ทอย (55)

กระทู้สนทนา
ทอยพยายามฝืนตัวเองไว้ไม่ให้เหลียวมองกลับไปทางด้านหลัง นอกจากที่จะพยายามสำรวจสภาพแวดล้อมแห่งใหม่อย่างรวดเร็ว เขาเกลียดการเดินทางผ่านโลกความฝัน เกลียดการที่ต้องย้ายเข้าไปอยู่ภายในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยอย่างฉับพลัน เพราะมันไม่ปลอดภัย ไม่มีทางเลยที่ใครจะปลอดภัยอยู่ได้ถ้าไม่รู้จักสภาพรอบตัวเอง แต่คนส่วนใหญ่กลับใช้ชีวิตพร้อมกับละเลยพวกมันไปอย่างน่ากลัว

    'ไม่มีใครแอบอยู่ข้างหลังทั้งนั้น'

    เขาไม่อาจสลัดความรู้สึกแปลกๆ นั้นทิ้งไปได้ ความรู้สึกที่ว่าตนเองกำลังถูกเฝ้ามองนี้เกิดขึ้นเมื่อเขาได้ทำการ ก้าวถอยหลัง เป็นครั้งแรก และยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อเขาทำมันอีกครั้งในการต่อสู้กับอาลีบาบาหัวหน้าโจรสี่สิบคนนั้น มันเป็นความรู้สึกที่คอยรบกวนจิตใจเขาเรื่อยมา จนทำให้เขาทำตัวเงียบไปนับตั้งแต่นั้น

    สถานที่ใหม่แห่งนี้เป็นพื้นที่แคบๆ เหมือนกับภายในถ้ำที่พวกเขาเคยอยู่ก่อนหน้า แต่แตกต่างกันที่ทั้งพื้น ผนัง และเพดาน นั้นราบเรียบไร้รอยต่อ มันต้องเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็ไม่รู้ว่าทำด้วยวัสดุชนิดใดกันแน่ ภายในพื้นที่ปิดรูปทรงสี่เหลี่ยมนี้มีแสงสว่างจางๆ คล้ายกับในยามเช้า แสงที่ไม่รู้ที่มานอกจากจะบอกว่าพวกมันทะลุผ่าน หรือไม่ก็ส่องสว่างออกมาจากในกำแพงทั้งหมดโดยที่ไม่ก่อให้เกิดความร้อนขึ้น

    “นี่เป็นสถานที่ที่คุณบอกหรือ คุณกู๊ดแมน มิติที่อยู่เหนือความเข้าใจของเรา” โฮมพูดขึ้นเบาๆ และทอยแปลกใจที่เขาไม่ได้ยินเสียงสะท้อนเลยสักนิด “...ผมคิดว่าเราถูกจับยัดใส่เข้ามาในกล่องมากกว่า” โฮมสรุปซึ่งตรงกับความคิดของอีกหลายคน

    “ไม่ใช่”

    กู๊ดแมนตอบโต้พร้อมกับดมไปรอบๆ ยังคงมีร่องรอยของแซนแมนกับสาวน้อยหมวกแดงตกค้างอยู่อย่างเด่นชัดภายในสถานที่แห่งนี้ แต่เส้นทางที่ใช้ในการเดินทางต่อไปนั้นต่างหากที่ทำให้เขาต้องงงงวย 'กลิ่นมันเป็นแบบนั้นได้อย่างไร' เขาไม่เคยพบเจอเส้นทางของกลิ่นแบบนี้มาก่อน เขาหันไปสบตากับคุณนายวิกเซ่น ซึ่งคิ้วที่ขมวดเป็นปมของนางก็บ่งบอกถึงความแปลกใจที่คงไม่ต่างจากตัวเขาเช่นกัน

    “...เรายังไปไม่ถึงที่นั่นกัน” กู๊ดแมนรู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จ้องตรงมาทางเขา โดยเฉพาะสายตาที่ร้อนแรงของสารวัตรโฮม “แต่เราก็ไม่ได้หลงเสียทีเดียว เรามาถูกทางแล้ว แต่ก็อย่างที่ผมบอก ดูเหมือนว่าถึงแม้จะรวมพลังของพวกเราทั้งสองเข้าด้วยกันแล้ว ก็ยังไม่เพียงพอที่จะก้าวข้ามไปยังมิติแห่งนั้นได้อยู่ดี”

    ความเงียบพลันเข้ายึดครองพื้นที่สี่เหลี่ยมนั้น

    “...ถ้าอย่างนั้น พวกเราย้อนกลับไปที่มหานครก่อนดีไหม เอ่อ เรายังย้อนกลับไปได้ใช่ไหม” ข้อเสนอของวสันต์ทำลายความเงียบขึ้นเป็นคนแรก

