วันนี้เป็นวันที่สงครามจะกลับบ้านไปเยี่ยมแม่ที่ขอนแก่น และได้นัดกับพี่ชายไว้ว่าจะกลับบ้านด้วยกัน
เขารู้สึกบอกไม่ถูกที่สายัณห์ พี่ชายที่ไม่เจอหน้ามาหลายปี จะสละเวลาอันมีค่ายิ่งขับรถมารับถึงหน้าที่พัก
มันก็ควรจะมีความรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างเป็นธรรมดา เพราะอันที่จริงความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่ก็ใช่ว่าจะสนิทสนมกันนัก
เนื่องด้วยเป็นพี่น้องคนละพ่อ และตอนเป็นเด็กก็มีความฝักใฝ่คนละทาง
ตัวเขาเองเป็นพวกที่รักจะอยู่กับท้องไร่ท้องนา มีความรู้อ่านออกเขียนได้อยู่บ้าง
ก็เพราะเพิ่งจะบวชเรียนเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเมื่อวัยเป็นหนุ่มนี้เอง
ต่างกับพี่อย่างสิ้นเชิง ที่อายุได้เพียงแค่สิบสามปีก็เข้ามาเรียนในกรุงเทพ ขยันหมั่นเพียรจนได้ดิบได้ดี
แล้วทุกวันนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นบุคคล "ผู้ยิ่งใหญ่" เป็นข้าราชการระดับซีเก้าที่ขับรถเมอร์ซีเดส-เบนซ์
และมีคนจำนวนไม่น้อยในวงสังคมการศึกษาให้ความเคารพนับถือ
เมื่อเขาเห็นรถพี่ชายแล่นเข้ามาในซอย เขาก็เริ่มรู้สึกบอกไม่ถูก มันเป็นความเกรงใจอย่างมหันต์
เมื่อรถยิ่งใกล้เข้ามา เขาก็กังวลมากขึ้น เริ่มมีเงื่อออกที่ฝ่ามือ ในใจก็คิดไปว่า "กรรมกรอย่างเราเนี่ยนะ!จะได้เข้าไป นั่งในรถคันละเป็นล้าน! ขับรถมาตั้งไกลเพื่อมารับคนอย่างเราเนี่ยนะ! นี่เรามีพี่ชายที่เป็นเจ้าคน นายคนแถมยังจิตใจดีกับเขาเหมือนกันนะเนี้ย"
พอรถจอดเขาไม่ทันคิดอะไรจึงรี่เข้าไปเปิดประตูที่เบาะหลัง แต่ปรากฎว่าประตูยังไม่ปลดล็อค
เขารู้สึกโมโหตัวเองที่ทำตัวบุ่มบ่ามอย่างไม่น่าให้อภัยเช่นนั้น บางที่ก็อาจจะคิดไปถึงขั้นที่ว่าตัวเองไม่มีมารยาททางสังคมเอาเสียเลย
ขณะเดียวกันพี่ชายเขาก็ปลดล็อคประตูแล้วกวักมือเรียกเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างด้วย
แต่ไม่ทันแล้ว เขาเข้าไปนั่งที่เบาะหลังเรียบร้อย
และพี่ชายเขาก็พูดขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัดว่า
" เฮ้ย!ครามมืงทำอะไร ทำไมไม่มานั่งหน้า"
"เอ่อ.. คือ.. แบบว่า.. เอ่อ.. คือ" เขาทำอะไรไม่ถูกจนถึงขนาดทิ้งประโยคให้อยู่แบบนั้นครู่หนึ่ง
แล้วพูดออกไปว่า
" ผมไม่อยากตีเสมอพี่น่ะครับ "
"โถ่เอ้ย ไอ้ฮ่า ถ้ามืงนั่งข้างหลัง ใครเขาก็นึกว่ากูเป็นคนขับรถมืงน่ะสิ"
*** ห้ามนั่งเบาะหลัง **
เขารู้สึกบอกไม่ถูกที่สายัณห์ พี่ชายที่ไม่เจอหน้ามาหลายปี จะสละเวลาอันมีค่ายิ่งขับรถมารับถึงหน้าที่พัก
มันก็ควรจะมีความรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างเป็นธรรมดา เพราะอันที่จริงความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่ก็ใช่ว่าจะสนิทสนมกันนัก
เนื่องด้วยเป็นพี่น้องคนละพ่อ และตอนเป็นเด็กก็มีความฝักใฝ่คนละทาง
ตัวเขาเองเป็นพวกที่รักจะอยู่กับท้องไร่ท้องนา มีความรู้อ่านออกเขียนได้อยู่บ้าง
ก็เพราะเพิ่งจะบวชเรียนเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเมื่อวัยเป็นหนุ่มนี้เอง
ต่างกับพี่อย่างสิ้นเชิง ที่อายุได้เพียงแค่สิบสามปีก็เข้ามาเรียนในกรุงเทพ ขยันหมั่นเพียรจนได้ดิบได้ดี
แล้วทุกวันนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นบุคคล "ผู้ยิ่งใหญ่" เป็นข้าราชการระดับซีเก้าที่ขับรถเมอร์ซีเดส-เบนซ์
และมีคนจำนวนไม่น้อยในวงสังคมการศึกษาให้ความเคารพนับถือ
เมื่อเขาเห็นรถพี่ชายแล่นเข้ามาในซอย เขาก็เริ่มรู้สึกบอกไม่ถูก มันเป็นความเกรงใจอย่างมหันต์
เมื่อรถยิ่งใกล้เข้ามา เขาก็กังวลมากขึ้น เริ่มมีเงื่อออกที่ฝ่ามือ ในใจก็คิดไปว่า "กรรมกรอย่างเราเนี่ยนะ!จะได้เข้าไป นั่งในรถคันละเป็นล้าน! ขับรถมาตั้งไกลเพื่อมารับคนอย่างเราเนี่ยนะ! นี่เรามีพี่ชายที่เป็นเจ้าคน นายคนแถมยังจิตใจดีกับเขาเหมือนกันนะเนี้ย"
พอรถจอดเขาไม่ทันคิดอะไรจึงรี่เข้าไปเปิดประตูที่เบาะหลัง แต่ปรากฎว่าประตูยังไม่ปลดล็อค
เขารู้สึกโมโหตัวเองที่ทำตัวบุ่มบ่ามอย่างไม่น่าให้อภัยเช่นนั้น บางที่ก็อาจจะคิดไปถึงขั้นที่ว่าตัวเองไม่มีมารยาททางสังคมเอาเสียเลย
ขณะเดียวกันพี่ชายเขาก็ปลดล็อคประตูแล้วกวักมือเรียกเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างด้วย
แต่ไม่ทันแล้ว เขาเข้าไปนั่งที่เบาะหลังเรียบร้อย
และพี่ชายเขาก็พูดขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัดว่า
" เฮ้ย!ครามมืงทำอะไร ทำไมไม่มานั่งหน้า"
"เอ่อ.. คือ.. แบบว่า.. เอ่อ.. คือ" เขาทำอะไรไม่ถูกจนถึงขนาดทิ้งประโยคให้อยู่แบบนั้นครู่หนึ่ง
แล้วพูดออกไปว่า
" ผมไม่อยากตีเสมอพี่น่ะครับ "
"โถ่เอ้ย ไอ้ฮ่า ถ้ามืงนั่งข้างหลัง ใครเขาก็นึกว่ากูเป็นคนขับรถมืงน่ะสิ"