่เป้ของมัน มันบอกว่ากะเอาไปใช้ที่ห้อง(ซึ่งตอนหลังมันกลับไทยไป มันยังใช้ไม่หมดเลย) จากนั้นกิ๊บก็เริ่มเดินดูของเลือกโต๊ะ เก้าอี้ โคมไฟ กิ๊บจัดการเอาของชิ้นที่พอใส่ในถุงได้และยัดลงในถุงอิเกียสีฟ้าซึ่งกิ๊บเห็นว่ามันสวยดี เพราะนึกว่าเป็นถุงที่อิเกียแถม ก่อนจะเสียค่าความรู้ใหม่ไป ว่าไอ้ถุงสีฟ้าที่มันหิ้วออกมาน่ะ เขาขายไม่ได้แจก

หลังจากกิ๊บจ่ายเงินค่าของ(และถุงสีฟ้า)เรียบร้อยแล้ว กิ๊บก็เผชิญกับปัญหาที่อิเกียพีเพิ่ลต้องเจอนั่นคือ
แล้วกูจะเอากลับยังไง

“เออ แล้วคุณเอากลับยังไง” ผมถาม
“กูก็ไม่รู้ กูก็ยินงงๆแล้วเห็นคนยิ้มยืนเอาเชือกมัดๆของกัน กูก็เลยเอาเชือกมัดโต๊ะกับเก้าอี้ให้เป็นหูหิ้ว แล้วมัดเชื่อมกันเป็นสาแหรกคาน แล้วก็แบกออกไป” กิ๊บตอบ
“เชี่ยยยยยย คุณยิ้มสามารถว่ะ” ผมชื่นชมกิ๊บในใจ
“เออ กูก็แบกยิ้มขึ้นรถไฟกลับมา คนยิ้มมองแล้วหัวเราะกันอย่างเยอะ กูงี้โคตรอายเลย แล้วพอมาถึงในเมืองกูจะต่อรถเมล์เข้าบ้าน กูก็รอๆ พอรถเมล์มากูกำลังจะขึ้น คนขับยิ้มไม่ให้ขึ้นเว้ย ยิ้มบอกของกูเยอะไป” กิ๊บเล่าต่อ
ผมนึกภาพกิ๊บที่แบกโต๊ะหน้ากว้าง 1.20 เมตรโดยมีเชือกผูกกับเก้าอี้อยู่ด้านหลัง อืม ถ้าผมเป็นคนขับรถเมล์ผมก็อาจไม่ให้ไอ้กิ๊บขึ้นนะ
“อ้าว แล้วทำไงวะ”
“กูด่ายิ้มในใจ แล้วตอนนั้นยิ้มมืดแล้วด้วยกูอยากกลับบ้านมาก กูเลยบอกว่า กูไม่รู้ ขอกูขึ้นรถหน่อยเถอะ ของมันหนักมาก ยิ้มก็มองกูแบบสมเพชๆแล้วก็ให้กูขึ้นมา พอกลับถึงบ้านกูยิ้มตั้งใจเลยว่ากูจะต้องเอาไอ้โต๊ะนี้กลับกรุงเทพให้ได้”

ผมไม่ได้ถามอะไรมากหลังจากนั้น รู้แต่ว่าไอ้กิ๊บมันตั้งใจจะเอาโต๊ะที่มันบอกว่ารักมาก และสมบัติอื่นๆที่มันซื้อเพิ่มในตอนหลังเช่น ลำโพง กีต้าร์ โคมไฟ บันได กลับกรุงเทพฯ จริงๆ  สังเกตได้จากการที่มันย้ำนักย้ำหนากับผมก่อนที่มันจะขึ้นเครื่องกลับไทยที่สนามบินว่า
“ตอย คุณอย่าลืมขนของของกูกลับไปให้ด้วยนะ”
แล้วมันก็เดินตัวปลิวกลับไทยไป
อ้าว...

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่