    “ไม่” สโนวกับโฮมแทบจะประสานกันเป็นเสียงเดียว

    “ฉันจะไม่กลับไปถ้าไม่มีคุณครอส” สโนวว่า

    “เราจะไม่กลับถ้ายังจับตัวสาวน้อยหมวกแดงคนนั้นไม่ได้” โฮมบอก
    มนุษย์หมาป่าทั้งสองได้แต่มองหน้ากัน เพราะทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าคงไม่อาจติดตามร่องรอยต่อไปได้อีกแล้ว ทั้งคู่มาไกลจนเกินกว่าที่จะมีใครเคยทำได้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครยอมเข้าใจ ยอมรับในเรื่องนี้

    ทอยยื่นมือออกไปลูบกำแพงอย่างระวัง พวกมันให้ความรู้สึกที่อ่อนนุ่มเล็กน้อย ไม่เย็นเหมือนกับโลหะ หรือแก้ว แต่ก็มีพื้นผิวที่ราบเรียบจนเกินกว่าที่จะเป็นสิ่งทอ พวกมันแปลกประหลาดจนยากที่จะเชื่อได้ว่าเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ แต่จะมีสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นใดอีกที่จะสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างแบบนี้ขึ้นได้

    ความรู้สึกที่เหมือนกับกำลังถูกเฝ้ามองนั้นยิ่งชัดเจน บางครั้งมันก็ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างประหลาด คุ้นเคยจนเขาอยากที่จะเชื่อว่ากำลังถูกปู่แจ็คจอมเสียบของเขาเฝ้าติดตามดูอยู่ แต่มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ถึงแม้ว่าปู่ของเขานั้นจะแสนร้ายกาจ เป็นผู้ใช้มีดที่เหนือล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของเหล่ามือสังหารก็ตาม

    “ผมอยากเห็นข้างนอกจัง”

    ทอยรีบถอยห่างออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของแสงที่ส่องออกมาจากในผนัง กำแพง และแม้แต่บนพื้นซึ่งทั้งหมดยืนอยู่อย่างฉับพลัน พวกมันมืดลงในตอนแรกก่อนถูกกลืนหายไปในความมืดสลัวนั้น ไกลออกไปทางด้านบนส่วนที่ควรจะเป็นท้องฟ้านั้นเต็มไปด้วยจุดแสงหลากสี ที่กระพริบพรายอยู่บนฉากหลังซึ่งส่วนใหญ่เป็นความมืดมิด คล้ายกับเป็นดวงดาวในค่ำคืนเดือนมืดแต่มากมายสวยงามยิ่งกว่านั้น ส่วนด้านล่างที่ควรจะเป็นพื้นนั้นมองเห็นบางสิ่งที่คล้ายกับหมู่เมฆล่องลอยอยู่ต่ำลงไป กับบางส่วนของสิ่งก่อสร้างที่คล้ายกับเป็นเสาโลหะขนาดใหญ่ยื่นทะลุขึ้นมา ไกลออกไปนั้นดูเหมือนจะมีเสาแบบเดียวกันอยู่อีกเป็นจำนวนมาก สิ่งที่เหมือนกับเมฆนั้นแยกตัวออกในบางพื้นที่เผยให้เห็นบางสิ่งที่มีสีฟ้า และเขียวที่ดูราวกับเป็นผืนป่ากับท้องทะเลกว้างเมื่อมองลงมาจากยอดเขาสูง

    วสันต์กับคุณนายวิกเซ่นต่างกรีดร้องออกมาเกือบจะพร้อมกัน ในขณะที่ทั้งหมดรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังร่วงหล่นลงจากความสูงที่เหนือจินตนาการ ณ ขอบโค้งของบางสิ่งที่มีขนาดใหญ่ไกลออกตรงสุดสายตาทางเบื้องล่างพลันปรากฎแสงสว่างเรืองขึ้นพรัอมกับขอบของลูกไฟสีส้มเข้มค่อยๆ โผล่พ้นออกมาอย่างช้าๆ

    “ปิดได้แล้ว” เสียงของ คิง ปริ้น ดังขึ้นอีกครั้ง แล้วภาพทั้งหมดก็หายวับไป เหลือไว้แต่กำแพงของห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กเหมือนเมื่อก่อนหน้า ไม่มีใครรู้ตัวเลยว่าเด็กชายได้ติดตามคณะเดินทางมาด้วยตั้งแต่เมื่อใด

