ทำดีเพราะดี ทำสิ่งที่เป็นคุณสมบัติที่ดี คุณความดี กระทำไว้เนืองๆ แม้อยู่ในสถานะที่มืดมน ก็ไม่ท้อและอย่าคิดว่าเสียเปล่า

...
      ซึ่งคำว่า ความดี คุณธรรม มีหลายนัยยะ  ที่ปรากฏและประจักผล ทั้งที่เป็นรูปธรรมที่เห็นจับต้องเทียบเคียงได้ และที่เป็นนามธรรมจับต้องเทียบเคียงได้ยาก  
       และคุณธรรมความดี บางอย่างเพียงกระทำในเวลาไม่นานนักก็ปรากฏประจักผลได้  แต่บางอย่างเพียรกระทำไปจนชั่วชีวิตจึงประจักผล บางอย่างทั้งชีวิตก็ยังไม่ปรากฏผล    
       ผมจึงตั้งกระทู้  
      
    ทำดีเพราะดี ทำสิ่งที่เป็นคุณสมบัติที่ดี คุณความดี กระทำไว้เนืองๆ แม้อยู่ในสถานะที่มืดมน ก็ไม่ท้อและอย่าคิดว่าเสียเปล่า
      
       ซึ่งความดีนั้น คุณสมบัติที่ดีนั้น คุณความดีนั้น ผมได้เริ่มกระทำตั้งแต่วัยเด็ก ที่ตกอยู่ในฐานะที่มืดมนไม่เห็นแสงสว่างแม้แต่นิดเดียว ที่เพียรประสงค์ความรู้และปัญญา ที่พากเพียรเรียนหนังสือ แม้มีอุปสรรค์ขัดขวางอันยิ่งใหญ่  ทั้งปฏิบัติธรรมทั้งพยายามมีศีลธรรม ตามที่เด็กคนหนึ่งที่มีฐานะอันต่ำต้อยที่พึงคิดไปได้ พยายามอยู่เนืองๆ  ไม่ท้อ แต่ทุกข์ กดดันยิ่งทุกด้าน จึงรักษาใจด้วยปฏิบัติธรรมด้วยตนเองตั้งแต่เด็กและมีศีลธรรม ที่เด็กคนหนึ่งพอประกองจิตใจตนเองให้อยู่ได้ โดยไม่เสียสติบ้าไปเสียก่อน และไม่เคยคิดไม่เคยรู้สึกจนจินตนาการไปว่า จะเสียเปล่า เสียเวลาเปล่า เลย

       กล่าวว่า ซื่อ หรือ บรื่อ  ก็คือซื่อบรื่อ ตามประสาเด็กนั้นเอง คือเมื่อตั้งจิตตั้งใจไว้แล้วว่านี้เป็นสิ่งที่ดีเป็นความดี คือ การแสวงหาความรู้และปัญญา ก็จะพุ่งไปทางนั้น แม้โดนห้ามจนล้มลงไปแล้วหมดโอกาสแล้วหมดสิ้นไปแล้วหมดสิทธิ์เรียนไป 1 ปี พอมีโอกาสปรากฏเพียงนิดเดียวก็ลุกขึ้นหาวิธีที่ทำให้ตนได้มีโอกาสแสวงหาความรู้และปัญญา ตามที่ตนเองตั้งไว้ต่อ และทำความดีช่วยการงานพ่อแม่ทุกอย่าง เพื่อให้ได้เรียนต่อนั้นเอง  

      และไม่ใช่ว่าจะล้มเพียงครั้งเดียว แต่กลับล้มเป็นครั้งที่สอง  ที่หนักและสาหัสกว่าครั้งแรกเป็นอย่างยิ่ง คือเสมือนฟ้าปิดมืดมิดไม่มีโอกาสเลยเหมือนหมดสิ้นไปแล้วจริงๆ ทำอะไรไม่ได้หมดสิทธิ์เรียนไป 1 ปี  เพียงมีจุดโอกาสสว่างเล็กๆ ปรากฏก็ดิ้นรนไปจนได้ แม้อาจจะไม่ได้รับปริญญา ทั้งๆ ที่รู้ แต่ยอมสู้แม้แลกด้วยชีวิต หรือ จะเป็นบ้าแบบพี่ชายคนโต หรือเพี้ยนๆ ไปคล้ายคนที่รู้จัก ที่มีฐานะเดียวกัน