    “ขอโทษที่ทำให้ตกใจ พวกคุณคงไม่คุ้นเคยกับของพวกนี้” รูปกายภายนอกของเด็กชายเปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้เขาดูภูมิฐาน สง่างาม แตกต่างจากเด็กชายที่ชอบเอาแต่กินคนเดิมราวกับเป็นคนละคน

    “ผมคิดว่าเราอาจกำลังอยู่ในสถานีอวกาศ ไม่ใช่สิ น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของลิฟท์อวกาศมากกว่า และน่าจะอยู่บนระดับความสูงที่เกินกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตรจากพื้นโลก หรือที่เรียกว่าเส้นคาร์มัน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นขอบเขตที่แบ่งแยกระหว่างการบินภายในโลก กับการบินในอวกาศ...”
    แล้วเขาก็ได้เห็นใบหน้าที่ว่างเปล่าของแต่ละคน และนึกถึงสิ่งที่แซนแมนคนก่อนเคยบอกกับเขา มันเป็นการเสียเวลาไปเปล่าๆ ที่จะพยายามอธิบายบางเรื่องให้กับคนที่ไม่มีวันจะเข้าใจฟัง โลกของพวกคนเหล่านั้นล้วนแตกต่างกันไป พวกเขาล้วนไม่มีความสำคัญกับแซนแมน จึงไม่ควรจะไปใส่ใจให้มากนัก

    “...ช่างมันเถอะ” เขาตัดบท

    ทอยค่อนข้างแน่ใจว่าเด็กชายที่เปลี่ยนไปคนนี้ไม่ได้เดินทางมาพร้อมกับพวกเขาตั้งแต่แรก ดังนั้นจึงมีคำตอบได้อีกเพียงอย่างเดียวก็คือ เขามีความสามารถมากพอที่จะติดตามมาที่นี่ได้ด้วยตัวเอง บิดาของเขา แซนแมน คิง ได้ถูกจับตัวไปแล้ว ตอนนี้จึงเหลือเพียง แซนแมน ปริ้น ผู้นี้เท่านั้น

    ทอยคิดว่าตนเองพอที่จะคาดเดาแผนที่แท้จริงของแซนแมนผู้พ่อนั้นออกแล้ว แซนแมนเป็นผู้ที่ดูเหมือนจะไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาทั้งสิ้น ดังนั้นมนุษย์หมาป่าทั้งสองจึงไม่น่าจะใช่คนที่ถูกหมายตาเอาไว้ตั้งแต่แรก แซนแมนจะมีได้เพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นเมื่อแซนแมนคนปัจจุบันจากไป 'มันก็หมายความว่า'

    “ผมไม่ควรทำแบบนี้ เพราะหากเขากลับมาเมื่อไร ผมก็จะไม่ใช่ แซนแมน อีกต่อไป เขาสอนผมแบบนั้น เขาเป็นพ่อแบบนั้น”

    เขาพูดออกไปทั้งๆ ที่รู้ว่าคนอื่นคงไม่เข้าใจ เขาไม่ได้กลายมาเป็นแซนแมนแบบที่พ่อต้องการ และอันที่จริงแล้วพ่อก็ไม่ได้เป็นแซนแมนแบบที่เขาบอก พ่อยังคงเป็นห่วงเขา พยายามที่จะติดตามหาเขาทั้งๆ ที่เคยบอกไว้ว่าจะไม่ยอมทำอย่างเด็ดขาด และสุดท้ายพ่อยังนำสิ่งที่อาจจะเป็นอันตราย นำสาวน้อยหมวกแดงคนนั้นให้พ้นไปจากเขา อีกอย่างหนึ่งพ่อเองก็ใส่ใจกับคนพวกนี้ไม่เหมือนกับที่พ่อเคยพูด หรืออย่างน้อยเขาก็เห็นท่าทีที่พ่อมีให้กับผู้หญิงที่ชื่อวสันต์คนนั้น

    แซนแมนไม่ได้ไร้หัวใจเหมือนอย่างที่พ่อคอยตอกย้ำกับเขาเรื่อยมา

    แซนแมนคนปัจจุบันออกคำสั่งอีกครั้ง “ผมต้องการเชื่อมต่อกับระบบไกอาเน็ต” เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าความรู้ ความเข้าใจทั้งหมดนี้ผุดขึ้นมาจากที่ใดในสมองของเขา บางทีอาจเป็นสมองที่เป็นส่วนของแซนแมนก็เป็นได้

    “ปฏิเสธ” เสียงของผู้หญิงที่นุ่มนวลแต่ไร้อารมณ์ดังขึ้น “คุณไม่สิทธิ์ในการเข้าถึง”

    แซนแมนขมวดคิ้ว “ขอสิทธิ์การเข้าถึงระดับซุปเปอร์ยูสเซอร์”

    “ปฏิเสธ คุณไม่มี...”

    “รหัสผ่านคือ...” เขานึกอย่างรวดเร็วก่อนที่จะยิ้ม “...แซนแมน”

    “รหัสผ่านไม่ถูกต้อง คุณไม่มี...”

    “พอได้แล้ว” ร่างของเขาพลันยกตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ชุดทรายที่สวมใส่อยู่นั้นพัดพลิ้วราวกับกำลังเกิดลมพายุคลั่ง กลายเป็นดั่งเนินทรายนับพันนับหมื่นกลางทะเลทรายเวิ้งว้างที่เปลี่ยนแปลงรูปร่างอยู่ตลอดเวลา ทุกคนต่างเฝ้าดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ไม่มีใครสักคนที่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

    “ข้าคือแซนแมน” เขาประกาศก้อง

    ความเงียบที่เกิดขึ้นติดตามมาถูกทำลายลงด้วยเสียงของผู้หญิงคนเดิม “รหัสผ่าน...ถูกต้อง อนุญาตการเข้าถึงระดับซุปเปอร์ยูสเซอร์” เสียงนั้นยังคงไร้อารมณ์อยู่เช่นเดิม

    “ลิฟท์อวกาศแห่ง กรุงเทพมหานคร ยินดีต้อนรับ”

    คำว่า มหานคร ที่มีคำนำหน้าแปลกๆ นั้นสร้างความสนใจให้กับพวกเขาได้ไม่น้อย แต่ก็ยังคงไม่มีใครเข้าใจอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้น

    “แต่เดิมสถานที่แห่งนี้ไม่เคยหยุดนิ่ง พวกมันมีการเคลื่อนที่ขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา มีผู้คนมากมายจากไป และย้อนกลับมาเสมอ แต่มันได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว”

    พื้นส่วนหนึ่งที่ด้านหน้าของแซนแมนพลันยกตัวสูงขึ้นถึงระดับหน้าอก เขายื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อสัมผัส มันมองดูคล้ายเป็นส่วนควบคุมของอะไรบางอย่าง

    “ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าพิศวง ผู้คนมากมายยังคงอาศัยอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงป้อนพลังงานให้กับ ไกอาเน็ต อยู่ตลอดเวลา จานแสงที่ใช้ในการเก็บข้อมูลซึ่งทวีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดก็แทบจะไร้ขีดจำกัด ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในนั้นต่างไม่รู้ตัวกันเลยสักนิด”

    “...เอ่อ...เธอพูดเรื่องอะไรกัน” วสันต์ตัดสินใจเอ่ยถาม โดยไม่แน่ใจว่าควรจะพูดกับเขาในสถานะใดดี

    “พวกคุณไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องพวกนี้ เพราะพวกคุณไม่มีทางที่จะเข้าใจอยู่แล้ว” โฮมคิดว่าเขาเริ่มที่จะไม่ชอบหน้าเด็กชายคนนี้เหมือนกับที่ไม่ชอบหน้าแซนแมนคนพ่อขึ้นมาแล้ว “เอาแค่ว่า พวกคุณยังอยากที่จะติดตามสาวน้อยหมวกแดงคนนั้นไปหรือไม่”

    ทั้งหมดหันไปพยักหน้าให้กัน ก่อนที่โฮมจะเป็นตัวแทนในการตอบ “แน่นอน”

    “ดี” แซนแมนขยับนิ้วไปมาบนแท่นตรงหน้าอย่างรวดเร็ว “ผมจะส่งพวกคุณไปที่นั่น สถานที่ที่ไม่มีตัวตน ไม่เคยมี และไม่อาจจะมีอย่างที่คุณกู๊ดแมนเคยว่าไว้” เขาทำตาลอย พร้อมกับกัดริมฝีปากล่างอย่างใช้ความคิด “ผมไม่รู้ว่าพวกคุณจะเอาชนะเธอ ผมหมายถึงสาวน้อยหมวกแดงคนนั้นได้อย่างไร ผมอยากจะให้คำแนะนำบางอย่าง แต่...ที่จริงแล้วไม่มีอะไรที่จะสามารถเอาชนะเธอได้เลย”

    โฮมคิดว่ามันเป็นคำแนะนำที่แย่ที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา แต่เขาคิดผิดเพราะยังมีคำพูดต่อจากนั้น

    “ที่สำคัญ ผมไม่มั่นใจว่าจะพาพวกคุณกลับมาได้หรือไม่” เขาพูดราวกับมันเป็นเพียงเรื่องธรรมดา “พวกคุณยังอยากที่จะข้ามไปอีกไหม”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่