      แต่ทำดีเพราะดี ประสงค์ความรู้และปัญญา จึงเกิดปัญญาหาเกราะปัองกันตัว คือศึกษาอ่านธรรมเป็นอย่างมากพอกับการเรียนปริญญาตรี และกำหนดภาวนากรรมฐานดูลมหายใจเข้าออก ทุกเวลาที่ระลึกได้(นึกได้ แม้ขณะนั้นทำอะไรอยู่ก็ตาม)  จึงสามารถดำรงอยู่ในสภาวะกดดันทั้งทางกาย(โรคภัยที่ไม่กล้าไปรักษา และไม่พอกิน) และทางจิตใจทุกด้าน อย่างพอประกองไปได้  

       จนกำลังสอบหมดทุกวิชา ได้เข้าวัดปฏิบัติธรรม เมื่อสอบจบหมดทุกวิชาแล้ว แต่อาจจะไม่ได้รับปริญญาบัตร์ก็ได้ จึงทิ้งการศึกษาทางโลกทั้งหมด ปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่งอย่างเดียว  พละที่มีทั้งหลายจึงระดมไปกับการปฏิบัติธรรมทั้งมวล  จึงปรากฏทั้ง ญาณ และฌาน ควบคู่กันไปตามลำดับ
        
        ทั้ง สมนสนญาณ (วิปัสสนาญาณที่ 3)  กับ ปฐมฌาน
        ทั้ง ทุติยฌาน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น สว่างสดใส เป็นหนึ่ง มีปิติ สุข พ้นไปจากกายและวิตกวิจาร  จึงเจริญถึง อุทัพยญาณ และ ภยญาณ
        วนเวียนอยู่กับ ฌาน และ วิปัสสนาญาณ เป็นเวลา 3 เดือนกว่า
        จนสละแม้ร่างกายจะพิกลพิการในการกำหนดภาวนากรรมฐานเป็นอย่างมาก จนแจ้งชัดในการ เกิด-ดับ อย่างชัดยิ่งอย่างฉับพลันทันใด
        จนกำหนดกรรมฐานไปได้อย่างละเอียดยิ่ง ไม่มีเวลาใดที่ขาดจากการกำหนดภาวนา นอกจากตกภวังค์หลับไปเองตอนนอนหลับเท่านั้น เมื่อจิตไหวต้วขึ้น สติก็จะกำหนดภาวนาไปในทันที แล้วรู้ทั่วตัวทั้งร่างกายไปตามลำดับ เหมือนเป็นไปอย่างอัตโนมัติ  เป็นเช่นนี้ติดต่อกันประมาณ 10 วัน ผ่านเดือนที่ 4 ขึ้นเดือนที่ 5 จากที่ปฏิบัติธรรมตั้งแต่เริ่ม

         แล้วในเช้าวันหนึ่ง(ตี 4 ตี 5)  จิตไหวตัวขึ้นจากภวังค์ สติก็กำหนดหนดภาวนาในทันทีมีสติสดใสสมบูรณ์  แต่เกิดทุกข์เจ็บตรงจุดที่กำหนดภาวนา ก็ยังกำหนดภาวนาต่อไป จนเกิดเป็นแสงสว่างดังดาวประกายพรึกตรงตำแหน่งที่กำหนดภาวนา และความทุกข์ความเจ็บก็ทวีคุณเพิ่มขึ้นเช่นกัน จึงยอมสละชีวิตเพื่อธรรม สติกำหนดภาวนาเร็วเป็นอย่างยิ่ง แสงสว่างก็จ้าเป็นอย่างยิ่ง เห็นทุกข์เป็นอย่างยิ่ง จนเสมือนกำลังขาดใจตายไปจริงๆ  ทุกอย่างก็เสมือนหน่วงลง สติกำหนดภาวนาคงทีเสมอเรียบ แสงสว่างจ้าคงที ความเจ็บคงที ดำเนินไปเองอย่างเสมอเรียบ
          แล้วจิตนั้น ดับ - เกิด  เกิด-ดับ ความทุกข์(เจ็บ) นั้นก็ขาดจากกัน ตาม การเกิดดับของจิต ที่เห็นเป็นอนิจจังนั้น การ เกิด-ดับ นั้น ดับหมดสิ้นอย่างชัดเจน 7 - 8 ครั้ง ส่วนที่ไม่ขาดอย่างชัดเจนนั้น หลายสิบครั้ง จนเสมือนตกจากที่สูง หายสิ้นไปหมดสิ้นไป ขณะหนึ่ง

           เมื่อจิตยกขึ้นมาใหม่ ก็มีแต่สุข สงบเป็นหนึ่ง แล้วจิตก็อุทานเบาๆ ขึ้นเองว่า "นี้ เป็นมรรคผลนิพพาน".
           แต่ความเป็นตนบังเกิดขึ้น กลัวว่าตนเองจะวิปลาส จึงคิดไปว่า " ไม่ไช่ ออ.. อารมณ์สุขอย่างนี้เป็นอารมณ์ของพรหม"

    นั้นและเป็นสภาวะธรรมเมื่อผมมีอายุ 23 ย่าง 24 ปี

      และคุณธรรมความดีทั้งหลายที่ผมเพียร เพื่อปัญญาความรู้ กลับไม่ได้สูญเปล่า แม้จะไม่เห็นแสงสว่างที่ปล่ายอุโมง ตั้งแต่เด็ก ก็ตาม ในภายหลังผมก็กลับได้รับปริญญาบัตร(ปริญญาตรี วิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์) เหมือนกับผู้อื่นแม้สภามหาวิทยาลัยจะอนุมัติให้หลังสุด ข้าไปประมาณ 4 เดือน ก็ตาม

     ดังนั้น หัวกระทู้ที่ผมตั้งไว้คือ

              ทำดีเพราะดี ทำสิ่งที่เป็นคุณสมบัติที่ดี คุณความดี กระทำไว้เนืองๆ แม้อยู่ในสถานะที่มืดมน ก็ไม่ท้อและอย่าคิดว่าเสียเปล่า
  
     ซึ่งผมได้พิสูจน์ด้วยตนเองแล้วว่า เป็นจริง

หมายเหตุ ผมได้แก้ไข คำผิด ใหม่แล้วครับ เหตุที่ผมพิมพ์ผิดมี 2 อย่าง
              1.พิมพ์เสร็จไม่ได้ตรวจทาน รีบส่ง เพราะผมใช้เวลาพิมพ์ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าจะเสร็จ จึงรีบส่ง
              2.มีสภาวะบกพร่องในการเขียนในการพิมพ์ เพราะสมองแยกแยะไม่ค่อยได้ในการผสมสละควบคร่ำ เช่น คำว่า บรื่อ ผมพิมพ์ไม่ได้แยกไม่ออกระหว่าง "บรื่อ" กับ "เบรื่อ"  และ โอกาศ กับ โอกาส ผมแยกไม่ออก ต้องถามลูกหรือภรรยา หรือเด็กพนังงานข้างๆ  ก็คงคล้าย คนพูดติดอ่าง นั้นเอง ในเวลาเขียนหรือพิมพ์ เช่นคำว่า "มะพร้าว" ตั้งแต่เด็ก จนขึ้น มัธยม 1 (ม.ศ 1)  ผมก็ยังเขียนไม่ถูกเลยครับ จึงไม่ต้องกล่าวถึงคำควบคร่ำ(แม้คำ "ควบคร่ำ" ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าพิมพ์ถูกหรือผิด) ที่ยาก ๆ กว่านั้นเลย   ออ. คำว่า "อยาก" กับ "ยาก" แม้ปัจจุบันนี้ในบางครั้งผมกลับแยกไม่ออกในขณะที่พิมพ์
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่